บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1484

สรุปบท บทที่ 1484 ต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

ตอน บทที่ 1484 ต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ จาก บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 1484 ต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] ที่เขียนโดย novelones เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 1484 ต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์

……………………………………………………………………..

บทที่ 1484 ต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่ในตำหนักศักดิ์สิทธิ์

ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋านั่นตั้งตระหง่านท่ามกลางฟ้าดิน และสูงตระหง่านขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า

นี่คือสถานที่ซึ่งชะตากรรมของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าทั้งหมดถูกเก็บรักษาไว้ ที่ซึ่งเจ้าสำนักคนแล้วคนเล่าได้บำเพ็ญเพียรและควบคุมสำนักจากที่นี่ นับเป็นพื้นที่หวงห้ามของสำนัก

เมื่อเทียบกันแล้ว ร่างของเฉินซีนั้นมีขนาดเล็กเหมือนมด และหายตัวไปหลังประตูที่นำไปสู่ตำหนักทันที

ตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋านั้นใหญ่โต กว้างขวาง และมโหฬาร ราวกับสามารถรองรับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว และโลกได้

ขณะที่เขายืนอยู่ข้างใน ก็เสมือนอยู่ในโลกอันกว้างใหญ่

การตกแต่งภายในตำหนักนั้นเรียบง่าย มีเสาหินโบราณที่หนา ใหญ่ และเก่าแก่จำนวนมากตั้งตรงราวกับกำลังค้ำยันฝืนฟ้า ทั้งยังประกอบด้วยฉากอันยิ่งใหญ่ต่าง ๆ เช่น การถวายเครื่องบวงสรวงแด่ทวยเทพ มังกรและวิหคอมตะก็ถูกแกะสลักไว้บนเสาเหล่านั้น

พื้นที่ภายในตำหนักถูกปกคลุมไปด้วยปราณเซียน ปราณโกลาหล ปราณรังสรรค์ ปราณบรรพกาล ปราณมงคล… พลังงานอันเป็นมงคลต่าง ๆ ไหลเวียนอยู่ภายใน และมันถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกที่เหมือนความฝัน

ตุบ! ตุบ!

เมื่อเฉินซีเข้าไปในตำหนักก็ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าของตนเท่านั้น ทั้งตำหนักดูเงียบสงบอย่างยิ่ง และเผยให้เห็นกลิ่นอายอันเคร่งขรึม

ในขณะนี้ ตราประทับหยกนพกระแสที่เฉินซีถืออยู่นั้น จู่ ๆ ก็เริ่มเปล่งประกาย และแผ่กลิ่นอายที่มีชีวิตชีวาซึ่งเชื่อมโยงกับทั้งตำหนักจากระยะไกล

มันเหมือนกับว่าทุกลมหายใจนั้นเชื่อมโยงกัน

โดยไม่มีเหตุผลใด ๆ หัวใจของเฉินซีกลับบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจพลันรู้สึกราวกับได้ยินคลื่นเสียงของการอ่านคัมภีร์โบราณ การอธิบายเต๋าและการถวายเครื่องบวงสรวง ซึ่งเสียงเหล่านั้นก็ไพเราะและเก่าแก่

ทั้งหมดนี้มาจากพลังของชะตากรรมที่ตำหนักครอบครอง และมันประทับอยู่ที่นี่หลังจากผ่านการชำระล้างของกาลเวลา

ชะตากรรมเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน มันมาจากเต๋าแห่งสวรรค์ ความปรารถนาและคำอธิษฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง แรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของทวยเทพ การสังเวยโดยบรรพบุรุษรุ่นก่อน…

มันเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์และเป็นมงคลซึ่งลึกซึ้งอย่างสุดจะพรรณนา แต่ก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

ในขณะนี้ เฉินซีสัมผัสได้ถึงพลังงานนี้อย่างชัดเจน มันทรงพลัง ทั้งยังหนาแน่น แต่ก็สะอาดและมีชีวิตชีวามาก มันทำให้รู้สึกเสมือนกลับไปสู่ความโกลาหลในช่วงเริ่มต้นของโลก และได้บรรลุเต๋า

ภายใต้การชี้นำของพลังงานนี้ ชายหนุ่มแทบจะไม่สามารถควบคุมการบ่มเพาะ และเกือบบรรลุสู่ขอบเขตราชันเซียน!

