บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 164

บทที่ 164 คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ

บทที่ 164 คัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ

ในช่วงกลางดึก

ณ ริมฝั่งทะเลสาบสีฟ้าในหุบเขาอันเงียบสงบที่อยู่ด้านหลังนิกายกระบี่เมฆาพเนจร

เฉินซีกับเป่ยเหิงได้พูดคุยกันถึงเรื่องแดนภวังค์ทมิฬอยู่พักใหญ่ และในที่สุด เขาก็ได้รู้ว่านอกอาณาเขตของราชวงศ์ซ่งนั้นยังมีราชวงศ์อื่นอีกนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีสวรรค์และโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าดินแดนของราชวงศ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นสถานที่อันงดงามและมีตำนานเล่าขานมากมายเกินกว่าจะพรรณนาได้ทั้งหมด

การดำรงอยู่ของมันนั้นมีมาตั้งแต่ยุคบรรพกาล ซึ่งได้ให้กำเนิดปรมาจารย์ที่สามารถเขย่าสวรรค์และโลกมากมาย อีกทั้งยังได้บัญญัติระบบการบ่มเพาะที่มีจำนวนมากมายราวกับดวงดาว และสืบทอดวิธีการบ่มเพาะที่ไร้ขอบเขตดั่งมหาสมุทร…

ณ ที่แห่งนั้นมีนิกายที่ใช้วิถีแห่งเซียน วิถีแห่งมาร และวิถีแห่งอสูรอยู่จริง มีตัวตนที่น่าเกรงขามอยู่มากมาย และมีพิภพต่าง ๆ มากมายอยู่ในมิติอันว่างเปล่าและลึกลับที่ถูกกล่าวถึงในตำนาน มีเครื่องบรรณาการจากราชวงศ์และขอบเขตมากมายนับไม่ถ้วน และราชวงศ์ซ่งก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายราชวงศ์เท่านั้น

สถานที่ที่ว่านั้นก็คือ ‘แดนภวังค์ทมิฬ’ ซึ่งเป็นโลกอันเก่าแก่ที่กว้างใหญ่ไพศาลและงดงามจนเกินจะบรรยาย เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ราชวงศ์ซ่งเป็นเหมือนคลื่นเล็ก ๆ ในมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขตเท่านั้น

“โชคไม่ดีที่ในช่วงหลายปีมานี้ ข้าได้ค้นหาไปทั่วสวรรค์และโลก แต่ก็ยังไม่พบเส้นทางที่จะนำไปสู่แดนภวังค์ทมิฬ และมันก็เหมือนกับตำนาน การค้นหาพวกมันนั้นยากยิ่งกว่าการขึ้นสู่สวรรค์เสียอีก” เป่ยเหิงถอนหายใจยาว

“ยากกว่าการขึ้นสู่สวรรค์? ตลอดกาลเวลาที่ผ่านมา ไม่มีผู้ใดเคยเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬมาก่อนเลยหรือขอรับ?” เฉินซีกล่าวด้วยความประหลาดใจ เพราะเป่ยเหิงมีการบ่มเพาะขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่สอง และมีชีวิตอยู่อย่างยาวนานจนไม่อาจนับได้ แต่เขากลับไม่เคยเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬเลยสักครั้ง เรื่องเช่นนี้มันช่างเหลือเชื่อเกินไป

“แน่นอนว่าต้องมีคนเคยเข้าถึงมาก่อน เมื่อการบ่มเพาะของคนผู้นั้นบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก ย่อมมีใครสักคนจากแดนภวังค์ทมิฬมารับเจ้าไป เพราะนั่นคือเกณฑ์ของมัน และด้วยการก้าวข้ามเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติในการเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬ หากใครไม่สามารถก้าวข้ามเกณฑ์ของมันได้ ก็จะไม่สามารถเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อีกตลอดชีวิต” เป่ยเหิงกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน

“อย่างไรก็ตาม แดนภวังค์ทมิฬเป็นสถานที่ที่ใกล้เคียงกับมิติเซียนมากที่สุด การพิชิตทัณฑ์สวรรค์ในที่แห่งนั้นย่อมมีโอกาสที่จะสำเร็จมากกว่าที่อื่น ยิ่งไปกว่านั้น การบ่มเพาะอยู่ในที่แห่งนั้นยังได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ทำให้มันเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะ ที่พวกเราต่างก็ใฝ่ฝันถึงอย่างแท้จริง”

