เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1786

บทที่ 1786 เขตอันตราย

………………..

บทที่ 1786 เขตอันตราย

ครั้งนี้เฉินซีโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้ว

คนใจดีเองก็มีน้ำโหได้เหมือนกัน ไม่ต้องพูดถึงเฉินซีหรอก ทันทีที่ออกจากอารามไท่ชูมาได้ เขาก็ถูกไล่ล่าครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนเห็นเขาเป็น ‘ลูกพลับนิ่ม’ ที่บีบได้ตามใจชอบ

เป่าน้อยเกาหัวถาม “หากศัตรูรู้เข้าจะทำอย่างไร?”

“จะรู้ได้ก็ยาก” เฉินซีเอ่ยเสียงเรียบ พูดแล้วเขาก็โคจรพลังอักขระผนึกเต๋าภายในจิตวิญญาณ ก่อนที่มันจะแผ่ออกมาปกปิดตัวตนของเขาและเป่าน้อยไว้

ทันใดนั้น เป่าน้อยก็เบิกตากว้างถาม “ทำไม… ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนตัวตนถูกลบหายไปเช่นนี้เล่า?”

แต่ไม่ทันไรเป่าน้อยก็เข้าใจคำพูดของเฉินซี ก่อนเดาะลิ้นด้วยความชื่นชม “วิชานี้ลึกล้ำเสียจริง กระทั่งวิชาที่เทพธิดาสอนให้ข้ายังเทียบไม่ติด”

เฉินซียิ้มแล้วไม่อธิบายอะไรอีก

ชายหนุ่มหยิบขวดยาและสมุนไพรออกมาเป็นจำนวนมาก ก่อนจะเลือกสมุนไพรที่เหมาะสมกับตนแล้วนั่งเพื่อทำสมาธิอยู่กับพื้น

ฟืด~

เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วละทิ้งความคิดไร้สาระทั้งหลาย ก่อนจะเริ่มดูดซับปราณโอสถเพื่อฟื้นฟูร่างกายที่ถูกวิชาระเบิดสังหารเทวะไป

ตามการคาดเดาของเขา อย่างน้อยก็ต้องดูดซับปราณโอสถเหล่านี้ราวสามเดือนกว่าจะฟื้นฟูร่างจนหายดี

เป่าน้อยนั่งยองอยู่ข้าง ๆ เหลือบมองรอบข้างอย่างระแวดระวัง แม้พลังอักขระผนึกเต๋าจะปิดบังตัวตนพวกเขาเอาไว้แล้วแต่ก็ไม่กล้าประมาท

เวลาล่วงเลยผ่านไปไม่ทันรู้ตัว หนึ่งเดือนเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว

ทุกสิ่งอย่างเงียบสงบ ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นเลย จึงทำให้เป่าน้อยที่คอยระแวดระวังอยู่ข้างกายเฉินซีมาตลอดถอนหายใจออกมา

ถึงขั้นที่เขาอยากให้สถานการณ์ดำเนินต่อ ทว่าก็ได้แต่รอให้เฉินซีฟื้นตัวจนหายดี จะได้ออกล่าสังหารไอ้พวกที่ตามตื๊อไม่ยอมไปเสียที

แต่ก็ยังเกิดเรื่องขึ้นจนได้

สองวันต่อมา ก็มีบทสนทนาผ่านกระแสปราณหนึ่งถูกอักขระผนึกเต๋าจับไว้ได้ ทำให้เฉินซีที่ทำสมาธิอยู่ผวาตื่นขึ้น

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฟังจากที่ผู้อาวุโสสิบหกว่าไว้ เด็กนั่นต้องยังอยู่ที่นี่แน่”

“เช่นนั้นเราจะเอาอย่างไรกันดี?”

