บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 150

บทที่ 150 อำนาจและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

บทที่ 150 อำนาจและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่

“บรรพบุรุษตระกูลซู…ซูอิ้งคง!”

“ที่แท้ก็เฒ่าเจ้าเล่ห์คนนี้เอง! มิน่าล่ะ เขาจึงได้สำแดงพลังอำมหิตเช่นนี้ ที่แท้ก็แอบซุ่มเพื่อพยายามก้าวเข้าสู่ขอบเขตสถิตกายาอย่างลับ ๆ มานับพันปี ตอนนี้ที่ปรากฏตัวออกมาคงเป็นไปได้ว่าเขาบรรลุขอบเขตสถิตกายาแล้ว!”

“อย่างนี้ก็เยี่ยมเลย แม้แต่บรรพบุรุษตระกูลซูยังเปิดเผยตัว เห็นทีเฉินซีจะถึงคราวเคราะห์เป็นแน่”

“คงเป็นแบบนั้น คนผู้นี้ไม่ได้มาเพื่อเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ แต่ต้องการมาล้างแค้นให้คนในตระกูล ดังนั้นการที่เฉินซีเป็นคนนอก คนอื่น ๆ คงไม่กล้าสอดมือเข้ามายุ่งขวางทางบรรพบุรุษตระกูลซูเป็นแน่”

เมื่อทุกคนมองเห็นคนที่ปรากฏตัวคือชายชราสวมชุดคลุมแดงร่างผอมแกร็น เสียงพึมพำของผู้คนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบก็ดังเอ็ดอึงขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากอาการตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว หลายคนจึงอดไม่ได้ที่จะคาดการณ์ชะตากรรมของเฉินซีเป็นการใหญ่

“คารวะบรรพบุรุษ ขอแสดงความยินดีกับท่านที่สำเร็จขอบเขตสถิตกายาบรรลุการหยั่งรู้พลังแห่งฟ้าดิน!” ซูเจิ่นเทียนเอ่ยพร้อมกับแสดงการคารวะ ขณะเดียวกัน สายตาของผู้พูดพลันเหลือบไปยังนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามอย่างเย้ยหยัน

หากจะพูดแล้ว ผู้บ่มเพาะขอบเขตจุติถือว่าอยู่ในจุดที่สูงที่สุดแล้วในเมืองทะเลสาบมังกร การมีคนในขอบเขตสถิตกายาอยู่ด้วยจึงจัดว่าเหนือผู้คนทั้งหลาย มีกองกำลังเพียงไม่กี่แห่งในบรรดากองกำลังใหญ่ทั้งแปดนิกาย สามสำนักและหกตระกูลเท่านั้นที่มีผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา

ในขณะที่ซูเจิ่นเทียนกำลังวิตกกังวลอยู่ การที่บรรพบุรุษปรากฏตัวขึ้นมาในวันนี้จึงนับว่าเหมาะเจาะอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่เพียงแต่สามารถเผยให้เห็นว่าพวกเขามีทรัพยากรซุ่มซ่อนอยู่ มีขุมพลังทรงพลังและเผยความแข็งแกร่งของตระกูลซูให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนเท่านั้น หากยังสามารถสยบคนอย่างนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าลงมืออย่างที่ใจปรารถนาได้อีกต่อไป อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการกระทำหนึ่งอย่างแต่ได้ประโยชน์สองต่อ

แต่ที่สำคัญที่สุด เวลานี้ตระกูลซูกำลังต้องการผู้ที่มีความแข็งแกร่งเพื่อมาช่วยยับยั้งพลังอำนาจรายล้อมพวกเขาอย่างเร่งด่วน ด้วยภายหลังจากที่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำหกคนและตัวตนขอบเขตแกนทองคำหยินหยางหนึ่งคนของตระกูลซูถูกเฉินซีสังหารหมดสิ้น มันได้ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของตระกูลซูบ้างไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ศิษย์รุ่นใหม่ผู้มีฝีมือระดับสูงเกือบทั้งหมดของตระกูลซูต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ จึงกล่าวได้ว่าสถานการณ์ของตระกูลซู ณ วันนี้หนักหนาสาหัสเอาการ จึงเป็นที่ดึงดูดความสนใจของกองกำลังมหาอำนาจอื่นที่มีความโลภอยากได้ใคร่ดีและอยู่ไม่สุข

