บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 171

บทที่ 171 การทดสอบเข้านิกาย

บทที่ 171 การทดสอบเข้านิกาย

การทดสอบขั้นแรกในการเข้านิกายคือตรวจสอบอายุกระดูก

ที่เบื้องหน้าของฝูงชน มีชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียวเข้มกำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่เงียบ ๆ ที่ด้านหลังโต๊ะ ในขณะที่ด้านข้างของเขามีศิษย์สายในสองสามคนกำลังทำงานอย่างหัวปั่น

บนโต๊ะนั้นมีหินทรงกลมสีดำสนิทถูกวางไว้ และเมื่อผู้เยาว์ที่เข้าร่วมการทดสอบวางมือลงบนหิน มันจะทดสอบอายุกระดูกของพวกเขาอย่างแม่นยำ

ศิษย์ที่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรต้องการรับสมัครในครั้งนี้ ต้องมีอายุแท้จริงที่ต่ำกว่ายี่สิบปี และการทดสอบอายุกระดูกก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บ่มเพาะบางคนลักไก่เข้าไปได้ ท้ายที่สุด มันก็เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะอายุของผู้บ่มเพาะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลซู ซูหลิงเฟิงที่ดูเหมือนเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ เนื่องจากเคล็ดวิชาการบ่มเพาะที่เขาบ่มเพาะและมีเพียงอายุกระดูกเท่านั้นที่จะไม่ถูกหลอก

“โม่ไจ๋ อายุ 19 ปี มีคุณสมบัติ!”

“เฝิงเว่ยหู่ อายุ 13 ปี มีคุณสมบัติ!”

“เยว่จ้าน อายุ 26 ไร้คุณสมบัติ!”

ท่ามกลางเสียงประกาศของเหล่าศิษย์ในนิกาย ผู้ที่มีอายุกระดูกที่เหมาะสมต่างโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่ผู้ถูกตัดสิทธิ์ต่างก็เศร้าโศกเสียใจ มีบางคนถึงกับสะอื้นไห้เสียงดังและพยายามฆ่าตัวตาย ในขณะนี้ ความรู้สึกและอารมณ์ที่แตกต่างกันของผู้คนได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน

เฉินซีถอนหายใจยาวต่อเนื่องขณะที่เขาเฝ้าดู นับว่าโชคดีที่มู่เหยาและมู่เหวินเฟยมีอายุเพียงยี่สิบปีกับสิบเจ็ดปีเท่านั้น จึงทำให้พวกเขาสามารถผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น สิ่งนี้ทำให้คนทั้งคู่ทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอก และได้รับตราคำสั่งไม้ทั้งสองชิ้นเรียบร้อยแล้ว

ตราคำสั่งทั้งสองนี้มีอายุ ชื่อ และข้อมูลอื่น ๆ ถูกจารึกไว้ และการได้รับตราคำสั่งนี้เท่านั้น จึงจะสามารถเข้าร่วมในการทดสอบขั้นที่สองได้

เฉินซีนำพวกเขาทั้งสองไปที่การทดสอบร่างกายทันที

ศักยภาพของร่างกายจะสัมพันธ์กับความเร็วในการบ่มเพาะ ยิ่งร่างกายดีเท่าใด ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น กลับกัน หากร่างกายไม่ดี เส้นลมปราณก็จะไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะฝึกฝนเท่าใดก็ตามก็ไม่อาจเกิดผลที่ดีได้ และยากที่จะก้าวหน้าในภายภาคหน้า ยิ่งไปกว่านั้น จะไม่มีชะตาสู่ความเป็นเซียนไปตลอดกาล

ในตอนนี้ มู่เหยาและมู่เหวินเฟยมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลแล้ว แม้ว่าร่างกายของพวกเขาอาจถือได้ว่าไม่ดีที่สุด แต่ก็อยู่ในระดับสูง ทำให้พวกเขาผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย ในระหว่างกระบวนการนี้ เฉินซีเฝ้ามองจากด้านข้างอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น เขาสังเกตเห็นว่าการทดสอบร่างกายได้ตัดสิทธิ์คนไปเพียงไม่กี่พันคน และดูเหมือนว่าไม่ใช่ทุกคนที่สามารถบ่มเพาะจนกลายเป็นเซียนและแสวงหาเต๋าได้

