เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1888

บทที่ 1888 พลังทัณฑ์สวรรค์

………………..

บทที่ 1888 พลังทัณฑ์สวรรค์

ณ สมรภูมิจารึกเต๋าโบราณ

เหลิ่งซิงหุนและคงโหยวหรานยืนเผชิญหน้ากันอยู่คนละด้าน

บรรยากาศดูดุดันยิ่ง

ตอนนี้สายตาทุกคนรวมกันอยู่ที่เหลิ่งซิงหุนและคงโหยวหราน กลั้นใจเงียบตั้งใจมอง

กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตมหาเทพเต๋าในโถงบรรจบเองก็ไม่ต่างกัน

นี่เป็นการต่อสู้แรกของศิษย์สี่อันดับแรก ผู้ชนะได้เข้าชิงอันดับแรกในการถกวิถีเต๋า

แต่ผู้แพ้ก็ต้องหยุดไปเพียงเท่านี้!

“เจ้ามีสายเลือดราชานกยูงบรรพกาล ทำความเข้าใจห้าสุดยอดมรดกแห่งตำหนักเต๋าหนี่หวามาแล้ว เป็นคู่ต่อสู้ที่ควรค่าแก่การให้ข้าลงมือจริงจัง ฉะนั้นข้าจะต่อสู้เต็มกำลัง” เหลิ่งซิงหุนยืนสองมือไพล่หลัง ผมสีแดงโลหิตพัดไหว น้ำเสียงเย็นชาเผยแววองอาจเหนือใคร

นับเป็นครั้งแรกเหลิ่งซิงหุนเอ่ยคำพูดขึ้นก่อนการต่อสู้ในการถกวิถีเต๋า เห็นได้ชัดว่ามองคงโหยวหรานเป็นคู่ต่อสู้อย่างจริงจัง

“อ้อ ข้าควรรู้สึกเป็นเกียรติงั้นสินะ?” คงโหยวหรานมีท่าทีเกียจคร้าน น้ำเสียงแผ่วเบาเยือกเย็นแต่รื่นหู นางให้ความรู้สึกเบาสบาย ดูสุขุมนุ่มลึกยิ่ง แต่ในเรื่องกลิ่นอายความดุดันของนางนั้นไม่แพ้เหลิ่งซิงหุนเลย สองคนนี้เหนือกว่าคนอื่น ๆ ในหลายด้านทีเดียว

“ไม่จำเป็นหรอก แต่เจ้าแพ้ไปเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็คงเข้าใจความต่างระหว่างพลังของพวกเราเอง”เหลิ่งซิงหุนเผยดวงตาเจือสีโลหิต กลิ่นอายยิ่งดุดันมากขึ้น

“เช่นนั้นก็เลิกไร้สาระแล้วเริ่มต่อสู้เถอะ!” คงโหยวหรานคลี่ยิ้มพร้อมโจมตีออกมา

ตู้ม!

วาดแขนเพียงครั้งเดียวก็เกิดแสงหลากสีลั่นครืนขึ้น ปกคลุมไปทั่วทั้งสนามต่อสู้ เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องไปทั่วทุกมุมสมรภูมิ

อาภรณ์ของคงโหยวหรานพลิ้วไสวยามควบคุมแสงทั้งห้าสี ทั่วร่างมีพลังศักดิ์สิทธิ์กล้าแข็งไหลเวียนไม่สิ้นสุด

“กระบี่เบญจรงค์ ผ่าสวรรค์!” คงโหยวหรานย่างเท้าอยู่ในอากาศพร้อมกับพลังแสงทั้งห้าที่กลั่นออกมาเป็นกระบี่แหลมคมซัดเข้าใส่เหลิ่งซิงหุน

ฟู่! ฟู่!

มันเป็นกระบวนท่าดุดันสุดขีด ไม่ว่าผ่านไปทางใด ห้วงอากาศก็ถูกทำลายจนแหลกมิอาจต้านทานได้เลย

มหัศจรรย์ยิ่ง! นี่คงจะเป็นพลังที่แท้จริงของคงโหยวหราน ในการต่อสู้รอบก่อน ๆ นางคงยั้งมือไว้มาก เฉินซีหรี่ตาลงเมื่อสัมผัสถึงความแกร่งในการโจมตีของคงโหยวหราน

ไม่ใช่เพียงเฉินซี แต่ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นเช่นกัน ตอนนี้คงโหยวหรานเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปจากที่เคยทำการต่อสู้รอบก่อน ๆ เพราะอำนาจที่เผยออกมาในทุกกระบวนท่าถึงขั้นที่ทำให้เหล่าจักรพรรดิบางคนต้องตกตะลึง แทบไม่เชื่อว่านางเป็นเพียงตัวตนขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเท่านั้น….

