บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 148

บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ

บทที่ 148 เขาพระสุเมรุ

นิกายพุทธหรือ?

เฉินซีรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินว่ามีนิกายการบ่มเพาะพิเศษในยุคบรรพกาล พวกศิษย์ในนิกายต่างนุ่งจีวร โกนศีรษะโล้น เดินด้วยเท้าเปล่า ท่องพระไตรปิฎก สวดมนต์ทั้งวันทั้งคืน พวกเขาล้วนมีปัญญาที่ลึกล้ำดั่งท้องทะเลและความสามารถอันไร้ขอบเขต

แต่นิกายพุทธนี้ได้หายสาบสูญไปเมื่อล้านปีก่อน ราวกับว่ามันระเหยไปในอากาศ และมรดกของนิกายก็ได้ถูกฝังอยู่ในพงศาวดารของประวัติศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบัน เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับนิกายพุทธได้กลายเป็นตำนานที่มีอยู่ในจินตนาการหรือเรื่องเล่าเท่านั้น

“อักขระเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมสยบวิญญาณของนิกายพุทธ… เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านี้ต้องการใช้มันเพื่อครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์?” เฉินซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หืม? บำเพ็ญทุกข์หรือ? ข้าจำได้แล้ว!” หลิงไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้น “คำว่า บำเพ็ญทุกข์ หมายถึงเจดีย์ของชาวพุทธในยุคบรรพกาล ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของนิกายพุทธเพื่อใช้ถ่ายทอดบทเรียน และถ้าขาดเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไป ก็จะไม่สามารถถ่ายทอดได้ หากข้าจำไม่ผิด เจดีย์บำเพ็ญทุกข์นี้ต้องเป็นสมบัติอมตะของนิกายพุทธ!”

ทันใดนั้น เฉินซีก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ง่าย อักขระสยบวิญญาณเก้าพยางค์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการครอบครองเจดีย์อย่างแน่นอน”

“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในตอนนี้เหลือเพียงเจ้าที่ยังอยู่ในเจดีย์ หลังจากนี้เจ้าจะถูกส่งไปยังชั้นเอกภาพ และบางทีเจ้าอาจจะใช้ยันต์นี้ได้” หลิงไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “หากเจ้าสามารถครอบครองเจดีย์นี้ได้จริง ๆ ก็เท่ากับว่าเจ้าได้รับสมบัติอมตะ! การดำรงอยู่ของมันสามารถทำลายล้างโลกใบเล็ก ๆ ได้ทั้งใบ”

“แต่เจ้าอย่าเพิ่งด่วนดีใจเร็วไป เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ตอนนี้ยังคงเสียหาย และไม่รู้จะซ่อมได้เมื่อไร” เฉินซีส่ายศีรษะ “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ไม่รู้วิธีซ่อมแซม และกระเป๋ามิติของจ้านคงก็ไม่มีเบาะแสใดที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเจดีย์ด้วย”

“ไม่เป็นไร เจ้าค่อย ๆ ทำไป แม้ว่ามันจะเป็นเปลือกที่ว่างเปล่าของสมบัติอมตะ แต่ก็ยังทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่ง” หลิงไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เฉินซียิ้มและเขาก็คาดหวังสิ่งนี้ไว้ในใจเช่นกัน

ตอนนี้เขากำลังรอที่จะเข้าสู่ชั้นเอกภาพของเจดีย์บำเพ็ญทุกข์

ในขณะที่เฉินซีกำลังสื่อสารกับหลิงไป๋ผ่านกระแสปราณ บรรยากาศภายนอกเจดีย์ตอนนี้กลับเงียบสงัด

ทุกคนที่รับชมอยู่ในตอนนี้ต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก หน้าอกของพวกเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว แม้พวกเขาต้องการโห่ร้องให้กำลังใจ แต่ก็ไม่สามารถที่จะเปิดปากได้แม้เวลาจะผ่านไปสักพัก สีหน้าของพวกเขาดูพิลึกและเต็มไปด้วยความละอาย

ซึ่งพวกเขาก็รู้สึกละอายจริง ๆ

ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าเฉินซีได้สมรู้ร่วมคิดกับคนร้ายเหล่านั้นและกลายเป็นคนทรยศที่ช่วยคนชั่วกระทำเรื่องต่ำทราม ซึ่งเขาก็ได้กลายเป็นอาชญากรชั่วร้ายอยู่ในใจของผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ต้องการสิ่งใดนอกจากการฉีกเฉินซีออกเป็นพัน ๆ ชิ้น ก่อนที่จะเผากระดูกของเขาและโปรยเถ้ากระดูกทิ้ง

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีทำลายล้างคนร้ายทั้งหมดโดยปราศจากการลังเล จึงทำให้พวกเขาตะหนักว่าตนเองคิดผิดอย่างมหันต์ ดังนั้นจึงต้องการให้กำลังใจแก่ชายหนุ่ม ทว่ากลับไม่สามารถเปิดปากออกมาแม้แต่น้อยเพราะความรู้สึกละอาย!

