เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1767

บทที่ 1767 การต่อสู้ที่ปะทุขึ้นเนื่องจากข้อตกลงแต่งงาน

………………..

บทที่ 1767 การต่อสู้ที่ปะทุขึ้นเนื่องจากข้อตกลงแต่งงาน

ได้ยินเสียงกรีดร้องที่ลอยมาตามลม เฉินซีก็แย้มยิ้มพอใจออกมา

เยี่ยเหยียนกลับมามีสติอีกครั้ง พร้อมกับร่องรอยความกังวลที่ปรากฏบนใบหน้า นางกล่าวอย่างเป็นกังวล “ชาติกำเนิดของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ทำให้เขาขุ่นเคืองเช่นนี้ เจ้าอาจเผชิญกับปัญหาในอนาคตได้นะ”

เฉินซีกล่าวอย่างเฉยเมย “เมื่อครู่นี้ข้าตั้งใจจะฆ่าเขาตัดปัญหา เป็นเจ้าที่ขอให้ปล่อยเขาไป”

เยี่ยเหยียนจ้องมองเฉินซีอย่างขุ่นเคือง “ถ้าข้าไม่หยุดเจ้า ผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงยิ่งกว่านี้!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินซีเพียงร้องว่า “โอ้” จากนั้นก็เดินกลับตามเส้นทางที่จากมาอย่างสบายอารมณ์

เยี่ยเหยียนรู้สึกเดือดดาลยิ่งขึ้น นางกัดริมฝีปาก ก่อนจะไล่ตามเฉินซีไป “เจ้าจะสบายใจเกินไปแล้ว!”

ก่อนที่เฉินซีจะทันเอ่ยปาก นางก็กล่าวต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ เส้าเฮ่าอวี่ผู้นี้มาจากตระกูลเส้าเฮ่า?”

“ข้ารู้” เฉินซีพยักหน้า

“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าการล่วงเกินตระกูลเส้าเฮ่าหมายถึงอันใด?” เยี่ยเหยียนยอมแพ้กับท่าทีไม่ทุกข์ร้อนของเฉินซีแล้ว และนางก็บอกเขาทุกอย่างเกี่ยวกับตระกูลเส้าเฮ่าทันที

ปรากฏว่าตระกูลเส้าเฮ่าเป็นหนึ่งในตระกูลนิรันดร์กาลที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ที่สุดในเอกภพจักรวรรดิ และเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพโดยกำเนิดเส้าเฮ่า

ตระกูลเส้าเฮ่าอาศัยอยู่ในหุบเขาสุริยาอุทัย และกล่าวกันว่าเป็นบรรพบุรุษของวิหคทุกชนิด มีเผ่าอีกาทองคำ เผ่านางแอ่น เผ่าวิหคเพลิงนภา และเผ่าวิหคอมตะสุริยาเป็นบริวาร ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีเผ่าพิราบห้าเผ่าและเผ่าไก่ฟ้าห้าเผ่าเป็นสาขาย่อยของตระกูล

พิราบทั้งห้าเป็นตัวแทนของเผ่าพิราบวรทะ เผ่าราชาพิราบ เผ่าพิราบกาเหว่า เผ่าพิราบเหยี่ยว และเผ่านกเขาพิราบ ตระกูลของพวกมันเรียงตามลำดับได้แก่ตระกูลซือถู ตระกูลซือหม่า ตระกูลซือคง ตระกูลซือโค่ว และตระกูลซือสื่อ

ไก่ฟ้าทั้งห้าก็เป็นเช่นเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นไก่ฟ้าทั้งห้าหรือพิราบทั้งห้า พวกมันถือได้ว่าเป็นผู้มีอำนาจอันดับหนึ่งในเอกภพจักรวรรดิ แต่ในนาม พวกมันเป็นตระกูลสาขาของตระกูลเส้าเฮ่า ซึ่งเคารพตระกูลเส้าเฮ่าในฐานะผู้นำของพวกมัน!

นอกจากนั้น ยังมีเผ่าโบราณอย่างเผ่าเทพพฤกษา จวี้หมาง และเผ่าเทพทอง รู่โซว เป็นบริวาร!