ครืน!

จังหวะที่คงโหยวหรานซัดการโจมตีออกมา เหลิ่งซิงหุนก็โจมตีออกมาอย่างดุดันเช่นกัน ทั่วร่างเต็มไปด้วยพลังวิบัติกล้าแข็ง ดวงตาไร้อารมณ์ความรู้สึก ดูแล้วเหมือนหุบเหวลึกที่เยือกเย็นจนน่ากลัว

“หยินหยางอยู่กันคนละฟากฝั่ง ความวิบัติคือสะพาน โซ่โลหิตคือตัวกระตุ้น!” พร้อมกับเสียงไร้อารมณ์ที่เปล่งออกมานั้น เหลิ่งซิงหุนก็ทำท่าคว้า โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีเลือดจำนวนมากพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ พวกมันพัวพันกันพร้อมกับพลังวิบัติที่ลุกพล่านไปทั่ว

โซ่ศักดิ์สิทธิ์สีโลหิตปลดปล่อยกระแสกดดันที่ทำเอาใจสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวออกมา มันเป็นรูปขั้นสุดของพลังวิบัติ เป็นรูปหนึ่งของพลังทัณฑ์สวรรค์ที่ทำให้คนสั่นสะท้านได้!

ครืน!

ทันทีที่โซ่เหล่านั้นปรากฏขึ้น พวกมันก็ทำลายแสงทั้งห้าสีที่โอบล้อมรอบทิศจนหายไปกว่าครึ่ง

เหลิ่งซิงหุนราวกับเป็นราชันผู้ถือครองอำนาจลงทัณฑ์แห่งสวรรค์ กลิ่นอายดุดันพุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด

กล่าวได้ว่าเป็นภาพที่สะท้านโลกาเป็นอย่างยิ่ง

คงโหยวหรานราวกับควบคุมแสงได้ รัศมีศักดิ์สิทธิ์ห้าสีโอบล้อมทั่วกาย ดูศักดิ์สิทธิ์จนไม่กล้ามีผู้ใดล่วงเกิน ส่วนเหลิ่งซิงหุนเหมือนเต๋าแห่งสวรรค์ที่ไร้อารมณ์ ทั้งโหดเหี้ยม เยือกเย็น ไม่สนใคร มองแล้วให้เกิดความรู้สึกกดดันขึ้นในส่วนลึกของใจคน

บุรุษสตรีคู่นี้กำลังต่อสู้กันอยู่ ฝีมือที่เผยให้เห็นทำให้ผู้คนรอบข้างตกตะลึงจนหายใจไม่คล่องคอ

“พลังทัณฑ์สวรรค์! สุดยอดยิ่ง! เขาเริ่มหยิบยืมพลังจากเต่าแห่งสวรรค์มาใช้ทั้งที่ยังอยู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลได้ พรสวรรค์ของเด็กคนนี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเลย” ภายในโถงบรรจบ สายตาของมหาเทพเต๋าเสวี่ยหลิงแห่งตำหนักเต๋าหนี่หวาดั่งสายฟ้าฟาด เต็มไปด้วยกระแสศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่น้ำเสียงเจือแววตกใจ

“ชมเกินไปแล้ว ทายาทราชานกยูงบรรพกาลเองก็พิเศษไม่แพ้กันที่สามารถผสานฟ้ามรดกแห่งตำหนักเต๋าหนี่หวาเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์” มหาเทพเต๋าซูถัวนิกายอำนาจเทวะเอ่ยขึ้นเสียงแหบแห้ง

หากใครไม่รู้สถานการณ์ที่แท้จริงก็คงคิดว่าสองมหาเทพเต๋ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทว่ามีแต่สองคนนี้เท่านั้นถึงจะรู้ว่าแม้ปากจะพูดชมเชยศิษย์อีกฝ่าย แท้จริงแล้วกลับกำลังแข่งขันกันอยู่

“ไม่ว่าจะเป็นเหลิ่งซิงหุนหรือคงโหยวหรานก็ล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นนำในรุ่นราวคราวเดียวกันทั้งนั้น ไม่ว่าใครชนะก็สมควรได้รับการยกย่องทั้งสิ้น” มหาเทพเต๋าไฉ่หยาลูบหนวดคลี่ยิ้ม “นายท่านใหญ่ สหายเต๋าเซวียนหมิง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

อู๋เซวี่ยฉานเพียงยิ้ม ไม่ได้บอกว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด

เซวียนหมิงเพียงแต่ตอบเสียงเย็น “นั่นก็พูดยาก”

ไฉ่หยาแค่นหัวเราะออกมา จากนั้นก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก

