บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 149

บทที่ 149 ยึดคืน

บทที่ 149 ยึดคืน

ครืนนนน!

ฉับพลันที่คนทั้งสี่จู่โจม ท้องฟ้าสะท้านสะเทือนเป็นระลอกครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งกระแสกระเพื่อมแผ่กระจายไปทุกแห่งหนที่พวกเขาเคลื่อนผ่านไป พลังที่น่าเกรงขามอยู่แล้วยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว

ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสี่คนเป็นถึงประมุขของนิกาย การลงมือจู่โจมอย่างเฉียบพลันเช่นนี้ออกจะเกินความคาดหมายของทุกคนโดยรอบอย่างแท้จริง ไม่มีใครคิดว่าคนซึ่งมีอัตลักษณ์เป็นที่นับถือของคนทั่วไป ยามนี้จะเสียความสงบเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ และไม่นำพาต่อสถานะและสถานการณ์ของตนจึงร่วมกันลงมือจู่โจมเฉินซี!

ฝ่ายซูเจิ่นเทียนทั้งสี่คนมีความว่องไวปานสายฟ้าอย่างยากจะหาผู้ใดทัดเทียม เกือบจะพร้อมกับเสียงที่ดังกึกก้อง ทั้งสี่คนพลันพุ่งทะยานลงจากแท่นหยก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้วางแผนกันมาก่อนหน้าแล้ว

ยิ่งกว่านั้นคนทั้งหมดเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะพลังขอบเขตจุติ ในขณะนี้ เมื่อพวกเขาเปิดฉากจู่โจม ได้แผ่พลังอันน่าสะพรึงกลัวออกจากร่างกายราวมวลน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่กระหน่ำซัดพัดพา เป็นเหตุให้คนที่อยู่ใต้แท่นหยกต่างรู้สึกอึดอัดเหมือนกับหายใจไม่ออก ทันใดนั้นคนทั้งหมดก็ถูกพลังพัดปลิวจนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง ไม่ต่างจากใบไม้แห้งต้องกระแสลมฤดูใบไม้ร่วงพัดจนปลิดปลิวไปอย่างง่ายดาย

เฉินซีที่อยู่ไกลออกไปยังคงหลับตาอยู่ ใบหน้าแฝงรอยยิ้มเป็นนิจก็จริงหากแต่ในหัวใจของเขากลับรับรู้ถึงอันตรายร้ายแรงที่พุ่งเข้ามา ความสยองขวัญสั่นประสาทที่บังเกิดขึ้นทำให้ชายหนุ่มถึงกับตาสว่าง ตื่นจากสภาวะเป็นสุขและสงบนิ่ง จากนั้นจึงสังเกตเห็นซูเจิ่นเทียนและอีกสี่คนผสานพลังที่น่าสะพรึงกลัวสุดขีดขณะพุ่งเข้าหาเขา เพียงพลังที่แผ่ออกมาจากพวกเขา ก็ทำให้เฉินซีรับรู้ถึงแรงกดดันน่ากลัวที่ไม่ว่าจะสลัดอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้น

“เกิดอะไรกันขึ้น แล้วเหตุใดข้าถึงออกมาจากเจดีย์เช่นนี้?” ยังไม่ทันที่เฉินซีจะหันไปรอบข้างด้วยความงุนงง เขาพลันได้รับการสื่อสารจากหลิงไป๋ที่ส่งเข้ามาในจิตใจ “หนีไปเร็ว! พวกสี่คนนั้นล้วนเป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติทั้งสิ้น เจ้าฉวยเอาเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ไปอย่างนี้ พวกมันจะปล่อยให้เจ้ารอดไปได้อย่างนั้นหรือ!”

เพียงได้ยินเท่านั้น เฉินซีก็เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของตนเอง สีหน้าของเขาพลันกลายเป็นถมึงทึงทันที พวกของซูเจิ่นเทียนกำลังล้อมกรอบเขาจากทุกทิศทาง ขณะเดียวกันก็ปลดลปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมาปิดล้อมอย่างแน่นหนา จนเขารู้สึกเหมือนตนเองเป็นเพียงฟางหญ้าที่ลอยคว้างอยู่กลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เขาแทบไม่อาจต้านแรงกดดันมหาศาลนั้นด้วยการใช้พลังทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะสู้หรือหนีดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

นี่คือความแตกต่างอย่างร้ายกาจของขอบเขตการบ่มเพาะพลัง

ไม่ว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเฉินซีจะโดดเด่นเพียงใด ความสามารถในการเข้าใจของเขาจะสูงเพียงใด หรือเคล็ดวิชาที่เขามีอยู่จะเลิศล้ำขนาดไหน เมื่อเผชิญหน้ากับผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติซึ่งอยู่เหนือกว่าเขาถึงสองขอบเขต เขาก็อ่อนแอจนถึงจุดที่ดูเหมือนมดที่คงตายด้วยการกระทืบเพียงครั้งเดียว

นี่ยังไม่พูดถึงว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติสี่คนที่จู่โจมเข้ามาพร้อมกัน เช่นนี้เขาจะมีช่องว่างตรงไหนให้โต้ตอบบ้าง?

ครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกที่เฉินซีรู้สึกอับจนหนทาง ขาดแคลนพละกำลังและสูญสิ้นความหวังราวกับคนที่กำลังจะจมน้ำตาย

เฉินซีกำลังตกอยู่ในอันตราย!

