บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 151

บทที่ 151 ยอดเขาใจสัจธรรม

บทที่ 151 ยอดเขาใจสัจธรรม

หวือ!

เพียงชั่วพริบตา ลำแสงได้หายลับไปในท้องฟ้า และทะยานไปสู่เทือกเขาเมฆาพเนจรอันกว้างใหญ่

เฉินซีได้ยินเพียงเสียงดังกึกก้องขณะที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกระแสลมปกคลุม จากนั้นสภาพแวดล้อมก็มืดมัวและทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็บิดเบี้ยวเป็นระลอกคลื่น ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง เขาก็ปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาแล้ว

“หรือว่าสิ่งนี้คือเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายมิติ?” เฉินซีกวาดสายตาไปยังภูเขาที่อยู่รายรอบ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง เขาได้มาถึงนิกายกระบี่เมฆาพเนจรแล้วจริง ๆ! ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เจดีย์บำเพ็ญทุกข์อยู่ห่างจากแนวเทือกเขาเมฆาพเนจรถึงสองพันห้าร้อยลี้ แต่ทว่ากลับใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็สามารถมาถึงเทือกเขาเมฆาพเนจรได้แล้วหรือ?

‘เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายมิติ’ หรือถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘การย่นมิติ’ มันเป็นเคล็ดวิชาที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก ที่มีเพียงตัวตนยิ่งใหญ่อย่างขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่สามารถเชี่ยวชาญได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อบ่มเพาะจนถึงขั้นสูงสุด เพียงก้าวเดียวก็สามารถย่นระยะทางได้ไกลกว่าสองร้อยห้าสิบลี้

เหตุผลที่มีเพียงผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีเท่านั้นที่จะใช้วิชานี้ได้ ก็เป็นเพราะพวกเขาได้ผ่านทัณฑ์สวรรค์ ปราณแท้ในร่างกายจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงเป็นปราณเซียน และมีเพียงปราณเซียนเท่านั้น ที่สามารถขับเคลื่อนเคล็ดวิชาที่ทรงพลังเช่นนี้ได้

“น้องเล็ก ยอดเขาที่ข้าเลือกให้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เป่ยเหิงชี้ไปที่ยอดเขาด้านล่างและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พี่ใหญ่เป่ยเหิง ท่านปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี ความสูงชันของยอดเขานี้เกินกว่าจินตนาการของข้ายิ่งนัก” เฉินซีก้มหน้าลงมอง และเห็นว่ายอดเขานี้เงียบสงบและสง่างามอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีกลิ่นอายยิ่งใหญ่ราวกับกระบี่ที่แทงทะลุท้องฟ้า บนยอดเขามีตำหนักที่ถูกสร้างขึ้นอยู่ห้าหลัง ซึ่งถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยศาลาและชานระเบียง ต้นไม้เจริญงอกงามและพุ่มไผ่สูง และทุกซอกทุกมุมของมันก็ใหม่เอี่ยม

“หากเป็นในโลกมนุษย์ การสร้างตำหนักบนภูเขาเช่นนี้ อาจต้องใช้คนหลายหมื่นคนเพื่อทำการก่อสร้างอย่างยากลำบากเป็นเวลาหลายสิบปี ในขณะที่นิกายใหญ่สามารถสร้างได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน” เฉินซีถอนหายใจ

“นี่คือความมหัศจรรย์ของผู้บ่มเพาะ เคลื่อนภูเขา ถมน้ำทะเล เด็ดดวงดาว เคลื่อนดวงจันทร์ออกจากท้องฟ้า เปลี่ยนสิ่งที่เสื่อมโทรมให้กลายเป็นสิ่งงดงาม และมีความสามารถพิเศษมากมายที่เหนือจินตนาการของมนุษย์ทั่วไป ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ผู้คนในโลกต่างมุ่งมั่นแสวงหาความเป็นเซียน ปรารถนาที่จะขึ้นไปสู่สวรรค์สัมผัสเหล่าดาราที่มีมากมายบนฟากฟ้า” เป่ยเหิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน ทั้งสองคนก็ร่อนลงมายังด้านหน้าของตำหนักบนยอดเขาแล้ว

ทันใดนั้นเอง ศิษย์รุ่นเยาว์จำนวนมากก็เข้ามาทักทายพวกเขาพร้อมกับโค้งคำนับ “คารวะบรรพจารย์สูงสุดเป่ยเหิง คารวะบรรพจารย์อาเฉินซี”

คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่อาจเทียบได้กับศิษย์ชั้นยอด แต่นับว่ายังเหนือกว่าศิษย์สายนอกนัก พวกเขาเกือบทั้งหมดมีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตก่อกำเนิด และบุคคลที่โดดเด่นบางคนก็มีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตตำหนักอินทนิล

เป่ยเหิงได้ส่งพวกเขามาคอยดูแลชีวิตประจำวันของเฉินซี รวมไปถึงจัดการงานในตำหนัก ทุ่งสมุนไพรวิญญาณ ห้องขัดเกลาศัสตรา และห้องกลั่นโอสถจำนวนมากที่เพิ่งสร้างใหม่บนยอดเขานี้ต้องได้รับการดูแลอยู่เสมอ เมื่อเหล่าศิษย์ในสำนักจัดการหน้าที่เหล่านี้ เฉินซีย่อมสามารถบ่มเพาะได้อย่างสบายใจ โดยไม่ต้องเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยทั้งหลาย