ระหว่างคุยกัน ทุกคนก็ยังจับจ้องการต่อสู้ไม่วางตา คนระดับพวกเขาย่อมประเมินผลลัพธ์ของการต่อสู้ได้ว่า การต่อสู้เช่นนี้คงไม่สามารถดูกันเพียงระยะสั้นได้

ความวิบัติ ทัณฑ์สวรรค์…. ตอนนี้ เฉินซีหรี่ตาลง สมัยยังอยู่สามภพ เขาคุ้นเคยกับพลังวิบัติเป็นอย่างดี เพราะได้ประมือกับคนนิกายอำนาจเทวะอยู่บ่อยครั้ง

ผู้ชมทั้งหลายยังไม่ทันหายตกใจ คงโหยวหรานก็ฉวยจังหวะนี้ซัดการโจมตีออกมา รัศมีศักดิ์สิทธิ์ห้าสีลุกโชนดั่งเปลวเพลิงลั่นครืนพุ่งเข้าใส่เหลิ่งซิงหุน

ทว่าเมื่อเห็นดังนี้ เฉินซีก็รู้สึกหวาดหวั่นในหัวใจ คิดในใจว่าเวรแล้ว!

วิ้ง!

แน่นอนว่าเมื่อคงโหยวหรานใช้การโจมตีนี่ เหลิ่งซิงหุนที่เหมือนกับกำลังพลาดท่ากลับเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาสีดำเยือกเย็นพลันปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้ว

มันเป็นดวงตาไร้อารมณ์ ดูลึกล้ำจนทำให้ใจสั่นไหว เมื่อปรากฏขึ้นแล้วก็ปลดปล่อยกระแสแสงศักดิ์สิทธิ์สีเทาออกมาทันใด

พริบตานั้น ผู้ชมทั้งหลายก็เห็นว่าร่างคงโหยวหรานชะงักค้าง จากนั้นใบหน้างดงามก็เผยแววตกตะลึง

จากนั้นก็ราวกับถูกฟ้าผ่า ใบหน้าสวยกลับกลายเป็นซีดขาว กระอักเลือดอึกใหญ่ออกมาทันใด

ตู้ม!

ตอนนี้ร่างเหลิ่งซิงหุนก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วกระแทกฝ่ามือลงมา

คงโหยวหรานพยายามต้านไว้แต่ก็สายไปเสียแล้ว ถูกการโจมตีนั้นซัดกระเด็นไปไกล กระอักเลือดออกมาอีกครั้งใหญ่ สีหน้ายิ่งขาวซีดลงกว่าเดิม

“เจ้าแพ้แล้ว” เหลิ่งซิงหุนเห็นดังนั้นก็หยุดการโจมตีทันที จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบ ส่วนดวงตาที่หว่างคิ้วก็หายไปทันที

ผู้ชมทั้งหลายตกตะลึงจนพูดไม่ออก เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เดิมทีคิดว่าเหลิ่งซิงหุนกำลังเสียท่า ไม่คิดเลยว่าคงโหยวหรานจะแพ้ไปภายในพริบตาเช่นนี้!

ถึงขั้นที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเหลิ่งซิงหุนใช้วิชาอะไร

ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อยิ่งนัก

มีเพียงเฉินซีที่ถอนหายใจเสียดายแทนคงโหยวหราน เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร? เขามั่นใจแปดในสิบส่วนว่าดวงตาที่ปรากฏขึ้น ณ หว่างคิ้วของเหลิ่งซิงหุนคือเนตรทัณฑ์สวรรค์!

“เนตรทัณฑ์สวรรค์หรือ? พลังเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถควบคุมได้ในตอนนี้ แต่เจ้าก็ยังชนะไปได้….” คงโหยวหรานเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากสมรภูมิไป ไม่ได้ดูเสียอกเสียใจกับผลลัพธ์เช่นนี้มากมายแต่อย่างใด

ในจังหวะเดียวกันนั้น เหลิ่งซิงหุนก็ออกจากสมรภูมิไปเช่นกัน

ตอนนี้การต่อสู้รอบแรกจบลงแล้ว ผู้คนพากันส่งเสียงอื้ออึงพูดคุยกัน ล้วนแต่ร้องตกใจเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา

แน่นอนว่าหลายคนก็ตกใจกับพลังที่เหลิ่งซิงหุนเผยให้เห็นในครั้งนี้

“รู้สึกแย่จริง ๆ ที่ทำให้ตำหนักเต๋าหนี่หวาต้องสูญเสียไข่มุกเต๋าครอบจักรวาลไป” ณ โถงบรรจบ มหาเทพเต๋าซูถัวนิกายอำนาจเทวะลืมตาขุ่นมัวขึ้นแล้วถอนหายใจ น้ำเสียงแหบเอ่ยขึ้นเบา ๆ ทว่าเต็มไปด้วยความพึงพอใจยิ่ง

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]