“ย่อมต้องทำตามที่ผู้อาวุโสสิบห้าสั่งไว้ ไม่ว่าจะเจอตัวหรือไม่ก็ต้องทำลายดวงดาวทุกดวงที่เราผ่าน เช่นนั้นเจ้าเด็กนั่นก็จะมีที่หลบซ่อนน้อยลง ไม่นานก็เจอตัว”

“เราก็ทำได้เพียงเท่านั้น ทว่าเจ้าสังเกตหรือไม่ว่ายิ่งเราเข้าไปในห้วงลึกของกลุ่มดาววิญญาณจร ก็ยิ่งเจอแต่อันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ ?”

“ตอนนี้จะไปสนเรื่องนั้นได้หรือ? ลงมือกันก่อนเถอะ”

เมื่อได้ยินดังนี้ เฉินซีก็ใจสะท้าน คิดจะทำลายดาวทุกดวงที่ผ่านเลยงั้นหรือ?

“เป่าน้อย ข้ามีเรื่องอยากให้เจ้าทำ” เฉินซีไม่ลังเลแล้วกระแสปราณหาเป่าน้อยทันที

สองเงาร่างยืนเคียงข้างกันอยู่บนดวงดาวรกร้างแห่งหนึ่ง

คนหนึ่งมีรอยสักพิราบวรทะฝังอยู่บนอก ส่วนอีกคนมีรอยสักราชาพิราบบนอกเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าสองบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลนี้มาจากเผ่าพันธุ์วิหคโบราณคนละเผ่า

“เริ่มกันเลย” ยอดฝีมือจากเผ่าพิราบวรทะเอ่ยเสียงทุ้ม พูดจบเขาก็ทำท่าคว้าจับ เกิดเป็นเปลวเพลิงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ เผาผลาญหลุมดำบนห้วงอากาศโดยรอบ

เคร้ง!

อีกด้านหนึ่ง ยอดฝีมือจากเผ่าราชาพิราบหยิบกระบองสีแดงเลือดออกมา

ครืน!

ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ลงมือพร้อมกัน เปลวเพลิงลุกโหมกระพือ ปกคลุมไปกว่าครึ่งดวงดาว ในขณะที่กระบองสีแดงเลือดแหวกผ่านฟ้า ทุบลงมาใส่ดาวด้านล่างอย่างรุนแรง

สองบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลกำลังโจมตีดวงดาวดวงหนึ่ง เมื่อรวมพลังโจมตีกันแล้วก็ทำลายมันให้สิ้นซากได้ไม่ยาก

นี่คืออำนาจของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล หากเป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณก็อาจทำเช่นนี้ได้ยากสักหน่อย

ตู้ม!

ทว่าในจังหวะที่ทั้งสองโจมตีนั้นเอง พื้นที่เหนือศีรษะก็พังทลายแล้วระเบิดออก

จากนั้น กระบองเหล็กดุดันที่มาพร้อมกับแรงพลังเหนือใครก็พุ่งลงมาใส่

“บัดซบ!” อีกด้านหนึ่ง ยอดฝีมือจากเผ่าราชาพิราบนั้นฝีมือแกร่งกล้า ใช้ประสบการณ์หลายปีในการต่อสู้เหวี่ยงกระบองสีเลือดป้องกันการโจมตีไปตามสัญชาตญาณ

ตู้ม!

ผ่านไปไม่นาน เงาร่างสีทองหนึ่งก็แวบมาอยู่ในพื้นที่ที่จักรพรรดิไท่จิ้งส่งเจตจำนงออกไปตรวจสอบ เมื่อคิดจะจับเป้าหมายอีกครั้งก็หาไม่เจอแล้ว เพราะเจ้าตัวออกห่างมากเกินไป

แต่เท่านี้ก็มากพอแล้ว

ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว ในที่สุดศัตรูก็เผยกายเสียที ถึงแม้จะเสียคนไปสองคน แต่จักรพรรดิไท่จิ้งก็ถอนหายใจโล่งอกพร้อมกับรู้สึกโกรธเกรี้ยวไปพร้อมกัน อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้แล้วว่าศัตรูยังไม่ได้หนีไป!