เมื่อเวลาผ่านไปจนใกล้เที่ยง เฉินซีก็พามู่เหยาและมู่เหวินเฟย ไปยังสถานที่ทดสอบเจตจำนงของพวกเขา

ในที่แห่งนี้ มีสนามทรงกลมที่กินพื้นที่สี่ลี้ และมีธงสีเหลือง 64 ผืนถูกติดตั้งตามตำแหน่งที่ลึกซึ้ง มันคือ ‘มหาค่ายกลมารพสุธามนต์ลวงตา’

ผู้เยาว์ที่เข้าร่วมการทดสอบจะต้องนั่งสมาธิอยู่ในค่ายกลใหญ่ เมื่อค่ายกลนั้นถูกเปิดใช้งาน ร่างกายทั้งหมดของพวกเขาจะได้รับแรงกดดัน ราวกับว่าพวกเขากำลังแบกบางสิ่งที่มีมวลน้ำหนักมหาศาลไว้บนหลัง ยิ่งไปกว่านั้น ภาพลวงตาต่าง ๆ จะปรากฏขึ้นภายในจิตใจของพวกเขา เช่น ทะเลเลือด ภูเขาซากศพ ปราณปีศาจและวิญญาณพยาบาทที่บ้าคลั่ง ด้วยภาพลวงตาเหล่านี้ จึงทำให้ร่างกายและสภาพจิตใจของพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานจากการทดสอบที่รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง

หากสามารถยืนหยัดอยู่ในมหาค่ายกลได้นานเท่าใด เจตจำนงก็จะยิ่งแน่วแน่มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เจตจำนงที่แน่วแน่ ย่อมหมายความว่าจิตใจที่มีต่อเต๋าก็จะยิ่งแน่วแน่มากขึ้น เมื่อต้องเผชิญกับความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนผู้นั้นจะไม่สูญเสียจิตใจ บุกทะลวงผ่านความยากลำบากทั้งหมด เอาชนะความโลภต่าง ๆ และขจัดอุปสรรคทั้งหมดบนหนทางเพื่อแสวงหาความเป็นเซียนและไม่หลงทางอีกต่อไป

ในโลกนี้ มีผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาอยู่มากมาย แต่กลับต้องกลายเป็นคนธรรมดาหรือพิกลพิการเพราะเจตจำนงของพวกเขาขาดความแน่วแน่ ในขณะที่คนธรรมดาที่มีพรสวรรค์เหล่านั้นจะอาศัยปณิธานและเจตจำนงที่ไม่ธรรมดา เพื่อที่จะก้าวเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ และหัวเราะเยาะให้แก่โลกใบนี้อย่างภาคภูมิใจ

ในฐานะที่เป็นนิกายบ่มเพาะวิชากระบี่ นิกายกระบี่เมฆาพเนจรจึงมุ่งความสนใจไปที่เต๋าแห่งกระบี่ และความต้องการของพวกเขาที่มีต่อเจตจำนงของคนผู้นั้นรุนแรงมาก ดังนั้นการทดสอบเจตจำนงจึงเป็นการทดสอบที่สำคัญยิ่งในบรรดาการทดสอบทั้งหมด และในการทดสอบเข้านิกายนี้ อัจฉริยะรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่จะถูกตัดสิทธิ์ด้วยการทดสอบเจตจำนงนั่นเอง

ข้อกำหนดในการผ่านการทดสอบนั้นนับว่าง่ายมาก เพียงแค่นั่งสมาธิอยู่ภายในมหาค่ายกลมารพสุธามนต์ลวงตา และยืนหยัดให้ได้จนหมดช่วงหนึ่งก้านธูป แน่นอนว่า หากคนผู้นั้นยิ่งยืนหยัดได้นานเท่าใด ย่อมแสดงว่าเจตจำนงของคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก และเมื่อคนผู้นั้นได้เข้าสู่นิกายกระบี่เมฆาพเนจรในอนาคต การปฏิบัติต่อคนผู้นั้นก็จะได้รับการดูแลเป็นอย่างดีเยี่ยม