นี่คือทรัพยากรและรากฐานของตระกูลนิรันดร์กาล มันสะสมโชคลาภมานับไม่ถ้วน ซึ่งลือกันว่าเป็นนิรันดร์และไม่มีวันดับสูญ

เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งนี้ แม้มหาอำนาจชั้นนำเช่นตระกูลเยี่ย ตระกูลลั่วและตระกูลกงเหย่จะมีกองกำลังที่ต่อกรกับตระกูลนิรันดร์กาลได้ แต่พวกเขาไม่สามารถครอบครองทรัพยากรและรากฐานที่สามารถแข่งขันกับตระกูลนิรันดร์กาลได้

เมื่อมาถึงจุดนี้ ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจว่าตระกูลเส้าเฮ่านั่นน่ากลัวเพียงใด และนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้ถึงการมีอยู่ของตระกูลนิรันดร์กาล

สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงก็คือตระกูลนิรันดร์กาล นั้นมีตัวตนที่ไม่สมดุลมาก มีบางส่วนที่น่าเกรงขามอย่างน่าเหลือเชื่อเช่นตระกูลเส้าเฮ่า และมีบางส่วนที่ตกต่ำตั้งแต่โบราณกาล นอกเหนือจากการครอบครองทรัพยากรและรากฐานที่น่าตกใจอย่างยิ่งแล้ว กองกำลังของพวกเขายังอ่อนแอมาก

ท้ายที่สุดแล้ว ตระกูลนิรันดร์กาลคือการดำรงอยู่ที่มีการสะสมทรัพยากรและรากฐานมายาวนาน ทั้งยังเป็นมหาอำนาจเก่าแก่ที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์จนถึงปัจจุบัน บรรพบุรุษส่วนใหญ่เป็นเทพโดยกำเนิดที่เกิดจากภายในความโกลาหล

หรือบางทีคำว่าตระกูลนิรันดร์กาลก็เป็นเพียงฉายา และเป็นรูปแบบแห่งความรุ่งโรจน์อันเป็นนิรันดร์

อย่างไรก็ตาม การดำรงอยู่เช่นตระกูลเส้าเฮ่า เป็นหนึ่งในตระกูลที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในบรรดาตระกูลนิรันดร์กาล

“เส้าเฮ่าอวี่ เป็นทายาทสายตรงของตระกูลเส้าเฮ่า การล่วงเกินเขาไม่ได้เป็นเพียงการทำให้ตระกูลเส้าเฮ่าขุ่นเคืองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตระกูลสาขาและตระกูลบริวารด้วย!”

หลังจากที่นางกล่าวเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จ เยี่ยเหยียนก็ยังคงรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

นางไม่เคยคิดเลยว่าเส้าเฮ่าอวี่จะออกเดินทางไปที่อารามไท่ชู และทำให้แผนการของนางยุ่งเหยิงเช่นนี้

ถ้าเฉินซีไม่ได้อยู่ที่นี่และขับไล่เส้าเฮ่าอวี่ออกไป เยี่ยเหยียนก็สงสัยจริง ๆ ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดอันใดขึ้น

“ก็แค่เส้าเฮ่าอวี่ หากข้าทำให้เขาขุ่นเคือง แล้วจะทำไม?” เฉินซีดูเหมือนจะไม่แยแสมากนัก ราวกับเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลย

“แต่เจ้าอย่าลืมว่า เส้าเฮ่าอวี่เป็นคนที่อาฆาตพยาบาทมาก ดังนั้นการทำให้เขาขุ่นเคือง อาจนำปัญหามาสู่เจ้ามากมาย” เยี่ยเหยียนกัดฟันและกล่าวอย่างชิงชัง “เจ้ายังไม่รู้จักคนผู้นี้ดี หากข้าไม่ลุ่มหลงในความกระหายเลือดและพฤติกรรมที่หยิ่งยโส จนทำให้จิตใจถูกปีศาจภายในกลืนกินไปส่วนหนึ่ง การบ่มเพาะคงจะไม่หยุดอยู่ที่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล หลังจากบ่มเพาะมานานกว่าสามหมื่นหกพันปี”

“สามหมื่นหกพันปี?” เฉินซีขมวดคิ้ว “เป็นตาเฒ่าบัดซบแท้ ๆ แต่เขายังคงเรียกตัวเองว่า ‘นายน้อย’ เหรอ? ช่างไร้ยางอายจริง ๆ”

เยี่ยเหยียนกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “อายุมีความสำคัญต่อเทพด้วยเหรอ?”

ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็กลับไปยังป่าไผ่ม่วงอันกว้างใหญ่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้

เฉินซีนั่งขัดสมาธิบนก้อนหินก่อนจะกล่าว “โดยปกติแล้ว อายุนั้นหาได้สำคัญไม่ ที่สำคัญคือเขาเป็นทายาทสายตรงของตระกูลเส้าเฮ่า แต่การบ่มเพาะกลับอยู่เพียงขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เขาช่างเป็น… เศษสวะจริง ๆ”

ดวงตาของเยี่ยเหยียนเบิกกว้าง และเกือบสำลักจนตาย “คนผู้นั้นอยู่ในอันดับเจ็ดสิบสองของเทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาล นั่นยังถือว่า… เป็นเศษสวะอีกเหรอ?”

นางเกือบจะกล่าวว่า ถ้าเส้าเฮ่าอวี่เป็นเศษสวะ แล้วตัวนางที่ไม่ได้ขึ้นสู่เทียบอันดับรู้แจ้งจักรวาล จะไม่เลวร้ายยิ่งเศษสวะอีกเหรอ?

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ นางหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าผิดที่ไล่ล่าเจ้าเมื่อหลายปีก่อน และมันเป็นสิ่งที่ข้าไม่มีทางเลือก หากเจ้าไม่พอใจ เราก็สามารถยุติมันได้เมื่อข้าจากไป”

หลังจากที่ได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ เฉินซีก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วเขาก็กล่าวว่า “เจ้ามาที่นี่คราวนี้ เพื่อหยุดเรื่องทั้งหมดนี้เหรอ?”

เยี่ยเหยียนกล่าวด้วยการเยาะเย้ยตัวเอง “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนไข่ที่กระแทกหินเหรอ?”

เฉินซีส่ายศีรษะ และสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ในขณะที่เขากล่าวว่า “ในแง่นี้ ข้าเห็นด้วยกับการกระทำของเจ้าเป็นอย่างมาก”

แค่คำกล่าวเหล่านี้เพียงอย่างเดียว กลับทำให้เยี่ยเหยียนตกตะลึงทันที นางกระวนกระวายใจมาก ทั้งยังรู้สึกว่ามันไร้สาระและไม่จริง

ด้วยเหตุนี้ นางจึงตั้งใจที่จะต่อสู้กับตระกูลของนาง นิกายอำนาจเทวะ และตระกูลเส้าเฮ่าด้วยตัวนางเอง!

ไม่มีใครเข้าใจ และไม่มีใครร่วงรู้ว่านางต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหนในการตัดสินใจครั้งนี้

ถึงขนาดที่นางมองโลกในแง่ร้ายมาก แม้ว่านางจะเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ ก็คงไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมของน้องสาวได้

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้เมื่อนางได้ยินว่าเฉินซีเห็นด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของคนที่เห็นด้วย แต่นางก็รู้สึกยินดีและโล่งใจจริง ๆ ที่มีคนเข้าใจ

แต่บังเอิญโชคชะตาชอบเล่นตลกกับผู้คน ซึ่งคนที่เข้าใจและเห็นด้วยกับนาง กลับเป็นศัตรูของนางเอง….

สิ่งนี้จะไม่ไร้สาระได้อย่างไร?

“เนื่องเพราะวาจาเหล่านี้เพียงอย่างเดียว ข้าจะไม่โกรธเจ้า แม้ว่าจะต้องตายด้วยน้ำมือของเจ้าในอนาคต” เยี่ยเหยียนหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวอย่างจริงจัง

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะนิ่งเงียบเมื่อเผชิญกับท่าทีเช่นนี้ และเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรเลย

โครม!

ทันใดนั้น คลื่นเสียงกึกก้องรุนแรงก็ดังขึ้นจากระยะไกล ในขณะที่ท้องฟ้ามืดลง และแรงกดดันของมันก็น่าตกตะลึง

“อืม?” หัวใจของเฉินซีและเยี่ยเหยียนสั่นไหวพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาก็มองไปในระยะไกล

ในเวลาเดียวกัน เสียงที่เผยให้เห็นความโกรธแค้นและความขุ่นเคืองอันไร้ขอบเขตดังก้องมาจากระยะไกล

“ไอ้สารเลว! โผล่หัวออกมาซะ!” มันเป็นเสียงของเส้าเฮ่าอวี่!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]