บทที่ 1899 เนตรจิตใจ
………………..
บทที่ 1899 เนตรจิตใจ
โถงบรรจบ
อู๋เซวี่ยฉานเรียกตัวเฉินซี กู่เยี่ยน และถูเมิ่งมารวมกัน ก่อนจะกล่าวผ่านกระแสปราณ “เมื่อเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือนครั้งนี้ ไม่ว่าจะเผชิญกับอันตรายอะไร เจ้าทั้งคู่ต้องจำไว้ว่า จะต้องติดตามศิษย์น้องเล็กเฉินซี และเชื่อฟังเขาทุกอย่าง”
กู่เยี่ยนและถูเมิ่งพยักหน้ารับคำ “ไม่ต้องห่วงอาจารย์ลุง”
อู๋เสวี่ยชานดึงกล่องทองสัมฤทธิ์โบราณที่มีความยาวประมาณห้าชุ่น และมีอักขระหนาแน่นจารึกอยู่บนนั้น จากนั้นจึงส่งต่อให้กับเฉินซี “อาเหลียงใกล้จะตื่นแล้ว เมื่อเจ้าเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน ก็จงพานางไปด้วย”
เฉินซีตกตะลึง ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าองค์หญิงแห่งเผ่าจุลบรรพกาล อาเหลียงกำลังนอนอยู่ในกล่อง
“เพราะเหตุใด?” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้
“ครั้งที่จ้าวเต๋าคุนเผิงมุ่งหน้าไปยังแดนรวนเรลืมเลือนเมื่อหลายปีก่อน เขาไม่ได้กระทำการอย่างผลีผลาม ทั้งยังเตรียมการเป็นอย่างดี ในเวลานั้น สิ่งที่เขาพึ่งพามากที่สุดคือเผ่าจุลบรรพกาล” อู๋เซวี่ยฉานกล่าวตามตรง “แม้ตัวข้าจะไม่รู้ว่าเผ่าจุลบรรพกาลนั่นจะมีประโยชน์อันใดในการเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน แต่เนื่องจากการที่จ้าวเต๋าคุนเผิงทำเช่นนั้น ดังนั้นย่อมมีความหมายลึกซึ้งอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทันใดนั้น เฉินซีก็นึกถึงตอนที่เขาพบอาเหลียงที่แดนโลกาวินาศเมื่อหลายปีก่อน กลุ่มคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเผ่าจุลบรรพกาลยืนเฝ้าอยู่หน้าผนึกที่จ้าวเต๋าคุนเผิงทิ้งไว้
ในเวลานั้น ท่านยายของอาเหลียงได้กล่าวว่า เผ่าจุลบรรพกาลของพวกเขาติดตามจ้าวเต๋าคุนเผิงเพื่อท่องไปทั่วโลก และบรรลุวีรกรรมอันน่าทึ่งมากมายที่ทำใต้หล้าสั่นสะเทือน
ดังนั้นแม้ว่าจ้าวเต๋าคุนเผิงจะดับสูญไปแล้ว ซากสังขารกลายเป็นแดนโลกาวินาศ แต่คนที่เหลืออยู่ของเผ่าจุลบรรพกาลก็ไม่มีคนใดที่เต็มใจจะจากไป และยื่นเฝ้าอยู่ที่นั่นภายในแดนโลกาวินาศ
บัดนี้เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์นี้ ควบคู่ไปกับสิ่งที่ศิษย์พี่ใหญ่กล่าว เฉินซีก็ตระหนักได้ทันทีว่าอาเหลียงอาจจะมีประโยชน์จริง ๆ ถ้าเขาพานางไปด้วย
แน่นอนว่า แม้อาเหลียงจะไม่มีประโยชน์ แต่การพานางไปด้วยก็ไม่ถือเป็นภาระแต่อย่างใด
“นอกจากนี้ ถ้าข้าจำไม่ผิด ไอ้สารเลวนั่นต้องใช้ทุกวิถีทางเพื่อแย่งชิงชิ้นส่วนแผนที่ทั้งห้าจากเจ้าแน่ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือนนั้น คือต้องระวังคนของนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์” อู๋เซวี่ยฉานครุ่นคิดและกล่าวต่อ “สำหรับสำนักเต๋าให้ประกบพวกเขาไว้ถ้าเป็นไปได้ แต่ลดการป้องกันลง ตราบใดที่หลิวเซินจียังมีชีวิตอยู่ สำนักเต๋าจะต้องวางตัวเป็นกลาง”
เฉินซีประหลาดใจเพราะพวกเขาอยู่ในอาณาเขตของสำนักเต๋า แต่ศิษย์พี่ใหญ่กลับกล่าวถึงความตายของเจ้าสำนักเต๋า จึงอดรู้สึกแปลก ๆ ไม่ได้
หลังจากนั้น เฉินซีหายใจเข้าลึก พลางพยักหน้า “ศิษย์พี่ใหญ่อย่าได้กังวล ข้ารู้ดีว่าใครมิตรใครศัตรู”
อู๋เซวี่ยฉานคลี่ยิ้ม “ดี ใช่แล้ว หากเจ้าพบกับอุปสรรคที่ยากจะจัดการ ก็อย่าได้กังวลที่จะร่วมมือกับศิษย์ของตำหนักเต๋าหนี่หวา”
เฉินซีพยักหน้า
…
อีกด้านหนึ่ง
ซูถัวมีสีหน้าไม่แยแส พลางส่งกระแสปราณเสียงเย็น “จงจำไว้ ชิ้นส่วนแผนที่ทั้งห้านั้น เกี่ยวข้องกับโชคลาภอันสูงสุด เกี่ยวข้องกับมหาวิถีสู่เต๋า พวกเจ้าทุกคนต้องแย่งชิงมันมาให้ได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ตาม!”