จู่ ๆ เฉินซีก็หายใจเข้าลึก ๆ และควบคุมแรงกระตุ้นนี้ ก่อนจะยืนนิ่ง ชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตำหนัก และด้วยชะตากรรมที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย มันทำให้เขาเป็นเหมือนราชาที่เสด็จลงมายังโลก

ตามที่คาดไว้ ข้าสามารถเชื่อมโยงกับตำหนักได้ โดยตราประทับหยกนพกระแสและใช้พลังแห่งชะตากรรมภายในนั้น… เฉินซีครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะก้าวยาว ๆ ไปข้างหน้า

ตำหนักนั้นกว้างใหญ่ไพศาลราวกับโลกที่อยู่ภายในดินแดนเร้นลับ ในขณะนี้ เฉินซีไม่คิดที่จะปกปิดตัวตนอีกต่อไป ดังนั้นจึงก้าวยาว ๆ และเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติไป

ในไม่ช้า เขาก็มาถึงส่วนลึกของตำหนัก

“ใช่แล้ว ข้าเฟิงซิงอู่ไม่ได้เป็นศิษย์ของสำนักมานานแล้ว แต่ถ้าข้าไม่ได้รับการสั่งสอนและคำชี้นำจากสำนัก ก็คงไม่มีวันที่จะข้าบรรลุขอบเขตราชันเซียนได้ไปตลอดชีวิต ดังนั้นตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเจ้าอย่าได้ฝันที่จะครอบครองหม้อมรดกเต๋าโบราณนี้!” ทันใดนั้น เสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหารอันไร้ขอบเขตก็ดังก้องออกมาจากส่วนลึกของตำหนัก และเผยให้เห็นกลิ่นอายอหังการที่ดูแคลนใต้หล้า

“เฟิงซิงอู่? หรือว่าจะเป็นราชันเซียนดาราวีรบุรุษ?”

คิ้วของเฉินซีเลิกขึ้น แสงศักดิ์สิทธิ์พลันส่องประกายอยู่ในดวงตา

“สหายนักพรตซิงอู่ ไยถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย? บัดนี้ภัยพิบัติได้มาถึงแล้ว และท่านเจ้าสำนักได้มุ่งหน้าไปยังแดนโลกาวินาศ เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้คือการแต่งตั้งเจ้าสำนักคนใหม่โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นสำนักจะตกอยู่ในความยุ่งเหยิงอย่างแน่นอน”

“ราชันเซียนดาราวีรบุรุษ เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว หากเจ้ายังคงดื้อรั้น ก็อย่าโทษพวกเราที่ไร้ความปรานี!”

“ฮึ่ม! ไม่จำเป็นต้องกล่าวอีกต่อไปแล้ว ขอข้าดูให้แน่ชัดว่าราชันเซียนดาราวีรบุรุษนี้จะสามารถยืนหยัดได้นานแค่ไหน!”

โครม!

ในชั่วพริบตา คลื่นเสียงของการต่อสู้ที่รุนแรงก็ดังก้องกังวาน และทำให้บทสนทนาหายไป

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง และทะยานไปข้างหน้าอย่างฉับไว

ลึกเข้าไปภายในตำหนักนั้นกว้างขวางมาก ทั้งยังกว้างใหญ่ราวกับฟ้าดิน

เดิมทีนี่เป็นสถานที่ที่เจ้าสำนักได้บ่มเพาะ ซึ่งมีกระถางธูป อาสนะ โต๊ะ และสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายถูกวางเรียงรายอยู่ที่นี่

ทว่าบัดนี้ กระถางธูปพังทลาย อาสนะหายไป โต๊ะแตกหักเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่เต็มพื้น

โดยรวมแล้วมันมีสภาพที่เละเทะไปหมด

ในขณะนี้ มีหลายคนกำลังต่อสู้กันอยู่ที่นี่ ทุกกระบวนท่าล้วนเปี่ยมด้วยอานุภาพสูงสุด และปราณเซียนที่พลุ่งพล่านก็สั่นสะเทือนไปรอบ ๆ