ภายใต้สถานการณ์ที่มีปัญหาภายในและภายนอกเข้ามารุมเร้า การเผยถึงการมีอยู่ของตัวตนขอบเขตสถิตกายานั้นทำให้ตระกูลซูมีความสามารถในการยับยั้งกองกำลังต่าง ๆ ได้อย่างไม่ต้องสงสัย และคนที่ต้องการจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ของตระกูลซูเหล่านี้เองก็ต้องไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมา หากจะถูกจู่โจมโดยผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาของฝ่ายนั้น

บรรลุขอบเขตสถิตกายาอย่างนั้นหรือ?

ทันทีที่ซูเจิ่นเทียนกล่าวจบ บรรดาผู้นำของกองกำลังทั้งหลายต่างหรี่ตาลง ขณะที่สีหน้าของแต่ละคนแปรเปลี่ยนไปมีทั้งประหลาดใจและข้องใจ

“เหวินเสวี่ยนส่งตัวเจ้าเด็กนั่นมา เจ้ากับมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน อย่าให้เรื่องนี้มากระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองกำลังของพวกเราทั้งสองฝ่ายดีกว่า!” บรรพบุรุษของตระกูลซูที่มาปรากฏตัว เขม้นมองนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยน ขณะเอ่ยวาจาและสีหน้าของเขาก็เฉยชาอย่างยิ่ง

“หึ! เพิ่งจะบรรลุขอบเขตสถิตกายายังกล้าวางก้ามต่อหน้าข้าถึงเพียงนี้อย่างนั้นหรือ” นักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนคำรามเสียงกร้าว “ถ้าไม่ใช่เพราะมีผู้คนอยู่มากมาย กลัวว่าคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ข้าจะฆ่าเจ้าเสียเดี๋ยวนี้!”

สีหน้าของซูอิ้งคงเคร่งเครียดลงขณะที่เอ่ยด้วยเสียงช้าชัด “ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงหวาดกลัวเจ้าเป็นแน่ แต่ตอนนี้ข้าบรรลุขอบเขตสถิตกายาแล้วและเมื่อผสานกับสมบัติล้ำค่าที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งได้สำเร็จแล้วด้วย เหวินเสวี่ยน…ถ้าเจ้าไม่กลัวตาย อยากลองก็เข้ามา!”

สมบัติล้ำค่าที่น่าสะพรึงกลัวอย่างนั้นหรือ?

ทันใดนั้นเหวินเสวี่ยนเหมือนจะรำลึกถึงบางสิ่งขึ้นได้ จึงได้ถามออกไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าหมายถึงหมุดครามอัสนีกัมปนาททั้งสามสิบหกเล่มนั่น”

ซูอิ้งคงพลันเปล่งเสียงหัวเราะดังอย่างสะใจ จากนั้นจึงค่อยกล่าวว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอย่างเจ้า…เหวินเสวี่ยนจะรู้เรื่องของล้ำค่าชิ้นนี้ของตระกูลซูกับเขาด้วย ถูกต้อง ข้าหลอมรวมหมุดครามอัสนีกัมปนาท ทั้งสามสิบหกเล่มเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้พวกมันได้รวมตัวกันเป็นกระบี่ครามอัสนีกัมปนาท เป็นเสมือนสมบัติกึ่งอมตะ เหวินเสวี่ยน…ยังมั่นใจอยู่หรือไม่ว่าจะเอาชนะข้าได้”

ทุกคนพลันประหลาดใจทันทีที่ได้ยินดังนั้น ทำให้พวกเขาต่างตกอกตกใจจนใบหน้าเผือดสีซีดไปตาม ๆ กัน

“หลิงไป๋ สมบัติกึ่งอมตะคืออะไร” เฉินซีนิ่วหน้าพลางถามออกไป

“ศัสตราวิเศษที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด น่ากลัวเสียยิ่งกว่าศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสูง มันมีศักยภาพสูงพอที่จะกลายไปเป็นสมบัติอมตะในอนาคตจึงได้ชื่อว่าสมบัติกึ่งอมตะอย่างไรล่ะ อันที่จริงตามปกติแล้วอย่าว่าแต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายาเลย ต่อให้เป็นเซียนสวรรค์ก็ยังต้องขัดเกลาเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองถึงสามพันปี จึงจะสามารถหลอมรวมสมบัติกึ่งอมตะให้สำเร็จ ก่อนที่จะพัฒนามันให้กลายไปเป็นสมบัติอมตะที่แท้จริง” หลิงไป๋อธิบายยืดยาว