“จงรับคำสั่งข้า! เป้าหมายเผยตัวแล้ว รีบมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกกลุ่มดาววิญญาณจร ปิดทางหนีมันให้หมด!” จักรพรรดิไท่จิ้งส่งกระแสปราณผ่านกระดานสุเมรุเทียมเมฆา เพื่อส่งข้อความแจ้งให้บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลรู้ทันใด

เสร็จสิ้นหน้าที่แล้ว เขาก็ไม่ลังเลอะไรอีก สะบัดแขนเสื้อคราวหนึ่งก็แหวกห้วงมิติแล้วมุ่งหน้าไปทางเดียวกับที่เฉินซีหลบหนีไป

“ดูท่าเฉินซีนี่จะมีวิชาวิเศษสามารถปกปิดตัวตนได้ หลบเลี่ยงจากสายตาจักรพรรดิได้ทีเดียว ไม่แปลกที่จะหายตัวไปได้เดือนกว่าแล้ว”

“จักรพรรดิไท่จิ้งติดตามมันไปแล้ว เรามุ่งหน้าตามไปดีหรือไม่? ตอนนี้หากเดินหน้าต่อก็จะถึงเขตอันตรายที่สุดในกลุ่มดาววิญญาณจรแล้ว ไปที่ไหนพบเจอแต่ความตายและความโกลาหล ถึงตอนนั้นเราอาจพลาดท่าก่อนจับตัวเด็กนั่นมาก็ได้”

“หากลงมือระวังหน่อยก็คงไม่เป็นไร”

“ถูกต้องแล้ว เรามีจักรพรรดิไท่จิ้งเป็นทัพหน้า ถึงจะมีอันตรายอะไรรออยู่ เราก็คงไม่ติดร่างแหไปด้วยหรอก”

ผ่านไปไม่นาน ร่างห้าขุนพลวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นิกายอำนาจเทวะก็ปรากฏขึ้นบนดวงดาวรกร้าง ส่งสายตามองไปยังทางที่จักรพรรดิไท่จิ้งมุ่งหน้าไป พวกเขาพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจเดินหน้าต่อ

ทว่าเมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้ว พวกเขายิ่งมีความระมัดระวังมากขึ้นกว่าเก่า

อุกกาบาตหลายก้อนหวีดหวิวปลิวผ่านห้วงอากาศ ราวกับเทพกำลังเผยความพยาบาทที่คั่งแค้นอยู่ในใจ

รอยแยกมิติที่กว้างพอจะทำให้บรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลหลงไม่รู้ทิศอยู่ภายในห้วงอากาศ เป็นเหมือนริ้วผ้าโปร่งแสงที่กระจายออกรอบทิศทางแทบจับสังเกตไม่ได้

หลุมมิติสีดำที่กลืนกินทุกสิ่งอย่างปรากฏขึ้นและหายไปเป็นบางจังหวะ เป็นเหมือนปากชุ่มเลือดของอสูรดุร้ายโบราณที่จ้องจะเขมือบเหยื่อผู้โชคร้ายเข้าไป

หยดแสงมายาหลากสีที่ทะลวงถึงดวงจิตโปรยลงมา….

ตลอดทางนี้ เฉินซีสังเกตเห็นว่ากลุ่มดาววิญญาณจรยิ่งอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ รอบทิศมีแต่ความวิบัติกระจายตัวอยู่ ทั้งยังเต็มไปด้วยปราณวิญญาณจรสีเทามัว หากไม่สังเกตให้ดีก็ไม่อาจมองเห็นได้

เมื่อเห็นเช่นนี้ หากใครเผลอมุ่งหน้าเข้าไปในความวิบัติเหล่านั้น ก็คงพบกับผลลัพธ์ที่เดาได้ไม่ยาก

ทว่าเฉินซีรู้สึกประหลาดใจมากกว่าตกใจที่เป่าน้อยเหมือนรู้อนาคต มันมุ่งหน้าเข้าไปอย่างสบายอารมณ์ แต่ก็รอดพ้นจะเคราะห์ร้ายทั้งหลายมาได้อย่างทันท่วงทีทุกครั้ง นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่มหัศจรรย์ใจยิ่ง

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]