เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1892

บทที่ 1892 แผนที่หนังสัตว์ร้าย

………………..

บทที่ 1892 แผนที่หนังสัตว์ร้าย

โถงบรรจบ

มหาเทพเต๋าเซวียนหมิงตกอยู่ในความเงียบ แม้เขาจะรู้ว่าตงหวงอิ่นเซวียนอาจพ่ายแพ้ แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ด้วยตาตัวเอง ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้

เจ้าหนูจากเขาเทพพยากรณ์จะแข็งแกร่งปานนี้ได้อย่างไร?

หรือจะเป็นดั่งที่ท่านประมุขกล่าวไว้? ในฐานะผู้บรรลุแผนภาพวารีหลากคนที่เก้า เด็กคนนี้มีความสามารถที่คนธรรมดาไม่อาจบรรลุได้?

ชะตากรรมของเขานั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้!

นี่มันท้าทายสวรรค์จริง ๆ….

เซวียนหมิงลอบทอดถอนใจ

“การโจมตีครั้งสุดท้ายนั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นสุดยอดวิชาเต๋าแห่งกระบี่ที่สืบทอดมาจากปรมาจารย์แห่งยุคหมานกู่ เซวียน ควบคุมกระบี่ด้วยใจ เข่นฆ่าล้างโลกา!”

มหาเทพเต๋าไฉ่หยาจากสำนักเต๋ากล่าวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่นึกเลยว่าศิษย์น้องจากเขาเทพพยากรณ์จะบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าจนบรรลุถึงสภาวะที่ล้ำลึกเช่นนี้”

“มันเป็นมรดกของเซวียนจริง ๆ” มหาเทพเต๋าเสวี่ยหลิงพยักหน้า

“ฮึ่ม! ปรมาจารย์แห่งยุคหมานกู่นั้นเป็นคนนอกรีตที่ต้องหนีออกนอกแดนเทพโบราณ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำลายล้างโดยเต๋าแห่งสวรรค์” มหาเทพเต๋าซูถัวจากนิกายอำนาจเทวะแค่นเสียงเย็น “การครอบครองมรดกของเขาไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป!”

เมื่อเผชิญเรื่องทั้งหมดนี้ อู๋เซวี่ยฉานเพียงยิ้มและไม่โต้เถียงใด ๆ

“ข้าคิดว่าทุกคนคงตระหนักดีว่า เหตุผลที่ต้องหาตัวศิษย์ที่ได้อันดับหนึ่งในการถกวิถีเต๋าครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อให้ศิษย์ของเราได้ชิงความเป็นใหญ่”

ทันใดนั้น ไฉ่หยาก็กล่าวขึ้น น้ำเสียงทั้งเคร่งขรึมและจริงจัง ทำให้ดึงดูดสายตาของมหาเทพเต๋าทั้งหมดมาที่ตัวเขาเอง

“ยามนี้ การประลองคู่สุดท้ายในการถกวิถีเต๋ากำลังจะเริ่มขึ้น และผลลัพธ์จะถูกเปิดเผยในไม่ช้า ดังนั้นโปรดนำแผนที่สมบัติลับของพวกเจ้าออกมา” ขณะที่กล่าว ไฉ่หยาก็ดึงหนังสัตว์ร้ายโบราณที่ขาดวิ่นออกมา และวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้า

หนังสัตว์ร้ายนั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือของทารกเท่านั้น มันมีสีเทา ทั้งยังไม่สะดุดตา แต่พื้นผิวกลับเต็มไปด้วยพลังงานแปลกประหลาดและคลุมเครือ ซึ่งทำให้ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นเนื้อหาภายในได้

ถึงขั้นที่ยอดคนในขอบเขตมหาเทพเต๋าเช่นอู๋เซวี่ยฉาน เสวี่ยหลิง ซูถัว และเซวียนหมิงก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน!

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ อู๋เซวี่ยฉานเพียงยิ้มและกล่าวว่า “ข้ารอมานานแล้ว”

ขณะที่กล่าว เขาก็ดึงหนังสัตว์ร้ายอีกชิ้นออกมาเช่นกัน มันฉีกขาดในทำนองเดียวกัน ทั้งยังดูเก่าแก่และเต็มไปด้วยพลังงานแปลกประหลาดอันคลุมเครือ

ในไม่ช้า ราวกับทั้งหมดเข้าใจตรงกัน คนอื่น ๆ ก็หยิบหนังสัตว์ร้ายออกมาตาม ๆ กัน

“ฮึ่ม! รับไป!” เซวียนหมิงไม่เต็มใจเล็กน้อย ทว่าท้ายที่สุด ก็ยังดึงหนังสัตว์ร้ายออกมาแล้วโยนให้ไฉ่หยา

เห็นได้ชัดว่าเขาตระหนักดีว่าเหล่าศิษย์จากนิกายของตนไม่มีโอกาสเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เพราะไม่ว่าเหลิ่งซิงหุนหรือเฉินซีจะเป็นผู้ชนะ เขาก็ยังต้องมอบหนังสัตว์ร้ายให้อยู่ดี