ในเวลาไม่นาน มู่เหยา มู่เหวินเฟย และผู้เยาว์อีก 998 คนได้รวมตัวกันครบหนึ่งพันคน และพวกเขาก็พากันเข้าไปสู่ค่ายกล

เมื่อทุกคนนั่งสมาธิตามตำแหน่งอย่างถูกต้องแล้ว ผู้อาวุโสในชุดขาวที่อยู่ด้านนอกค่ายกล ก็สร้างผนึกที่ล้ำลึกและเปิดใช้ค่ายกลขนาดใหญ่ในทันที

ทันใดนั้น เงาหินขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของทุกคน และเกือบจะเวลาเดียวกัน แรงกดดันมหาศาลได้โถมลงมาอย่างรุนแรง!

ราวกับว่ามีเนินเขาเล็ก ๆ กดทับไหล่ของพวกเขา

“อ๊า!” เงาหินเพิ่งปรากฏขึ้น ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่คาดฝันว่าเขาจะได้รับแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ จึงไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ร่างกายของเขาถูกกดราบไปกับพื้น ขณะที่เขาส่งเสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวชออกมา

เพียงไม่กี่อึดใจ มีชายหนุ่มและหญิงสาวหลายสิบคนที่ไม่สามารถยืนหยัดและยอมแพ้ไป อีกทั้งยังมีบางคนที่ไม่สามารถยอมแพ้ได้ทันเวลา ทำให้พวกเขาหมดสติอยู่ตรงนั้น และถูกเคลื่อนย้ายออกไปโดยค่ายกล

ห่างออกไปจากค่ายกล คือผู้เยาว์อีกหนึ่งพันคนที่จะเข้าร่วมในการทดสอบเจตจำนงในชุดถัดไป เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียวลง และหัวใจของพวกเขาก็หวาดกลัวจนแทบจุกอก แต่แน่นอนว่ามีหลายคนที่จ้องมองด้วยความตื่นเต้น และพวกเขาต่างก็เร่าร้อนด้วยความกระตือรือร้น

ในบริเวณโดยรอบมีฝูงชนหนาแน่น และส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสและองครักษ์ของชายหนุ่มและหญิงสาวที่มาดูฉากนี้ แต่สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดกลับดูเคร่งขรึมและวิตกกังวลอย่างมาก

เฉินซีอยู่ท่ามกลางฝูงชน ดวงตาของเขาจดจ้องไปที่มู่เหยาและมู่เหวินเฟยโดยไม่กะพริบตา

ในเวลาไม่นาน คนกว่าเจ็ดร้อยคนก็ถูกตัดสิทธิ์ออก แต่นับว่าโชคดีที่มู่เหยาและมู่เหวินเฟยยังคงสามารถยืนหยัดได้อยู่

เวลาผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูป

ในขณะนี้ ชายหนุ่มและหญิงสาวในค่ายกลส่วนใหญ่ต่างก็ปิดตาแน่นขณะที่เหงื่อไหลลงมาเหมือนสายน้ำเล็ก ๆ เปียกชุ่มเสื้อผ้าของพวกเขา

ท่าทางของพวกเขาทั้งโกรธเคือง ไม่พอใจ หรือเฉยเมยโดยสิ้นเชิง… สิ่งนี้มีสาเหตุมาจากสภาพจิตใจของพวกเขาที่ได้รับผลกระทบจากฉากอันน่าสะพรึงกลัวต่าง ๆ ที่เกิดมาจากภาพลวงตา

การทดสอบเจตจำนงนี้ยากถึงสุดขีด ร่างกายและสภาพจิตใจของพวกเขาได้รับแรงกดดันในระหว่างการทดสอบ และหากพวกเขาขาดความมุ่งมั่นและตั้งใจอย่างสูงส่ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนหยัดจนก้านธูปเผาไหม้จนหมด

ท่าทางของมู่เหยาและมู่เหวินเฟยนั้นนับว่าไม่เลว แม้ว่าสีหน้าของพวกเขาจะดูไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะล้มพับ มีเพียงมู่เหยาที่กัดริมฝีปากของนาง และเลือดไหลหยดลงมาตามมุมปากของนาง ทำให้นางดูเหมือนสิ้นหวังอยู่บ้าง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]