“ขอรับ!” เหลิ่งซิงหุนและศิษย์คนอื่น ๆ ของนิกายอำนาจเทวะตอบพร้อมกัน
ท่าทางของซูถัวผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้นเขาก็กล่าวต่อ “แน่นอน หากพวกเจ้ามีโอกาสฆ่าเจ้าเด็กสารเลวเฉินซีคนนั้น ก็ห้ามปล่อยให้มันหลุดมือเป็นอันขาด เจ้าเด็กนั้นครอบครองแผนภาพวารีหลาก และมันอาจเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิยมโลกองค์ที่สามด้วย ดังนั้นต้องกำจัดมันให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะกลายเป็นฝูซีอีกคน!”
หัวใจของเหลิ่งซิงหุนและคนอื่น ๆ สั่นสะท้านเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ฝูซีอีกคนเหรอ?
…
“ส่วนอิ่นเซวียน อย่าได้โศกเศร้าไป แม้ว่าเจ้าจะพ่าย แต่การถกวิถีเต๋าก็เป็นแค่การประลอง และไม่ใช่การต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย”
ในเวลาเดียวกัน เซวียนหมิงกวาดสายตามองผ่านตงหวงอิ่นเซวียน จูเชี่ยนอวี้ กงซุนมู่ และคนอื่น ๆ อย่างช้า ๆ แล้วจึงกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือนแล้ว พวกเจ้าทุกคนต้องใช้โอกาสทั้งหมดที่มีเพื่อสังหารเจ้าเด็กนั้น!”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปความเย็นชา ในขณะที่กล่าวขึ้นว่า “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจะยังไม่รู้ตัว แต่เจ้าเด็กนั้นได้เหยียบย่างเข้าสู่เส้นทางที่ไม่เหมือนใครและไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งถือได้ว่าท้าทายสวรรค์ นอกจากนี้ มันยังบรรลุความสำเร็จบนเส้นทางนี้อีกด้วย เมื่อคนนอกรีตเช่นมันเติบใหญ่ มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับสำนักศักดิ์สิทธิ์ของเราอย่างแน่นอน”
ว่าอะไรนะ?
คลื่นอันปั่นป่วนก่อตัวในใจของตงหวงอิ่นเซวียนและคนอื่น ๆ เส้นทางที่ไม่เหมือนใครและไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งถือได้ว่าท้าทายสวรรค์?
นั่นไม่เหมือนกับสิ่งแปลกปลอมที่เต๋าแห่งสวรรค์ไม่ยอมรับหรือ?
ตงหวงอิ่นเซวียนและคนอื่น ๆ ตระหนักดีว่าคำเหล่านี้หมายถึงอะไร จึงทำให้สีหน้าของพวกเขาดูเคร่งขรึมยิ่ง
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่พวกเจ้าจะร่วมมือกับบรรดาศิษย์จากนิกายอำนาจเทวะเพื่อทำลายล้างเจ้าเด็กเฉินซีคนนั้นในแดนรวนเรลืมเลือน!”
…
“เย่เฉิน หลี่หลูเฟิง”
“ขอรับ!”
“มีบางอย่างที่ข้าต้องเตือนพวกเจ้า สำนักเต๋าของเราวางตัวเป็นกลางมาโดยตลอด และไม่เคยแทรกแซงข้อพิพาทของผู้อื่น พวกเจ้าทุกคนต้องรักษาสิ่งนี้ไว้เมื่อเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน” ไฉ่หยามองเย่เฉินและหลี่หลูเฟิง ในขณะที่ส่งกระแสปราณด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
มีศิษย์หลายคนในฝั่งสำนักเต๋าที่จะเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน แต่เขาเพียงกล่าวกับเย่เฉินและหลี่หลูเฟิงเท่านั้น เรื่องนี้จึงน่าสงสัยอย่างยิ่ง
หัวใจของหลี่หลูเฟิงสั่นเทา และเขาก็รีบพยักหน้า “ท่านบรรพจารย์ลุงอย่าได้กังวล ศิษย์จะจำมันให้มั่นอย่างแน่นอน”
ดวงตาของเย่เฉินหรี่ลง พลางกล่าวว่า “อาจารย์ลุง แค่วางตัวเป็นกลางก็พอใช่หรือไม่?”