มีเพียงมหาเทพเต๋าซูถัวเท่านั้นที่ยังคงเงียบอยู่พักใหญ่ จากนั้นพลันกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าจะมอบให้ก็ต่อเมื่อการถกวิถีเต๋าสิ้นสุดลง”

ไฉ่หยาไม่สนใจ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาละ ข้าหวังว่าสหายเต๋าซูถัวคงตระหนักดีว่าเศษหนังสัตว์ร้ายเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสถานที่ลึกลับภายในแดนรวนเรลืมเลือน ตามข้อตกลงระหว่างห้านิกายของเรา เราต้องส่งมอบไม่ว่าผลลัพธ์ของการถกวิถีเต๋าจะเป็นอย่างไรก็ตาม”

ซูถัวพยักหน้าอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า “แน่นอน”

ที่จัตุรัสแห่งการประชัน เฉินซีนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลัง

การเอาชนะตงหวงอิ่นเซวียน ทำให้เขาสูญเสียพลังไปมาก และพละกำลังของเขาก็แสดงอาการเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่โชคดีที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงใด ๆ

ปัจจุบัน เขามีเวลาหกชั่วยามเพื่อฟื้นฟูพลัง ก่อนที่การประลองคู่สุดท้ายจะเริ่มขึ้น ตามการคาดการณ์ของเฉินซี ช่วงเวลานี้เพียงพอที่เขาจะฟื้นตัวสู่สภาวะสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์

ในอีกด้านหนึ่ง เหลิ่งซิงหุนก็นั่งสมาธิเช่นกัน

ทว่าเขากลับกำลังอนุมานถึงพลังฝีมือของเฉินซีอยู่

เหลิ่งซิงหุนได้เฝ้าดูการต่อสู้ระหว่างเฉินซีและตงหวงอวิ่นเซวียนอย่างชัดเจน ดังนั้นแม้แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจต่อพลังฝีมือที่แท้จริงของเฉินซี

เหตุนี้จึงทำให้เขาต้องระมัดระวังมากขึ้น และคว้าโอกาสนี้เพื่ออนุมานในใจอย่างเงียบ ๆ เนื่องเพราะเขาต้องการทราบถึงขอบเขตความสามารถของอีกฝ่าย!

เพื่อที่จะเข้าใจในทุกแง่มุมต่อพลังฝีมือของเฉินซีอย่างถ่องแท้ เขาเริ่มวิเคราะห์ทุกสิ่งที่เฉินซีได้สำแดงในพิภพกุมภเต๋าอย่างช้า ๆ และไม่พลาดรายละเอียดแม้แต่น้อย

นี่ไม่ได้หมายความว่าความกลัวได้ก่อตัวขึ้นในใจของเหลิ่งซิงหุน แต่เป็นเพราะเขาถือเฉินซีเป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจ ดังนั้นจึงต้องทำทุกอย่างให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด ในขณะที่จัดการกับคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจเช่นนี้!

เพราะตอนนี้เหลือเพียงการประลองคู่สุดท้ายเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะต้องระมัดระวังมากแค่ไหน มันก็คุ้มค่าในช่วงคับขันเช่นนี้

ไม่ว่าจะเป็นเฉินซีหรือเหลิ่งซิงหุน ทั้งคู่ต่างก็หลับตาทำสมาธิ และพวกเขาเผยสีหน้าสงบ ในขณะที่เตรียมพร้อมสำหรับการประลองคู่สุดท้าย

ในทางกลับกัน โลกภายนอกเต็มไปด้วยเสียงดังอื้ออึง เสียงการสนทนาดังก้องไม่หยุดหย่อน พวกเขากำลังพูดคุยในทำนองเดียวกันว่าใครจะเป็นผู้หัวเราะคนสุดท้าย ในระหว่างการประลองคู่สุดท้ายที่กำลังจะมาถึง

แต่ในไม่ช้า หัวข้อสนทนาเหล่านี้ ก็ถูกเบี่ยงเบนด้วยข่าวหนึ่ง

“อะไรนะ? มหาเทพเต๋าทั้งห้าแต่ละคนได้มอบสมบัติวิญญาณธรรมชาติเป็นรางวัลสำหรับอันดับหนึ่งในการถกวิถีเต๋าครั้งนี้หรือ?”

“กระสวยทลายนภาอนันต์ อาภรณ์วิญญาณสุญตา ธงจักรวาลหยินหยาง ง้าวโลกา และไข่มุกเต๋าครอบจักรวาล…. สมบัติวิญญาณธรรมชาติทั้งห้านี้เป็นยอดสมบัติล้ำค่าในหมู่สมบัติวิญญาณธรรมชาติที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน และสมบัติวิญญาณธรรมชาติทั่วไปไม่สามารถเทียบเคียงกับพวกมันได้เลย!”

