เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1779

บทที่ 1779 กลุ่มดาววิญญาณจร

………………..

บทที่ 1779 กลุ่มดาววิญญาณจร

กลุ่มดาววิญญาณจรกว้างใหญ่อย่างยิ่ง มีรูปลักษณ์คล้ายซากวิหคสยายปีกคิดโผบิน มวลดาราพร่างพรายปกคลุมด้วยหมอกสีเทาฟุ้ง ทัศนียภาพรอบข้างให้ความรู้สึกลี้ลับชั่วร้าย

ผู้บ่มเพาะซึ่งสัญจรไปมาบ่อยครั้งล้วนคุ้นชินกับกลุ่มดาววิญญาณจร

ทว่าหากถามว่ากลุ่มดาววิญญาณจรน่าสะพรึงกลัวเพียงไร น้อยนักจะตอบได้อย่างชัดเจน

เพราะในบรรดาข่าวลือมากมาย ณ แดนเทพโบราณ แทบไม่มีผู้บ่มเพาะคนใดที่เสี่ยงเข้ากลุ่มดาววิญญาณจรแล้วรอดออกมาได้เลย!

ขณะนี้ผู้บ่มเพาะทั้งหลายต่างตระหนักดีว่ากลุ่มดาววิญญาณจรอันตรายอย่างยิ่ง มีภัยธรรมชาติอุบัติบ่อยครั้ง ปกคลุมด้วยอันตราย เต็มไปด้วยภัยร้ายเกินคาดคิด

ความเข้าใจนี้คลุมเครืออย่างยิ่ง แต่มันก็ทำให้กลุ่มดาววิญญาณจรยิ่งดูลึกลับน่ากลัว

โชคยังดีที่มีหนึ่งเส้นทางปลอดภัยอยู่ในกลุ่มดาววิญญาณจร เพียงพอให้ผู้บ่มเพาะทั้งหลายผ่านไปมาได้

ขณะนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็หยุดฝีเท้า สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเครียดขรึม ทำให้เยี่ยเหยียนผงะทันที

“เจ้าสงสัยว่านั่นจะเป็นกองกำลังของตระกูลเยี่ยหรือ?” หัวใจของเยี่ยเหยียนสั่นสะท้าน สีหน้าพลันเครียดขึง

“เป็นไปได้มากนัก หากข้าเป็นสมาชิกตระกูลเยี่ย ข้าจะเลือกรอเหยื่อมาหาถึงที่แน่นอน มันก็เหมือนรอให้เหยื่อเหนื่อยอ่อนมาหา บางทีพวกเขาคงเดาไว้แล้วว่าหากเราคิดไปสู่เอกภพจักรวรรดิให้เร็วที่สุด เราก็จะต้องผ่านที่นี่แน่นอน” เฉินซีพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล

“เช่นนั้น… เราควรเปลี่ยนเส้นทางหรือไม่?” เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว นางไม่คาดเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบโต้ไวเพียงนี้

“หากเราเปลี่ยนเส้นทาง เราก็จะสิ้นเปลืองเวลาไม่รู้เท่าไหร่ เช่นนั้น ข้าก็กังวลว่าเราจะไม่ได้พบเพียงตระกูลเยี่ย กระทั่งตระกูลเส้าเฮ่าและนิกายอำนาจเทวะก็น่าจะส่งกองกำลังตามมาด้วย ถึงยามนั้น เราคงทำอะไรไม่ได้แม้แต่จะทิ้งแผนมุ่งหน้าสู่เอกภพจักรวรรดิ” เฉินซีครุ่นคิดหนักแล้วจึงตอบ

นับแต่เริ่มบ่มเพาะจนบัดนี้ เขาถูกไล่ล่ามาเกินนับหน จึงย่อมตระหนักดีว่าหากเลี่ยงการไล่ล่า พวกเขาจะยิ่งอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ เพราะกำลังของศัตรูจะเกินคาดหมายเสมอ

ด้วยเหตุนี้ หนทางพลิกสถานการณ์หนึ่งเดียวก็คือปะทะตรง ๆ ห้ามหลีกเลี่ยงลังเล!

