บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 176

บทที่ 176 การฝึกฝนภายในป่า

บทที่ 176 การฝึกฝนภายในป่า

ฟิ้ว!

ท่ามกลางท้องฟ้าสีครามที่ใสกระจ่าง ซึ่งเต็มไปด้วยมวลเมฆสีขาวดั่งก้อนสำลี มีเรือเหาะสมบัติลำหนึ่งแหวกคลื่นอากาศใต้ท้องฟ้าขณะที่มันทะยานไปในระยะไกล

เฉินซีนอนอยู่บนหัวเรือในขณะที่เขาอ่านคัมภีร์ค่ายกลทั้งสิบสามของโจวซวี่เยี่ยนอย่างสบาย ๆ

เขาเข้าใจถึงแก่นแท้ของค่ายกลใหญ่ทั้งสิบสามรูปแบบที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เต๋ายันต์อักขระนี้แล้ว และได้รับการเข้าใจอย่างชัดเจนแล้ว ทำให้ความสามารถในการอนุมานของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก เมื่อรวมเข้ากับการทำความเข้าใจที่ศิลาสำนึกกระบี่ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา จึงทำให้เขาได้เข้าใจถึงวิธีผสานกระบวนท่ากระบี่อันยิ่งใหญ่ทั้งแปดของค่ายกลกระบี่หมื่นบรรจบที่ลึกซึ้งอยู่บ้าง

ในระหว่างการเดินทางฝึกฝนครั้งนี้ เฉินซีตั้งใจที่จะเดินทางไปทั่วโลกเพื่อชมทิวทัศน์ที่สวยงามและชื่นชมรูปแบบต่าง ๆ ของสังคมในโลกมนุษย์ ด้วยวิธีนี้ เขาจะสามารถขัดเกลาดวงจิตแห่งเต๋า และเสริมสร้างความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ มากมายท่ามกลางสวรรค์และโลก

“เฉินซี เราจะกลับไปที่ห้วงทะเลทรายมรณะจริง ๆ หรือ?” หลิงไป๋ยืนอยู่ที่หัวเรืออย่างภาคภูมิ แขนของเขาไขว้กันไว้ที่หน้าอก เสื้อผ้าสีขาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และเพลิดเพลินไปกับสายลมที่พัดผ่านใบหน้าของเขาจนพอใจ ส่วนไป๋คุยนอนขดตัวอยู่ข้างหลิงไป๋ ขณะที่มันกอดและเคี้ยวสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ด้วยความพึงพอใจ มันกินอย่างเอร็ดอร่อยในขณะที่เสียงแตกดังก้องอยู่ในอากาศ

ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เนื่องจากเฉินซีนั่งสมาธิเพื่อทำความเข้าใจคัมภีร์กระบี่หมื่นบรรจบ หลิงไป๋และไป๋คุยจึงต้องอยู่ภายในเจดีย์บำเพ็ญทุกข์เท่านั้น แม้ว่าพื้นที่ภายในนั้นจะกว้างใหญ่ แต่ก็ปราศจากความมีชีวิตชีวา จึงทำให้ทั้งสองเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง แต่ในตอนนี้ การที่เฉินซีออกเดินทางอีกครั้ง ก็ไม่ต่างอะไรกับการกอบกู้อิสรภาพให้กับเจ้าตัวน้อยทั้งสอง พวกเขาในยามนี้เป็นดั่งมังกรที่หวนคืนสู่มหาสมุทร หรือนกที่โบยบินอย่างอิสระบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ และพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดตัวตนอีกต่อไป

“แน่นอนว่า ปราณหยางนพเก้าล้ำลึกนั้นมีประโยชน์ต่อการช่วยให้ข้าบ่มเพาะไปถึงขอบเขตเคหาทองคำอย่างรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง” เฉินซีเก็บหนังสือและครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ว่าแต่หลิงไป๋ เจ้าพอรู้อะไรเกี่ยวกับห้วงทะเลทรายมรณะบ้าง”