เมื่อเฉินซีเห็นผู้คนจำนวนมากโค้งคำนับทักทายเขา และบางคนอายุมากกว่าเขาด้วยซ้ำ เฉินซีจึงลอบถอนหายใจ และต้องการที่จะหยิบของขวัญออกมามอบให้กับพวกเขา แต่เมื่อนึกถึงตัวตะกละสองตัวที่อยู่ในแหวนมิติของเขา พวกมันคงได้กินศัสตราวิเศษทั้งหมดไปนานแล้ว และเขาก็ยังไม่ได้ตรวจสอบกระเป๋ามิติที่รวบรวมมาจากเจดีย์บำเพ็ญทุกข์ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขณะที่เขารู้สึกละอายอยู่ในใจ

เป่ยเหิงเป็นชายชราที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ดังนั้นเขาจะไม่รู้ถึงสิ่งที่เฉินซีกำลังคิดอยู่ได้อย่างไร? ทันใดนั้น เขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป จากนั้นมีขวดโอสถรวมรากฐานลอยออกมา และมอบพวกมันแก่ศิษย์ทุกคน โดยมันจะช่วยในการรวมรากฐานแห่งเต๋า “พวกเจ้าจงคอยเชื่อฟังคำสั่งจากน้องชายของข้าให้ดี ในอนาคต ผลประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมกำลังรอพวกเจ้าอยู่ และมันก็ขึ้นอยู่กับผลงานของพวกเจ้าด้วย”

ศิษย์เหล่านี้ต่างแสดงสีหน้ายินดี จากนั้นพวกเขาก็โค้งคำนับและกล่าวว่า “เราจะจดจำคำสอนของบรรพจารย์สูงสุด!”

“น้องเฉิน รอบ ๆ ยอดเขานี้ มันยังขาดสิ่งใดอีกหรือไม่?” เป่ยเหิงโบกมือ และเหล่าศิษย์ก็แยกย้ายกันไป ก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไปในตำหนักที่ใหญ่ที่สุดพร้อมกับเฉินซี

“มันเพียงพอแล้ว ข้าแค่ต้องการทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะ ดังนั้นข้าจึงไม่ถือว่าทรัพย์สินเป็นสิ่งสำคัญ การตระเตรียมของพี่ใหญ่เป่ยเหิงทำให้ข้าซาบซึ้งเป็นอย่างมากขอรับ” เฉินซีแย้มยิ้ม และเขากล่าวออกมาจากใจจริง

ในเส้นทางของการบ่มเพาะ การแสวงหาของผู้บ่มเพาะคือการบรรลุสู่มหาเต๋า เพื่อมีอายุขัยและอิสระเท่ากับสวรรค์และโลก เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ อย่างอื่นก็เป็นเพียงเมฆหมอกที่ลอยผ่านตาและไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง

“ดีมาก! น้องเฉินซี ด้วยนิสัยเช่นนี้ การที่เจ้าจะบรรลุมหาเต๋าก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น” เป่ยเหิงหัวเราะเสียงดังขณะที่เขากล่าวว่า “อ่า จริงสิ ยอดเขานี้จะเป็นสถานที่ที่เจ้าบ่มเพาะและหยั่งรู้เต๋าในภายภาคหน้า ดังนั้นเจ้าควรตั้งชื่อให้แก่มัน”

“ให้ข้าตั้งชื่อมันหรือ?” เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะนึกถึงคำกล่าวที่ทั้งจี้อวี๋และผู้อาวุโสฝูซีเคยกล่าวถึง ‘เพื่อทำความเข้าใจเต๋าแห่งสวรรค์ จงซื่อสัตย์ต่อหัวใจของเจ้า’ จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “ข้าจะเรียกมันว่า ยอดเขาใจสัจธรรม”

“ยอดเขาใจสัจธรรม? ยึดมั่นในหัวใจของเจ้า? ฮ่า ๆๆ นับว่าเป็นชื่อที่ดี!” เป่ยเหิงรู้สึกประทับใจกับชื่อนี้มากและกล่าวด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยม “เต๋าแห่งสวรรค์นั้นคลุมเครือและแปรผันอยู่ตลอดเวลา เหล่าผู้บ่มเพาะต่างทุ่มเทให้กับการแสวงหาเต๋า แต่เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยหลุมบ่อ อีกทั้งยังมีขวากหนามและมารในใจคอยขัดขวาง มีไม่รู้กี่คนต่อกี่คนที่ได้สูญเสียหัวใจแห่งเต๋าและต้องล้มตายอยู่บนเส้นทางสายนี้…มันมีมากเหลือเกิน มากเกินไปจริง ๆ…”

หลังจากสนทนากันสักพัก เป่ยเหิงก็กล่าวคำอำลาและจากไป

เฉินซีจึงเดินตรวจดูที่อยู่อาศัยของเขา ภายในตำหนักนี้มีห้องที่เงียบสงบ ห้องขัดเกลาศัสตรา ทุ่งสมุนไพรวิญญาณ โถงอสูรวิญญาณ… หลังจากที่เขาเดินตรวจสอบโดยรอบแล้ว จึงกลับไปที่ห้องโถงและเรียกรวมศิษย์สายในทั้ง 72 คนที่ได้รับมอบหมายจากเป่ยเหิง ให้คอยดูแลบนยอดเขาใจสัจธรรม

ศิษย์ทั้ง 72 คนนี้ มีทั้งชายและหญิง แต่ละเพศมีจำนวนสามสิบหกคน และมีศิษย์สองคนในหมู่พวกเขาที่มีการบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นหนึ่งดารา ในขณะที่คนอื่น ๆ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์แบบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]