แน่นอน มันไม่ได้หมายถึงสู้กันตรง ๆ แต่เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์และทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุมัน

“แล้วเราควรทำเช่นไร?” เยี่ยเหยียนเอ่ยถาม

ครู่สั้น ๆ ต่อมา เฉินซีก็แปรเป็นลำแสงทะยานเข้าหากลุ่มดาววิญญาณจรเพียงลำพัง

ขณะนี้ เยี่ยเหยียนและเป่าน้อยถูกซ่อนไว้ ณ จักรวาลในร่าง รูปลักษณ์ของเขาเองก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง

ประกอบกับอำนาจของอักขระผนึกเต๋าอำพรางปราณ กระทั่งผู้ที่คุ้นเคยกับเฉินซีที่สุดก็ไม่น่ามองออก

เพียงครู่สั้น ๆ หมอกสีเทาทึบสายแล้วสายเล่าก็ปรากฏสู้สายตา และร่างของเฉินซีก็มาถึงชายแดนกลุ่มดาววิญญาณจร

หมอกสีเทานั้นเต็มไปด้วยอำนาจกัดกร่อน เลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง ทันทีที่เข้าใกล้ มันก็คิดชำแรกผิวเนื้อของเฉินซีไปแปดเปื้อนวิญญาณ

ฟิ่ว! ฟิ่ว!

เมื่อใจสั่งการ ปราณในร่างก็เคลื่อนวน ขับหมอกไปอย่างง่ายดาย

ปราณวิญญาณจรนี้ทรงพลังจริง ๆ หากผู้มาเป็นผู้บ่มเพาะใต้ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล คงไม่อาจขัดขืนใด ๆ ได้เลย เฉินซีอดตกใจไม่ได้หลังจากสัมผัสปราณวิญญาณจรรอบกาย นี่เป็นเพียงบริเวณชายขอบของกลุ่มดาววิญญาณจร ดังนั้นยามมุ่งหน้าเข้าไปลึก ความอันตรายก็น่าจะยิ่งทวีคูณ

“คนต่อไป”

“เจ้าน่ะ! ทำตัวดี ๆ หน่อยสิฟะ!”

ขณะที่มุ่งหน้าเข้าไปในกลุ่มดาววิญญาณจรอย่างไม่หยุดฝีเท้า เสียงเอะอะก็แว่วมาจากไกล ๆ

เฉินซีเบนสายตามองตาม และพบว่ามีหนึ่งเส้นทางดาราซึ่งถูกปกคลุมในสายหมอกสีเทายื่นตรงจากศูนย์กลางกลุ่มดาวเกินคณานับ

ดุจสะพานโค้งอันโอ่โถงท่ามกลางท้องนภาสีเทาทึบ

นั่นคือเส้นทางผ่านกลุ่มดาววิญญาณจร แต่ปรากฏว่าในขณะนี้ มีผู้คนมากมายยืนบนท้องฟ้าตรงหน้าเส้นทางนั้น

พวกเขายืนขวางเส้นทางทั้งสองฝั่ง เหมือนอยู่ห่างจากกันยิ่งนัก แต่ก็ดูเหมือนเป็นวงล้อมซึ่งผนึกท้องนภาพร่างพราวนี้อย่างเบ็ดเสร็จ

กล่าวคือ หากผู้ใดคิดผ่านเส้นทางนี้ ก็ต้องผ่านบริเวณที่พวกเขาเฝ้าอยู่เท่านั้น

เฮอะ! เป็นเจ้าหนูอับโชคแท้ จักรวาลในกายเสียหายเพียงนี้ คงเผชิญปัญหาบางอย่างยามบ่มเพาะมาแน่แท้ ชายวัยกลางคนละสายตา สีหน้าสงสารเล็กน้อย ขณะโบกมือกล่าว “ไป ๆ”

“ขอบคุณมาก” เฉินซีลอบผ่อนหายใจโล่งอก ตั้งใจจากไป

ทว่าขณะนั้นเอง หนึ่งเสียงพลันก้องขึ้น “ช้าก่อน!”