หากภายในตำหนักไม่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยข้อจำกัดมากมาย และมีพลังของชะตากรรมคอยปกป้องมันอยู่ มันก็คงถูกทำลายล้างจนกลายเป็นซากปรักหักพังไปนานแล้ว

มีความแตกต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้กันอยู่ ฝ่ายหนึ่งมีแค่คนเดียว เลือดอาบไปทั้งตัว ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง แต่ก็ยังต่อสู้อย่างห้าวหาญ โดยไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บบนร่างกายตน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือราชันเซียนดาราวีรบุรุษ ซึ่งเป็นตัวตนสูงสุดในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่บรรลุเต๋า ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงที่เขามีในภพเซียนนั้นทัดเทียมกับราชันเซียนรัตติกาล ราชันเซียนนภาเหมันต์ และราชันเซียนวิถีลึกล้ำ

ในทางกลับกัน คู่ต่อสู้ของเขากลับมีมากถึงแปดหรือเก้าคน!

อย่างไรก็ตาม คู่ต่อสู้เหล่านี้ไม่ได้มาจากกองกำลังเดียวกัน พวกมันแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ทั้งยังไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น ยังเผยสัญญาณของการเผชิญอยู่ราง ๆ อีกด้วย เป็นเพราะเหตุนี้พวกมันจึงไม่สามารถจัดการกับศัตรูที่ต่อสู้เพียงลำพังได้อย่างรวดเร็ว

หนึ่งในกองกำลังเหล่านี้ ประกอบด้วยราชันเซียนสามคน ซึ่งตามลำดับมาจากตระกูลว่านฉี ตระกูลจงหลี และตระกูลเจี้ยง ส่วนอีกกองกำลังประกอบด้วยราชันเซียนห้าคน ซึ่งมาจากภพพุทธองค์ เผ่าวิหคอมตะ ตระกูลจี้ และภพมังกร!

“ฮะ! ข้าไม่เคยคาดคิดว่าจะเป็นเจ้าที่มาช่วยข้าไว้ในที่สุด… ตามที่คาดไว้… เป็นไปตามที่คาดไว้… ผู้สืบทอด… ที่ท่านเจ้าสำนักแต่งตั้งช่างน่าทึ่งจริง ๆ”

บนพื้น ราชันเซียนดาราวีรบุรุษที่รอดพ้นจากความตายกระอักเลือด สีหน้าซีดเซียวอย่างน่าสยดสยอง ทว่าสายตาที่จ้องมองไปยังเฉินซีนั่นกลับเปี่ยมด้วยความพึงพอใจที่หาได้ยาก

“ผู้อาวุโสไม่จำเป็นต้องกล่าวแล้ว ที่เหลือปล่อยให้ข้าน้อยจัดการเอง” เฉินซีกล่าวด้วยใบหน้าที่สงบยิ่ง และมีเพียงดวงตาที่คุกรุ่นด้วยจิตสังหารพลุ่งพล่าน พลางมองราชันเซียนเหล่านั้นราวกับกำลังมองซากศพ และแววตาก็ปราศจากอารมณ์ใด ๆ

ความรู้สึกที่ถูกยั่วยุเช่นนี้ ทำให้สีหน้าของราชันเซียนเหล่านั้นมืดมนทันที

“ไอ้หนุ่ม ผู้ใดพาเจ้ามาที่นี่?” ชายชราผมขาวราวหิมะถาม ก่อนหน้านี้ ชายชราคนนี้เองที่ทำให้ราชันเซียนดาราวีรบุรุษได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยการฟาดค้อนเพียงครั้งเดียว เขาไขว่คว้าโอกาสนี้ด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง และกำลังจะได้รับหม้อมรดกเต๋าโบราณ ทว่าทั้งหมดนี้กลับถูกเฉินซีทำลายสิ้น ทำให้เขาโกรธแค้นอย่างมาก

“ไอ้เฒ่าสารเลว ข้าควรจะเป็นฝ่ายถามเจ้าว่าเจ้าไปกินดีงูมาจากไหนถึงกล้าบุกรุกพื้นที่หวงห้ามของสำนักข้า!” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและไม่แยแส ทั้งยังอหังการและหยิ่งผยอง ยิ่งไปกว่านั้น ไม่แม้แต่จะปกปิดความเกลียดชังและจิตสังหารเลยสักนิด