ต้วนมู่เจ๋อรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก เขาไม่ให้อภัยผู้คนที่เคยดูแคลนเฉินซี “ฮึ่ม! ไอ้พวกงี่เง่าช่างน่าหัวเราะจริง ๆ! พวกเจ้าสมควรถูกคนอื่นหลอกลวงไปตลอดชีวิต”

“กล่าวได้ดี” ซ่งหลินกล่าวอย่างชื่นชม

“ช่างเถอะ พวกเขาเพียงถูกซูเจิ่นเทียนหลอกลวงเท่านั้น” ตู้ชิงซีอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อนางเห็นเฉินซีทำลายล้าคนร้ายทั้งหมดด้วยพลังอันไร้เทียมทาน นางก็รู้สึกยินดีแก่เขา อีกทั้งยังรู้สึกภาคภูมิใจและมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

“ยอดเยี่ยม! พลังมหาศาลเช่นนี้เทียบได้กับความแข็งแกร่งของเหล่าเทพจากยุคบรรพกาล!” ที่บนแท่นหยก ประมุขของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว

ทันทีที่คำพูดนี้กล่าวออกไป ก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ในทันที

ก่อนหน้านี้เฟยเหลิ่งชุ่ยและศิษย์อีกกว่าสองร้อยคน ไม่อาจต้านทานคนร้ายเหล่านั้นและถูกบีบบังคับให้ต้องหลบหนีออกจากเจดีย์ แต่ในตอนนี้ เฉินซีได้ทำลายล้างวายร้ายทั้ง 32 คนด้วยตัวคนเดียวอย่างง่ายดาย เมื่อนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน ก็ยิ่งทำให้ความสามารถของเฉินซีดูโดดเด่นยิ่งกว่า

ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ล้วนเป็นบุคคลที่มีสายตาเฉียบแหลม ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถแยกแยะสาเหตุที่เป็นแก่นสำคัญของเหตุการณ์นี้ ซึ่งเหตุผลที่เฉินซีทรงพลังนั้นก็มาจากพลังอิทธิฤทธิ์ที่ชายหนุ่มแสดงออกมา อานุภาพของมันสามารถบดขยี้ศัสตราวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสุดยอดทั้งหลายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และพลังอิทธิฤทธิ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง

มีเพียงผู้นำตระกูลซู ซูเจิ่นเทียนเท่านั้นที่มีสีหน้าเศร้าหมองเป็นอย่างมาก เพราะว่ายิ่งเฉินซีประสบความสำเร็จมากสักเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น และมันได้ตอกย้ำความเกลียดชังที่อยู่ในใจเขาอย่างมหาศาล

ในขณะนี้ เมื่อเขาได้ยินคำชื่นชมของเหล่าผู้นำที่มีต่อเฉินซี มันก็เหมือนกับคมดาบที่ทิ่มแทงหัวใจของเขา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความคับข้องและความโกรธแค้นในใจของเขาเลย

“ไอ้พวกไร้ประโยชน์บัดซบ! มีคนอยู่ตั้งมากมาย แต่กลับไม่สามารถฆ่าคน ๆ เดียวได้!” ในมุมมืดที่ห่างไกลจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านที่ปกปิดร่างกายด้วยชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน ตามความคิดของข้า เรื่องราวครั้งนี้ไม่อาจตำหนิพวกเขาได้ เนื่องจากคู่ต่อสู้ของพวกเขานั้นแข็งแกร่งเกินไป และแม้แต่ข้าเองก็รู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้เฝ้าดูการต่อสู้ที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ ยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมได้ตกอยู่ในมือของมันแล้ว มันย่อมเป็นปัญหาใหญ่หลวง เพราะสิ่งนั้นคือสมบัติอันล้ำค่าของนิกายพุทธที่นายท่านใช้สติปัญญาและฝ่าฟันความยากลำบากมากมายเพื่อให้ได้มา ถ้าหากเราเสียมันไป ข้าเกรงว่า…” เฟิ่งหมิงที่อยู่ใกล้เคียงกล่าวอย่างระมัดระวัง

“ฮึ่ม! ข้าย่อมรู้ผลที่ตามมาอย่างแน่นอน” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านคำรามอย่างเย็นชา “แม้ว่ามันจะสามารถพิชิตเจดีย์โดยใช้อักขระสยบวิญญาณ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะซ่อมแซมเจดีย์ได้อย่างไร ดังนั้น เราแค่หาโอกาสที่จะติดต่อกับมัน หลังจากนั้นค่อยฆ่ามันเพื่อแย่งชิงยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมกับเจดีย์บำเพ็ญทุกข์มาในภายหลัง”

“ท่านหัวหน้าหมู่ตึกฟ่าน สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง” เฟิ่งหมิงยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ข้าแค่หวังว่ามันจะรักษาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไว้ได้ เพราะความมั่งคั่งที่มันกำลังจะได้รับย่อมกระตุ้นความโลภของผู้คน ในยามที่มันได้ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ภายใต้การจ้องมองของผู้คนที่อยู่ตรงนั้น เมื่อนั้นอาจจะเป็นเวลาตายของมัน และย่อมเป็นปัญหาที่บานปลายอย่างแท้จริง” หัวหน้าหมู่ตึกฟ่านถอนหายใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]