“ด้วยเหตุนี้เอง หากข้าบ่มเพาะจนบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก ก็มีโอกาสที่จะได้เข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬอย่างนั้นหรือ?” เฉินซีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว เนื่องจากแผ่นหยกที่ไป๋หว่านฉิงทิ้งไว้ ทำให้เขาได้รู้ว่า หากต้องการเบาะแสบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับท่านพ่อและท่านแม่ เขาจะต้องไปที่แดนภวังค์ทมิฬเท่านั้น ทว่า เมื่อเขาได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแดนภวังค์ทมิฬแล้ว ในที่สุดเขาก็รู้ว่ามันไม่ง่ายดายอย่างที่คาดคิด เพราะแดนภวังค์ทมิฬไม่ใช่สถานที่ผู้ใดจะสามารถเข้าไปได้ตามใจต้องการ!

มันก็เหมือนกับการพิชิตระลอกคลื่นแห่งทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้าเสียก่อน จึงจะบรรลุสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ ในขณะที่บททดสอบของแดนภวังค์ทมิฬนั้นคือการบรรลุขอบเขตเซียนปฐพีขั้นที่หก ถึงแม้มันดูเหมือนจะง่ายกว่ามาก แต่ความเป็นจริงนั้น ในโลกใบนี้จะมีผู้บ่มเพาะสักกี่คนที่สามารถบรรลุจนถึงจุดนี้ได้อย่างปลอดภัย?

“ย่อมมีทางอื่นอยู่เช่นกัน” เป่ยเหิงแย้มยิ้มเล็กน้อย “ในอีกสิบปีข้างหน้า การชุมนุมดาวรุ่งของราชวงศ์ซ่งจะถูกจัดขึ้น ตราบใดที่เจ้าสามารถติดหนึ่งในสิบอันดับแรก เจ้าจะมีโอกาสเข้าสู่สถานที่ลึกลับอย่างสนามรบบรรพกาล และในที่แห่งนั้น ตราบใดที่เจ้าแสดงความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยม เจ้าก็จะมีความหวังที่จะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างแน่นอน”

“หลังจากได้ผ่านการชุมนุมดาวรุ่งและสนามรบบรรพกาลแล้ว ข้าย่อมมีความหวังที่จะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬจริง ๆ หรือ?” เฉินซีจงใจกล่าวโดยเน้นคำว่า ‘ความหวัง’

เป่ยเหิงพยักหน้า “มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บ่มเพาะที่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนั้นก็เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นของราชวงศ์ซ่งทั้งหมด และน่าจะมีอัจฉริยะไม่ต่ำกว่าสองสามล้านคนที่ได้เข้าร่วม ซึ่งในหมู่พวกเขาเหล่านั้นย่อมมีอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบเคียงอยู่ด้วย

ส่วนความยากในการได้รับสิบอันดับแรกนั้นไม่ได้ยากเพียงอย่างเดียว และการแข่งขันก็โหดเหี้ยมเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่สามารถเข้าสู่สนามรบบรรพกาลได้นั้น ย่อมเป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ จากราชวงศ์อื่น ๆ และทุกคนสามารถเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะสามารถจินตนาการถึงความยากลำบากในแข่งขันกับพวกเขาเหล่านั้น เพื่อให้ได้มาซึ่งคุณสมบัติที่จะเข้าสู่แดนภวังค์ทมิฬได้อย่างชัดเจน”

“ด้วยการคัดเลือกและการแข่งขันเช่นนี้ เจ้าคิดว่าจะมีความหวังอยู่มากหรือ?” เป่ยเหิงถอนหายใจขณะที่เขากล่าวว่า “ข้าได้เข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งเมื่อหลายปีก่อนเช่นกัน แม้แต่ตัวข้าเองก็ไม่สามารถเข้าสู่หนึ่งร้อยอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ หากเจ้าไม่ลองเข้าร่วมด้วยตัวเอง เจ้าจะไม่มีทางรู้เลยว่า ในโลกใบนี้มีปรมาจารย์รุ่นเยาว์อยู่มากมายถึงเพียงใด”