ผมสีแดงเลือดปลิวสะบัด ร่างกายเปล่งรัศมีโหดเหี้ยม ไร้ปรานี และไม่แยแสอย่างยิ่ง กลิ่นอายอันน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด จนคนอื่น ๆ สามารถมองเห็นพลังงานของมหาเต๋าที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขาได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้มวลเมฆปั่นป่วนจนแตกกระเจิง คลื่นพลังแผ่พุ่งขึ้นไปบนฟ้า จนดูเหมือนตัวตนอันทรงพลังอย่างสุดขั้ว

โครม!

ยังไม่ทันสิ้นเสียง แต่เหลิ่งซิงหุนก็เปิดฉากโจมตีอย่างดุเดือด เขากำกระบี่หักสีดำในมือ ขณะที่ทะยานผ่านท้องฟ้า ทำให้ความว่างเปล่าถูกฉีกออกเป็นเสี่ยง ๆ อย่างรวดเร็วดุจอสนีบาต ในขณะที่พลังงานแห่งภัยพิบัติได้กวาดออกไป

กระบี่สีดำที่หักนี้ เรียกว่า ‘กระบี่อสนีบาตสุญตา’ และเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ครอบครองพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ซึ่งสืบทอดภายในนิกายอำนาจเทวะ มันสามารถบั่นเศียรของปราชญ์ และบดขยี้วิญญาณของเทพอสูรได้!

ฟิ่ว!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เฉินซีก็โจมตีเช่นกัน กระบี่ยันต์ศัสตราฟาดฟันผ่านท้องฟ้า ในขณะที่ปล่อยปราณโกลาหลที่ชัดเจน อักขระยันต์แวววาวและรุ่งโรจน์มากมายก่อตัวขึ้นจากมัน

ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้กระบี่เปลื้องมลทิน เพราะพลังของมันด้อยกว่า และไม่สามารถสำแดงอานุภาพที่ทัดเทียมกับคู่ต่อสู้อย่างเหลิ่งซิงหุนได้

แต่ก็เป็นประโยชน์อีกประการหนึ่งของการใช้กระบี่เพียงเล่มเดียว นั้นคือเฉินซีสามารถรวบรวมพลังทั้งหมดเข้ากับกระบี่ และระเบิดออกไปได้อย่างสมบูรณ์

โครม!

ทั้งสองปะทะกัน แสงศักดิ์สิทธิ์พังทลายลงอย่างรุนแรง ในขณะที่ความผันผวนกระเพื่อมราวกับมหาสมุทรที่โหมกระหน่ำด้วยคลื่นอันทรงพลัง

“สะบั้น!” ก่อนที่การโจมตีนี้จะสลายไปอย่างสมบูรณ์ ร่างของเหลิ่งซิงหุนก็เปล่งประกายออกมา ในขณะที่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามของเขาก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และกระบี่อสนีบาตสุญตาก็แฝงด้วยพลังทำลายล้างอย่างไร้ที่เปรียบเมื่อมันโหมโจมตีใส่เฉินซีอีกครั้ง

“ฮึ่ม!” ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง ในขณะที่สีหน้าสงบและไม่แยแส เขากำกระบี่ยันต์ศัสตราไว้ในมือแม่น แล้วต่อสู้กับเหลิ่งซิงหุนอย่างดุเดือด

โครม!

โครม!

ในช่วงเวลาสั้น ๆ พวกเขาก็ปะทะกันไม่ต่ำกว่าร้อยกระบวนท่า เคล็ดวิชาส่งเสียงดังกึกก้อง ในขณะที่รัศมีศักดิ์สิทธิ์แตกกระจาย มันทั้งแพรวพราว และน่าสะพรึงกลัวสะท้านขวัญ

บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มันเป็นการต่อสู้ขั้นสูงสุดระหว่างยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ ทำให้เกิดคลื่นพลังทำลายล้างไปทั่วทั้งสมรภูมิ!

นับตั้งแต่การประลองคู่สุดท้ายเริ่มขึ้น ฉากการต่อสู้ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินก็ปรากฏขึ้น และไม่มีสิ่งใดเทียบได้!

เมื่อเปรียบเทียบกับการประลองครั้งก่อน ๆ ในแง่ของความรุนแรงและความน่าสะพรึงกลัว ไม่มีการประลองคู่ไหนเทียบกับการประลองคู่นี้ได้

เพราะตั้งแต่ประลองเริ่มต้นขึ้น ทั้งเฉินซีและเหลิ่งซิงหุนไม่ได้ยั้งพลังแต่อย่างใด พวกเขาใช้ท่าสังหารและสุดยอดกระบวนท่าที่รู้อย่างต่อเรื่อง

ยิ่งกว่านั้น ทุก ๆ กระบวนท่าเหล่านี้ ล้วนเหนือกว่าพลังของบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ทั้งยังสามารถทำลายล้างผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลส่วนใหญ่อย่างง่ายดายในบัดดล!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]