เมื่อได้ฟังแล้ว ชายหนุ่มจึงเข้าใจในทันที ไม่แปลกเลยที่บรรพบุรุษของตระกูลซูจะมั่นใจนักหนา เป็นเพราะเขาครอบครองสมบัติกึ่งอมตะชิ้นนั้น แม้จะเพิ่งบรรลุความสำเร็จขอบเขตสถิตกายา แต่กลับมั่นใจนักว่าจะรับมือนักพรตเต๋าเหวินเสวี่ยนได้

ศัสตราวิเศษในโลกของการฝึกบ่มเพาะพลังแบ่งระดับเป็นมนุษย์ ล้ำลึก ปฐพีและสวรรค์ แต่ละระดับยังแบ่งออกเป็นขั้นต่ำ กลาง สูงและสุดยอด ทว่าแม้แต่ศัสตราวิเศษระดับสวรรค์ที่มีอำนาจกล้าแกร่งที่สุดก็ยังด้อยกว่าสมบัติกึ่งอมตะ ซึ่งกระบี่ครามอัสนีกัมปนาทที่ซูเจิ่นเทียนมีในครอบครองนั้นมีอำนาจล้นเหลือจนสามารถปิดช่องว่างระดับการบ่มเพาะของพวกเขาได้อย่างแน่นอน

“เหวินเสวี่ยน คิดผิดคิดใหม่ได้นะ” ซูอิ้งคงยกยิ้มที่มุมปากน้อย ๆ เมื่อเห็นว่าคนถูกถามถึงกับเงียบงัน จากนั้นเขาจึงกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยต่อไป “คุ้มกันหรือที่เจ้าจะแลกกับคนนอกเพียงคนเดียว”

“คิดว่าข้ากลัวหรือไร?” เหวินเสวี่ยนย้อนถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “เจ้ามันช่างน่าหัวร่อสิ้นดี เพียงแค่ได้ครอบครองสมบัติกึ่งอมตะก็ทึกทักไปว่าตัวเองช่างไร้เทียมทานเหนือกว่าคนทั้งโลกเสียแล้ว”

ฉับพลันใบหน้าของซูอิ้งคงกลายเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียด “ข้าอยากรู้นักว่า เหตุใดเจ้าจึงพยายามปกป้องเจ้าเด็กนั่นอยู่ร่ำไป!”

“ก็เพราะ…” ทว่ายังไม่ทันที่เหวินเสวี่ยนจะเอ่ยตอบจนจบประโยค ทันใดนั้นเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเสียงของคนชราดังก้องไปทั้งฟ้าดิน จนไม่ว่าใครได้ยินต่างก็ต้องขนลุกชัน

“เพราะเขาเป็นน้องชายของข้า…เป่ยเหิงอย่างไรล่ะ…ทีนี้เข้าใจหรือยัง?”

เสียงพูดดังก้องมาพร้อมกับการปรากฏกายของชายชราผมสีเทา สวมเสื้อผ้าสีเทา เขาเคลื่อนกายไปปรากฏกายเบื้องหน้าของซูอิ้งคงอย่างรวดเร็ว จากนั้นฝ่ายหลังก็ถูกฝ่ามือฟาดเข้าที่ใบหน้าสิบกว่าทีจนเสียงสะท้อนก้องไปทั้งบริเวณ เป็นเหตุให้ใบหน้าของซูอิ้งคงบวมแดงขึ้นอย่างทันตาเห็น

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทำให้ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงพรึงเพริดไปตาม ๆ กัน หลายคนตกใจจนถึงกับพูดไม่ออก ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายากลับถูกตบหน้าอย่างแรงไม่น้อยกว่าสิบครั้งติดกัน ซึ่งเจ้าตัวไม่อาจตอบโต้ได้เลย!

หา!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]