บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 160

บทที่ 160 การทะลวง

บทที่ 160 การทะลวง

หยิน! หยาง! ธาตุทั้งห้า! สายฟ้า! สายลม! ดวงดาว!

การหยั่งถึงมหาเต๋าสูงสุดทั้งสิบประเภทที่มีความลึกซึ้งและสีสันมากมาย เป็นดั่งกระแสน้ำที่ถาโถมเข้าสู่หัวใจของเฉินซี แต่ความเข้าใจเหล่านี้กระจัดกระจายไปทั่วราวกับไข่มุกล้ำค่าที่ร่วงหล่นอยู่เต็มพื้น ดังนั้น เพียงหา ‘ด้าย’ มาร้อยพวกมันเข้าด้วยกันเท่านั้น จึงจะสามารถสร้างสร้อยคอเคลื่อนที่ไปยังสุดหล้าได้

และ ‘เส้นด้าย’ ที่กล่าวถึง ก็คือการบ่มเพาะที่พากเพียรอย่างยากลำบาก หมั่นทำสมาธิตลอดทั้งวันทั้งคืน และมุ่งมั่นในการแสวงหา

เมื่อกระแสวังวนสีดำและสีขาวปรากฏขึ้น เฉินซีก็ฟื้นตื่นจากสภาวะที่ล้ำลึกในทันที อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อสังเกตเห็นว่าการโคจรของปราณจ้าววิญญาณในร่างของเขา อยู่เหนือการควบคุมของเขาโดยสิ้นเชิงและไม่สามารถหยุดมันได้อย่างเต็มที่

ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับว่าเขาอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ และไม่ว่าเขาจะดิ้นรนสักเพียงใด เขาก็ไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมที่ถูกคลื่นซัดสาดได้ จึงทำได้เพียงค่อย ๆ ล่องลอยไปตามกระแสน้ำเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เฉินซียังรู้สึกว่าเลือดเนื้อและผิวหนังของเขา เป็นเหมือนก้อนแป้งหมักที่พองโตและขยายตัวโดยไม่หยุดหย่อน อันเนื่องมาจากพลังดาราจักรได้ถาโถมเข้าสู่ร่างกายจนถึงจุดที่มันใกล้จะระเบิด

“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?”

“ก่อนหน้านี้ข้าซึมซับพลังดาราจักรอยู่แล้วก็…”

“ไม่ได้การแล้ว หากเป็นเช่นนี้อีกต่อไป ไม่ช้าก็เร็วร่างของข้าจะต้องระเบิดโดยพลังดาราจักรที่ถาโถมเข้ามา…”

เดิมที เฉินซีกำลังคิดว่าจะเฝ้าดูสถานการณ์ของไป๋หว่านฉิงที่อยู่ห่างไกลออกไปว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ในตอนนี้ เขาไม่อาจละความสนใจให้แก่เรื่องอื่นได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็ฝืนกัดฟันในขณะที่รำลึกถึงเคล็ดวิชาการการแปรสภาพร่างกายของขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่หกอย่างบ้าคลั่ง

“สวรรค์และโลกถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน แสงสว่างคือหยาง ความมืดมิดคือหยิน พลังของหยินที่รุนแรงและนุ่มนวลมาจากมหาหยิน…” เฉินซีรีบกลั้นหายใจและตั้งสมาธิเป็นการด่วน และไม่มีเวลาที่จะทำความเข้าใจต่อความลึกซึ้งของเคล็ดวิชาที่บ่มเพาะ ก่อนที่จะโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะและชักนำปราณจ้าววิญญาณที่ขยายตัวไปสู่จุดที่เกือบจะระเบิด ให้มันได้เริ่มโคจรอย่างช้า ๆ

ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ปราณจ้าววิญญาณที่อยู่รอบตัวเขาพลุ่งพล่านและม้วนตัวดั่งมังกรเย่อหยิ่งที่กำลังออกอาละวาด แต่ภายใต้การชักนำจากญาณศักดิ์สิทธิ์ของเฉินซี มันเริ่มโคจรอย่างรวดเร็วไปตามวิถีที่ลึกซึ้งมากมาย และถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านจุดชีพจรในร่าง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปสู่เลือดเนื้อและผิวหนังของเขา

ผ่านไปไม่กี่อึดลมหายใจ อักขระจ้าววิญญาณแบบใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหลังของเฉินซี มันเป็นสีดำสนิทเป็นประกาย ลึกซึ้งและเงียบสงบ ซึ่งมันก็คือ อักขระจ้าววิญญาณของมหาหยิน!

สำหรับเฉินซี อัสนีดาราพิฆาตที่ถูกกระตุ้นโดยค่ายกลสังหารเซียนเก้าพระราชวังข่ายดารานั้น เป็นโอสถทิพย์ชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเขาหยั่งรู้ในเต๋าแห่งสวรรค์แล้ว พลังชีวิตและลมปราณในร่างของเขาก็ได้โคจรโดยปราศจากการควบคุม และเขาได้ซึมซับพลังดาราจักรที่หนาแน่นและมหาศาลตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว ดังนั้น เมื่อเขาใช้เคล็ดวิชาการบ่มเพาะเพื่อควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณของมหาหยิน มันสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามและเป็นสิ่งที่มีเหตุผล

ซึ่งมันคือพรหมลิขิตอย่างแน่แท้ หากเฉินซีไม่ได้บ่มเพาะวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพ เขาจะไม่สามารถดูดซับพลังดาราจักรที่อยู่ภายในสายฟ้าได้ และจะไม่ตกอยู่ในสภาวะอันน่าอัศจรรย์ของการหยั่งถึงอย่างฉับพลันได้อย่างเต็มที่เหมือนก่อนหน้านี้ เพื่อทำความเข้าใจต่อเต๋ารู้แจ้งทั้งหลาย และโดยปกติแล้วเขาจะไม่สามารถก้าวหน้าได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

หลังจากที่อักขระจ้าววิญญาณของมหาหยินได้ก่อตัวขึ้น เฉินซีรู้สึกว่า พลังดาราจักรในร่างกายของเขาที่ขยายตัวจนเกือบจะระเบิดได้ก็ผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก แต่มันก็ยังเป็นอันตรายอย่างยิ่งอยู่ดี เพราะเขาสังเกตเห็นว่า กระแสวังวนสีดำและสีขาวที่ลอยอยู่เหนือเขายังคงถ่ายเทพลังดาราจักรไปยังร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง และมันยังมีสายฟ้าปะปนอยู่ภายใน หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย เขาอาจจะถูกฟ้าผ่าจนตาย!