เสียงนั้นเฉยชา มีเพียงสองคำ แต่กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศชวนยำเกรงเกินธรรมดา

หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้าน ความรู้สึกแย่ ๆ พรั่งพรูออกมาในพริบตา เขากำลังจะทิ้งทุกสิ่งแล้วลงมือ แต่ก่อนทันได้ขยับ หนึ่งคลื่นอำนาจก็พลุ่งพล่านจากไกล ๆ หนึ่งบุคคลปรากฏกาย

คนผู้นั้นรูปร่างสูง รูปลักษณ์มีสง่าราศี เผยบรรยากาศเครียดขรึมกดดัน หากเยี่ยเหยียนอยู่ที่นี่ นางจะรู้ทันทีว่าคนผู้นี้คือผู้อาวุโสตระกูลเยี่ย เยี่ยหนานตู้ ซึ่งก็คือบิดาของเยี่ยเฟิง!

จักรพรรดิหนานตู้!

บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลทั้งสิบหกของตระกูลเยี่ยเห็นเช่นนี้ก็ผงะไป พวกเขางุนงงอย่างยิ่ง ไม่อาจทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้น

ขณะเดียวกัน ทันทีที่มาถึง สายตาของเยี่ยหนานตู้ก็มุ่งมายังเฉินซีดุจอัสนีแล่นปลาบทันที กล่าวขึ้นเสียงเย็น “เจ้าหนุ่ม ยังไม่เผยลักษณ์จริงของเจ้าอีกหรือ?”

นอกจากนั้น สายตาที่มองมายังเจือความประหลาดใจ ตกตะลึง และจิตสังหารมุ่งร้าย

“ทุกท่าน นี่หมายความเช่นไร?” แม้จะตกใจ แต่เฉินซีก็ไม่เผยความกระวนกระวาย ไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว

“เจ้าหนุ่ม คนอื่นอาจมองทะลุการจำแลงกายของเจ้าไม่ได้ แต่คิดหรือว่าจะลวงคันฉ่องคลายสัจธรรมของข้าได้?” สีหน้าของจักรพรรดิหนานตู้เย็นชาดำคล้ำ ดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหารบ้าคลั่งสุดขีด

ขณะเดียวกัน คันฉ่องสำริดกลมเกลี้ยงใสกระจ่างก็ลอยขึ้นในฝ่ามือ ดุจดวงจันทร์เพ็ญสุกสกาวอันเรืองรัศมี

ขณะนี้ทุกคนต่างผงะเมื่อสังเกตพบว่าคันฉ่องเรืองประกาย ก่อนที่ภาพหนึ่งบุรุษรูปงามร่างสูง ดวงตาลึกล้ำดุจหุบเหวจะสะท้อนขึ้นภายใน

แม้รูปลักษณ์นี้จะแตกต่างจากชายหนุ่มตรงหน้าพวกเขาอย่างสิ้นเชิง แต่ทุกกิริยากลับเหมือนกันทุกประการ!

ทันใดนั้น สีหน้าของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลทั้งสิบหกจากตระกูลเยี่ยก็ดำคล้ำ พลุ่งพล่านด้วยจิตสังหาร ก่อนหน้านี้ พวกเขาเกือบถูกศัตรูต้มเสียสนิท!

ใช่แล้ว แม้จะไม่รู้จักบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่พวกเขาก็จำคนในคันฉ่องได้ ซึ่งก็คือคนที่อยู่กับเยี่ยเหยียนและวานรตาทองยามสังหารเยี่ยเฟิง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]