อันที่จริง เฉินซีเองก็ไม่ได้รู้เรื่องของห้วงทะเลทรายมรณะเสียทั้งหมด เมื่อหลายปีก่อน เขาได้หลบหนีเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะขณะถูกสมาชิกตระกูลซูไล่ล่า จากนั้นเขาก็ได้พบกับหลิงไป๋ที่อยู่ในสุสานกระบี่แดนนิพพาน แต่ครั้งนั้นเขาได้เข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะเพียงไม่กี่พันลี้ และไม่ถือว่าเป็นส่วนลึกของห้วงทะเลทรายมรณะด้วยซ้ำ

เมื่อกล่าวถึงห้วงทะเลทรายมรณะ ใบหน้าที่หล่อเหลาของหลิงไป๋ก็ดูซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งมีทั้งความเกลียดชัง ความหวาดกลัว และความข้องใจ… ผ่านไปนานอยู่พอสมควร ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างช้า ๆ “เมื่อไม่กี่หมื่นปีก่อน อาจารย์ของข้า ได้พาข้าลงมายังห้วงทะเลทรายมรณะแห่งนี้และเข้าร่วมในสงครามศักดิ์สิทธิ์ระหว่างเทพเจ้ากับปีศาจ ในเวลานั้น ห้วงทะเลทรายมรณะได้กลายเป็นสถานที่แห่งความตายไปแล้ว และมันก็เต็มไปด้วรอยแยกมิติและพายุมิติที่ไร้ขอบเขต สภาพแวดล้อมของมันเลวร้ายมาก จนเป็นสถานที่แห่งการทำลายล้างและหายนะ”

ลงมาหรือ?

ดูเหมือนว่าหลิงไป๋และอาจารย์ของเขาไม่ได้มาจากราชวงศ์ซ่ง…

เฉินซีดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในห้วงความคิด

หลิงไป๋เองก็ไม่ได้สังเกตถึงสิ่งนี้ ขณะที่เขาก็จมอยู่ในความทรงจำของตัวเองเช่นกัน น้ำเสียงของเขาก็ไม่ต่อเนื่องราวกับว่าเขากำลังละเมอ “ท่านอาจารย์ได้มุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะในครั้งนั้น เพราะเขามาตามคำร้องขอให้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างเทพกับปีศาจ สิ่งที่เรียกว่าการต่อสู้ระหว่างเทพกับปีศาจนั้น แท้จริงแล้วคือการต่อสู้ระหว่างโลกแห่งการบ่มเพาะและมิติปีศาจ เนื่องจากพายุมิติที่อยู่ภายในห้วงทะเลทรายมรณะมีรอยแยกมิติมากมาย หรือมีกระทั่งอุโมงค์มิติที่นำไปสู่โลกอื่นท่ามกลางพายุเหล่านั้น ปีศาจสวรรค์เหล่านั้นที่มาจากมิติปีศาจ ใช้หนึ่งในอุโมงค์มิติเหล่านั้นเพื่อมาที่ห้วงทะเลทรายมรณะ”

“เจ้าคงไม่รู้ว่า ปีศาจสวรรค์นั้นน่ากลัวขนาดไหน พวกมันเป็นศัตรูคู่อาฆาตของผู้บ่มเพาะ พวกมันแผดเผา เข่นฆ่า และแย่งชิงอย่างป่าเถื่อน อีกทั้งยังสังเวยวิญญาณของคนตายในขณะที่กลืนกินทุกชีวิตเพื่อขัดเกลา ทุกที่ที่พวกมันผ่านไปจะถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นเลือดที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และไม่เหลือแม้แต่ใบหญ้า ความเกลียดชังระหว่างพวกมันกับพวกเราเหล่าผู้บ่มเพาะมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และมีวิธีเดียวที่จะแก้ไข นั่นคือการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้นจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถูกกำจัด!”