ขณะนั้นตู้ชิงซีหลับตา ใบหน้าของต้วนมู่เจ๋อบิดเบี้ยวเหยเก ฝ่ายซ่งหลินหรี่ตาแคบ ส่วนเฉินฮ่าวกัดริมฝีปากตนเองแน่น เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเร็วนักจนทำให้พวกเขาไม่ทันได้ตอบโต้ หรือต่อให้พวกเขามีเวลาในการลงมือช่วยเหลือมากกว่านี้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้มากเช่นกัน

มีเพียงซูเจียวคนเดียวเท่านั้นที่แววตาเป็นประกายด้วยความยินดี ความเป็นศัตรูของนางกับเฉินซีนั้นฝังรากหยั่งลึกมานาน และสิ่งที่สตรีผู้นี้ต้องการไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่ได้เห็นเฉินซีต้องตายด้วยฝีมือของผู้เป็นบิดา ฉะนั้นภาพนี้จึงถูกใจของนางยิ่งนัก

“ตายเสีย!” ซูเจิ่นเทียนทะยานขึ้นไปอยู่เหนือร่างของเฉินซี ขณะที่สายตาจ้องขม็งไปยังชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกลนัก เจตนาสังหารพุ่งออกมาจากหัวใจ ความเดือดดาลที่ปะทุอยู่ในใจเป็นตัวกระตุ้นให้ปรารถนาที่จะบดขยี้คนที่อยู่ตรงหน้าให้แหลกมากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

“ซูเจิ่นเทียน…ผู้นำตระกูลซู เถี่ยอวิ๋นจื่อ ประมุขแห่งพระราชวังข่ายดารา ฉางเสี่ยวหลง ผู้นำตระกูลฉาง…และประมุขของสำนักเมฆาอนันต์ เจียงเจิ้นอวี่…ข้าจดจำพวกเจ้าได้ทุกคน ต่อให้ต้องตายลงวันนี้ข้าก็จะลากพวกเจ้าทั้งหมดให้ลงนรกไปด้วย!” แววตาเหี้ยมเกรียมของเฉินซีส่องประกายวาบ เขากำลังต้องการจะระเบิดพลังบ่มเพาะทั้งหมดในตัวและเมื่อนั้นจะทำให้ทุกคนที่เขาระบุตัวตนถูกระเบิดไปด้วย!

ในช่วงเวลาแห่งความป็นความตาย ขณะนั้นเฉินซีรู้สึกว่าภาพที่มองเห็นพร่ามัวไปหมด ทันใดนั้นร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า และก่อนที่เขาจะแยกแยะได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ฉับพลันนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดเปรี้ยงปร้างที่ดังไม่ชัดนักขึ้นสี่ครั้ง ผลคือพวกของซูเจิ่นเทียนที่พุ่งตัวมาจากทุกทิศทางต่างถูกพลังฟาดจนทุกคนกระเด็นไปไกลกว่าห้าสิบจั้ง ด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว ซึ่งเป็นภาพที่น่าสมเพชอย่างยิ่ง!

ฟึ่บ!

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ทุกคนที่กำลังรับชมอยู่อ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน แต่ละคนที่เฝ้าดูแทบไม่เชื่อกับสิ่งที่เห็น การลงมือจู่โจมพร้อมกันของผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติถึงสี่คน จะไปสามารถรับมือได้ง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!

บัดนี้เฉินซีก็ได้เห็นว่าคนที่เพิ่งมานั้นคือใครอย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน อีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าสีคราม ในมือมีพัดที่ทำมาจากขนนก ท่าทางมีมิตรไมตรี ใบหน้าหล่อเหลาและสุภาพ น่าตกใจอย่างยิ่งที่คนผู้นี้ก็คือบรรพจารย์ใหญ่เหวินเสวี่ยนแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร…! ผู้สำเร็จการบ่มเพาะพลังขอบเขตสถิตกายา แต่เขาไม่เป็นที่รู้จักโดยวงกว้างนักเพราะชอบอยู่อย่างสันโดษมานานปี!

“นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนนั่นเอง ไม่แปลกใจแล้วเป็นเขาที่จะสามารถทำลายพลังจู่โจมของพวกซูเจิ่นเทียนทั้งสี่ด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว!”

“เขาเองอย่างนั้นหรือ? ข้าเคยได้ยินมาเหมือนกันว่ามีผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่แยกตัวสันโดษ เป็นผู้อาวุโสตรงหน้าคนนี้เองสินะ”

“ถ้าเช่นนั้นเขาก็คือผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา…น่ากลัว! น่ากลัวนัก!”

เมื่อทุกคนต่างลงความเห็นว่าบุรุษลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันผู้นั้นคือเหวินเสวี่ยน ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจร นักพรตเต๋าที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก ณ ขณะนั้น ผู้คนในบริเวณโดยรอบต่างเผยความเคารพนับถือและเทิดทูนอยู่ในที

ทว่าสำหรับคนสี่คน ซูเจิ่นเทียน เถี่ยอวิ๋นจื่อ ฉางเสี่ยวหลงและเจียงเจิ้นอวี่ นอกจากพวกเขาจะรู้สึกประหลาดใจและงุนงงแล้ว การปรากฏตัวของเหวินเสวี่ยน ได้กระตุ้นให้ความโกรธเคืองของพวกเขาพุ่งขึ้นมาเป็นระลอก

พวกเขากำลังจะจัดการกับเฉินซี เพื่อที่พวกตนจะได้ยึดสมบัติอมตะเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เสียเลย ทว่าผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาคนนี้จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแทรกกะทันหัน จะไม่ให้พวกเขารู้สึกขัดเคืองใจอย่างไรได้

“อาจารย์!” เฉินฮ่าวพลันทะยานเข้ามา จากนั้นจึงรีบค้อมตัวคารวะทักทาย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]