“ผู้เยาว์ เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” ชายชราเกือบจะระเบิดด้วยความโกรธ เขามาจากตระกูลเจี้ยงอันเก่าแก่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอิทธิพลในตระกูลอย่างกว้างขวาง ไหนเลยจะเคยถูกล่วงเกินเช่นนี้

เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ในทันที และฟาดฝ่ามือใส่เฉินซีจากระยะไกล

“เจ้าประเมินความสามารถของเจ้าสูงเกินไป!” เฉินซีคำรามอย่างเย็นชา แล้วตวัดฟันกระบี่สีแดงเลือดในมืออย่างสบาย ๆ

โครม!

เขาเฉือนพลังฝ่ามือนั้นราวกับฟันกระดาษ และไม่สูญเสียกำลังแม้แต่น้อย ก่อนจะพุ่งฟาดฟันเข้าใส่ชายชราอย่างดุเดือด

หลังจากนั้นก็มีเสียงโครมดังขึ้น พร้อมกับชายชราที่เซกลับไป สีหน้าของเขาทั้งขุ่นเคืองและซีดเซียว ทั้งยังตกใจ โกรธสุดขีด และเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

ราชันเซียนคนอื่น ๆ ที่แต่เดิมโกรธแค้นอย่างสุดขีด แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ทั้งหมดก็ตกตะลึงในใจ ทำให้ม่านตาหดตัว มีสีหน้าจริงจัง “เจ้าเด็กนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”

เห็นได้ชัดว่ามันอยู่ที่ขอบเขตราชันเซียนครึ่งขั้นเท่านั้น แต่กลับมีพลังฝีมือน่าเกรงขามจนมิอาจหยั่งถึง

หากมู่หรงเทียนและคนอื่น ๆ อยู่ที่นี่ พวกเขาย่อมสังเกตเห็นอย่างแน่นอนว่า ทันทีที่อยู่ภายในตำหนักศักดิ์สิทธิ์จักรพรรดิเต๋า เฉินซีคล้ายแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ราวกับคนละคน!

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตราประทับหยกนพกระแส และพลังงานแห่งชะตากรรมที่มีอยู่ทั่วตำหนัก!

โดยปกติแล้วเฉินซีย่อมไม่อธิบายเรื่องนี้ให้คนอื่นฟัง ทันใดนั้น สายตาพลันพุ่งไปที่ราชันเซียนสองคนในกลุ่มศัตรู แล้วจึงกล่าวอย่างเย็นชา “ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ เผ่าวิหคอมตะและภพพุทธองค์ได้ตัดสินใจถอนตัวจากเรื่องนี้แล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าทั้งคู่ได้มีชีวิตรอด รีบจากไปซะ มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้าทั้งสองโดยไม่ปรานีใด ๆ!”

ราชันเซียนทั้งสองนั้นมาจากภพพุทธองค์และเผ่าวิหคอมตะ เมื่อได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นนี้จะเกิดขึ้นที่นอกตำหนักจริง ๆ

“ไยเราต้องเชื่อเจ้าด้วย?” ราชันเซียนจากเผ่าวิหคอมตะกล่าวพลางขมวดคิ้ว

เฉินซีเลิกคิ้วทันที และกล่าวเสียงเย็น “พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ นั่นไม่สำคัญ ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่ว่าพวกเจ้าคำนึงถึงชีวิตหรือไม่!”

คำกล่าวของชายหนุ่มนั่นตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง และไม่คิดที่จะอธิบายให้ราชันเซียนทั้งสองฟัง หากเชื่อเขาก็ควรจากไป ถ้าไม่เช่นนั้นก็ตาย ความหมายเบื้องหลังคำกล่าวนั้นเรียบง่ายมาก

ในอีกทางหนึ่ง สิ่งนี้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเฉินซีนั่นครอบงำและเอาแต่ใจเพียงใด ราวกับตั้งใจแสดงให้เห็นถึงความอหังการที่ดูแคลนราชันเซียนทั้งหมดในโลก!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]