“อาจารย์ของข้าพ่ายแพ้ในการต่อสู้ในครั้งนั้น จริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ยังมีปีศาจสวรรค์และผู้บ่มเพาะจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล้มตายลงที่นั่นและเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ซึ่งในหมู่ผู้ที่ล้มตายมีทั้งผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนสวรรค์และปีศาจระดับจักรพรรดิอันน่าสะพรึงกลัว ดังนั้น การต่อสู้ที่เต็มไปด้วยการนองเลือดและความโหดร้ายเป็นสิ่งที่ยังคงจดจำได้อย่างชัดเจนจนถึงทุกวันนี้”

เมื่อเฉินซีได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของเขาก็เต้นอย่างรุนแรงและก็เงียบไปเป็นเวลานาน การต่อสู้ของเทพและปีศาจ ซึ่งมีทั้งปีศาจสวรรค์และเซียนสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้… ทุกคำพูดดูเหมือนจะมีพลังงานพุ่งตรงไปที่หัวใจของเขา ทำให้เขาไม่อาจหักห้ามใจจากความรู้สึกที่ไม่สบายใจได้ ราวกับว่าเขาได้เห็นการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือจำนวนนับไม่ถ้วน และฉากแห่งการทำลายล้างที่ทำให้สวรรค์และโลกต้องตกอยู่ในความมืดมิด

“อาจารย์ของเจ้าก็ล้มตายภายใต้มือของปีศาจสวรรค์หรือ?” เฉินซีเอ่ยถาม

หลิงไป๋ตกตะลึงก่อนที่จะส่ายศีรษะและกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ มิฉะนั้นมันจะทำร้ายเจ้า”

เฉินซีเข้าใจได้ในทันทีว่าการตายของอาจารย์ของหลิงไป๋นั้นต้องเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นหลิงไป๋จะไม่พูดแบบนี้ออกมาอย่างแน่นอน และเขาไม่เคยกลัวว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นการมีอยู่ของเขา

“ตอนนี้เจ้ากำลังมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปีศาจสวรรค์โจมตีแล้ว แต่มันก็ยังเต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งมันอันตรายยิ่งนัก ดังนั้นเจ้าต้องคอยระวังตัว และจะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของเจ้าไปสู่ขอบเขตเคหาทองคำก่อนจะไปถึงที่นั่น” หลิงไป๋กล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วง

เฉินซียิ้มเบา ๆ “ยิ่งอันตรายมากเท่าใด มันก็ยิ่งสามารถฝึกฝนความแข็งแกร่งของข้าได้มากขึ้นเท่านั้น แต่ข้าจะฟังคำแนะนำของเจ้าและพัฒนาความแข็งแกร่งของข้าก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังห้วงทะเลทรายมรณะ”

ห้วงทะเลทรายมรณะตั้งอยู่ด้านหลังของทุ่งหญ้าพเนจรและอยู่ห่างจากเมืองทะเลสาบมังกรเป็นระยะทางหลายแสนลี้ แม้ว่าเฉินซีจะเดินทางด้วยเรือเหาะสมบัติของเขา แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปถึงที่นั่นโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน

อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้ตั้งใจที่จะรีบร้อนไปยังที่นั่น หลังจากที่เขาพูดคุยกับหลิงไป๋ได้สักพัก เพื่อกันไม่ให้เกิดปัญหา เขาจึงตัดสินใจหยุดบิน และไม่เข้าไปเข้าเมือง แต่กลับเดินตรงไปผ่านป่าอันรกทึบซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนเข้าไป แม้ว่าป่าแห่งนี้จะไม่ถือว่าปลอดภัยสักเท่าไร เนื่องจากสัตว์อสูรต่างก็ท่องไปรอบ ๆ อย่างอิสระ แต่เมื่อเทียบพวกมันกับมนุษย์แล้ว เห็นได้ชัดว่าสัตว์อสูรเหล่านี้รับมือได้ง่ายกว่าเล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้น การเดินทางผ่านภูเขาและป่าจะทำให้เขาสามารถล่าสัตว์อสูรเพื่อขัดเกลาความแข็งแกร่งของเขาได้ และอาจถือว่าเป็นวิธีในการบ่มเพาะที่ดี

ภายในภูเขาและป่าที่ทอดยาวออกไปนับพัน

เฉินซีเดินทางไปข้างหน้าในตอนกลางวัน และนั่งสมาธิเพื่อบ่มเพาะขณะที่เฝ้ามองรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีในตอนกลางคืน เมื่อพบกับสัตว์อสูรที่ประเมินตัวเองสูงเกินไปก็จะฆ่ามัน เพื่อที่เนื้อสด ๆ ของพวกมันจะถูกเปลี่ยนเป็นอาหารอันแสนโอชะในปากของเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]