‘เมื่อตอนที่ข้ากำลังบ่มเพาะ การทำสมาธิได้นำพาข้าไปสู่ดวงดาวของมหาหยินและมหาหยางอันเก่าแก่ที่อยู่ไกลเกินเอื้อมและมีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงหยั่งถึงเต๋ารู้แจ้งแห่งหยินและเต๋ารู้แจ้งแห่งหยาง ซึ่งทำให้ข้าสามารถควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยินได้สำเร็จ ดังนั้นข้าควรที่จะลองควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยางเลยเสียดีกว่า’

หลังจากที่เฉินซีไตร่ตรองได้แล้ว เขาก็เริ่มโคจรเคล็ดวิชาการบ่มเพาะอีกครั้งและมุ่งเป้าไปที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่เจ็ด ซึ่งเป็นขอบเขตแห่งมหาหยาง ผลลัพธ์ก็ที่ได้ออกมานั้นก็ราบรื่นกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด มันเป็นความรู้สึกที่ง่ายดายและน่ายินดีที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเฉินซีสังเกตเห็นอักขระจ้าววิญญาณที่มีฤทธิ์หยางอัดแน่นอย่างสุดขีด และกำลังลุกโชนราวกับตะวันที่ปรากฏบนแผ่นหลังของเขา ในที่สุดเขาก็มั่นใจแล้วว่า เขาได้ควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณแห่งมหาหยาง และบรรลุทักษะแปรสภาพร่างกายของขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่เจ็ดแล้ว!

ในขณะนี้ ปราณจ้าววิญญาณในร่างของเฉินซีมีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก มันควบแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่มันกลายเป็นของเหลว ซึ่งเดิมทีปราณจ้าววิญญาณของเขาประกอบด้วยปราณดาราปฐพีที่ห้า ปราณดาราพฤกษาที่สอง ปราณดาราทองคำที่เจ็ด ปราณดาราอัคคีที่สาม และปราณดาราวารีที่เก้า ในตอนนี้ปราณแห่งหยินและหยางก็ปรากฏขึ้นเช่นเดียวกัน ทำให้ปราณจ้าววิญญาณของเขา ดูเก่าแก่ ลึกลับ และกว้างใหญ่ยิ่งขึ้น

ทว่านี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด

หลังจากที่เขารวบรวมขอบเขตมหาหยินและมหาหยางแล้ว กระแสวังวนสีดำและสีขาวที่อยู่เหนือเขายังคงถ่ายเทพลังดาราจักรมาที่ร่างของเขาโดยไม่หยุดหย่อน ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถหยุดบ่มเพาะได้ แม้ว่าเขาจะต้องการก็ตาม

ตอนนี้เฉินซีกำลังเผชิญกับปัญหาที่ยากลำบาก เคล็ดวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพที่มีอยู่ทั้งเก้าขั้นนั้น เขาได้บ่มเพาะจนถึงขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่ห้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะขอบเขตแห่งมหาหยางและมหาหยินอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การบ่มเพาะของทั้งสองขอบเขตต่อไปนี้ จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจเพื่อที่จะบ่มเพาะด้วยตนเอง จึงจะสามารถควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณประเภทใหม่บนแผ่นหลังของเขา

แต่ว่าการบ่มเพาะของขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นที่แปดและขั้นที่เก้า กลับไม่มีแนวทางการบ่มใด ๆ อยู่เลย จึงต้องอาศัยความเข้าใจในปราณจ้าววิญญาณและเต๋าแห่งสวรรค์ของตัวเอง เพื่อควบแน่นอักขระจ้าววิญญาณประเภทใหม่เท่านั้น!

สิ่งนี้คือบททดสอบรูปแบบหนึ่ง การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายด้วยทุกสิ่งที่มีให้ จะไม่มีวันกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง แล้วนับประสาอะไรกับการท้าทายสวรรค์ที่มีอยู่บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ? เส้นทางแห่งการบ่มเพาะของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป ว่ากันว่ามีมหาเต๋าถึงสามพันรูปแบบ และทุกคนต่างก็มีโชคชะตาเป็นของตัวเอง แม้แต่ศิษย์ที่ได้รับการสั่งสอนโดยอาจารย์คนเดียวกันก็ยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะแต่ละคนจะไตร่ตรองและตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองเชี่ยวชาญ จึงจะสอดคล้องกับตัวเองอย่างแท้จริง

แต่บททดสอบเช่นนี้เป็นที่นิยมในสมัยโบราณเท่านั้น ทุกวันนี้ วิธีการบ่มเพาะได้พัฒนาจนสมบูรณ์แบบ และนิกายต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดที่มีมากมายเหมือนต้นไม้ในป่าที่มีอยู่ในโลก ตราบใดที่คนคนนั้นมีพรสวรรค์และเงินในกระเป๋าเพียงพอ ก็สามารถรับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะใด ๆ ก็ได้จากนิกายต่าง ๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]