ไฉ่หยาพยักหน้า “ถูกต้อง”
ท่าทางของเจียหนานยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและนิ่งสงบ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “แต่ข้ามั่นใจแล้วว่าเจ้าไม่ใช่หวังจง!”
น้ำเสียงของเขาแน่วแน่และไม่อาจโต้แย้งได้
หวังจงเลิกคิ้วด้วยสีหน้าจนปัญญา จากนั้นยักไหล่ “ถ้าข้าไม่ใช่ข้า แล้วข้าจะเป็นใครล่ะ? เจียหนาน เมื่อเจ้าบรรลุมรดกสูงสุดของนิกายพุทธอย่างเนตรจิตใจ เจ้าจะเข้าใจว่าการคาดเดาของเจ้านั่นไร้สาระเพียงใด ไม่ต้องกล่าวถึงว่าถ้ามีอะไรผิดปกติกับตัวตนของข้า เหล่ายอดคนขอบเขตมหาเทพเต๋าก็คงจะสังเกตเห็นมันแล้ว แล้วข้าจะถูกปล่อยให้ชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร?”
เนตรจิตใจเป็นมรดกอันสูงสุดประการหนึ่งของนิกายพุทธ ตามข่าวลือ เมื่อมันถูกบ่มเพาะจนถึงขีดสุด ใคร ๆ ก็สามารถได้ยินความลับในส่วนลึกของหัวใจจากทุกสรรพชีวิตได้ มันปราศจากสุ้มเสียง และไม่อาจป้องกันได้ ทั้งยังลี้ลับเป็นอย่างยิ่ง
หมายความว่าแม้เจียหนานจะบ่มเพาะเนตรจิตใจ และสามารถมองเห็นความคิดของเขาได้ แต่จะไม่ได้อะไรไปมากกว่าความจริงที่ว่าเขาคือหวังจง
ปฏิกิริยาของเจียหนานยังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง “ไม่ต้องกังวลไป ข้าได้เข้าใจความลึกซึ้งบางประการของเนตรจิตใจแล้ว และคงใช้เวลาอีกไม่นาน ก่อนที่ข้าจะเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ ในเวลานั้น ก็ไม่มีทางที่เจ้าจะปกปิดสิ่งใดได้”
ดวงตาของหวังจงหรี่ลง และจ้องมองที่เจียหนานอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยกยิ้ม “แล้วข้าจะรอดู”
เจียหนานยิ้ม แล้วทันใดนั้นก็กล่าวอะไรบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ “แดนเทพโบราณกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน แต่การแทรกแซงของคนนอกไม่อาจปล่อยให้เกิดขึ้นได้”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาก็หันกลับมานั่งทำสมาธิ ไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก
ดวงตาของหวังจงหรี่ลงอีกครั้ง ทว่าเขาก็ทำเพียงส่ายศีรษะและยิ้มอย่างสบายใจ
การสนทนาของพวกเขาดำเนินผ่านกระแสปราณ ดังนั้นจึงไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ใด
ไม่นาน ไฉ่หยา อู๋เซวี่ยฉาน ซูถัว เซวียนหมิง และเสวี่ยหลิงก็เดินทางไปยังแดนรวนเรลืมเลือน
ในขณะที่เฉินซีและศิษย์อีกยี่สิบเก้าคนถูกพาออกจากโถงบรรจบโดยไฮว่คงจื่อ พวกมุ่งหน้าไปยังแดนวสันต์โบราณเพื่อพักฟื้น
หลังจากประสบกับการประลองมากมายในการถกวิถีเต๋า พวกเขาส่วนใหญ่ได้สูญเสียพลังไปมาก ตัวอย่างเช่น เหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียน ซึ่งบางคนก็บาดเจ็บสาหัสด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บอย่างเร่งด่วน
“น่าสนใจ ช่างน่าสนใจนัก” หลังจากที่เฉินซีและคนอื่น ๆ จากไป จู่ ๆ ก็มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นภายในโถงบรรจบที่ว่างเปล่า
เขามีรูปร่างที่ผอม เตี้ย และธรรมดามาก คนผู้นี้ย่อมเป็นหลิวเซินจี เจ้าสำนักเต๋า!
ทว่าในขณะนี้ เขายืนเอามือไพล่หลังพลางจ้องมองไปยังทิศทางที่เฉินซีและคนอื่น ๆ จากไป ดวงตาเต็มไปด้วยระลอกแสงแปลกประหลาด
หลังจากยืนเงียบอยู่เป็นเวลานาน เขาก็ทอดถอนใจ “มันเป็นหายนะหรือโชคลาภ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเดินทางครั้งนี้….”
ก่อนที่เสียงจะเงียบลง เขาก็หายตัวไปอีกครั้ง
โถงบรรจบว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ ตกอยู่ในความเงียบงัน
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...