เฉินซีรู้สึกถึงแรงกดดันที่ไม่สามารถบรรยายได้ในทันที แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย ‘เป้าหมายของข้าคือการเป็นเซียนสวรรค์ ข้าจะปล่อยให้การทดสอบขัดขวางฝีเท้าของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไร’

“พี่ใหญ่เป่ยเหิง คุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนั้นคือสิ่งใด”

“อายุต้องต่ำกว่าสามสิบปีและมีการบ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้น!”

เมื่อเฉินซีกลับไปถึงยอดเขาใจสัจธรรม ทุกคำที่เป่ยเหิงได้พูดไว้ ยังคงก้องกังวานอยู่ในใจของเขา โดยเฉพาะคุณสมบัติในการเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งนั้น จะต้องเป็นผู้บ่มเพาะที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปี และบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางเท่านั้นจึงจะเข้าร่วมได้! เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าพรสวรรค์ของผู้บ่มเพาะที่สามารถเข้าสู่สังเวียนของการชุมนุมดาวรุ่งนั้นน่าเกรงขามถึงเพียงใด

“ข้ามีเวลาเพียงสิบปี แต่การบ่มเพาะของข้าในตอนนี้ กลับอยู่แค่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น และก่อนที่ข้าจะสามารถบรรลุสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ข้าต้องบรรลุขอบเขตเคหาทองคำเสียก่อน ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างคุ้มค่าที่สุด” ภายในห้องที่เงียบสงบ เฉินซีไม่ได้กังวลอีกต่อไปและรีบโคจรคล็ดวิชาการบ่มเพาะของเขาทันที

เขาเป็นคนแบบนี้ เมื่อเขาระบุเป้าหมายได้แล้ว เขาจะรีบลงมือทำโดยปราศจากการลังเลแม้แต่น้อย

ดอกไม้ผลิบานและร่วงโรย เวลาสามเดือนได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ที่ด้านข้างของหน้าผาบนยอดเขาใจสัจธรรม ดวงแสงอันเชี่ยวกรากที่ดูเหมือนกระแสน้ำลูกแล้วลูกเล่า พรั่งพรูออกมาพร้อมกับเสียงหวีดหวิวของปราณกระบี่ พวกมันรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด และยากที่จะสัมผัสถึง

ทีละเล็กทีละน้อย การเคลื่อนไหวของเฉินซีค่อย ๆ เคลื่อนจากเร็วสุดขีดกลายเป็นเชื่องช้า และดูเหมือนว่ามีภูเขาลอยอยู่บนปลายกระบี่ของเขา ทำให้ทุกการโจมตีที่แทงออกไปนั้นต้องใช้กำลังเป็นอย่างมาก จึงทำให้มันเชื่องช้าเหมือนหอยทาก

อย่างไรก็ตาม วิถีกระบี่ของเฉินซีกลับลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ และดำเนินไปในรูปแบบที่อธิบายไม่ได้ กลิ่นอายที่ลอยออกมาจากปราณกระบี่นั้นแฝงไปด้วยวิถีโคจรของดวงดาว ความหนักอึ้งของปฐพี ความคมกล้าของโลหะ ความมีชีวิตชีวาของพฤกษา เปลวเพลิงที่ไร้การควบคุม ความต่อเนื่องของสายน้ำ ความว่องไวของสายลมและการหมุนเวียนของหยินหยาง…

ในตอนนี้ เขาได้หลอมรวมเต๋ารู้แจ้งทั้งสิบอย่างเข้ากับเคล็ดวิชากระบี่ของเขา!

ถ้าหากมีคนเฝ้ามองวิถีกระบี่ของเฉินซี เพียงชั่วพริบตา วิญญาณของคนผู้นั้นจะตกอยู่ในความยุ่งเหยิงและถูกมารที่อยู่ในใจครอบงำอย่างแน่นอน เพราะว่าวิถีกระบี่ของเขานั้นได้เกินขอบเขตของเจตจำนงกระบี่ทั่วไปแล้ว

ปัง!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]