เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1901

บทที่ 1901 เอกภพโกลาหล

………………..

บทที่ 1901 เอกภพโกลาหล

ยันต์ศัสตราเรืองแสงประหลาดในขณะที่อักขระยันต์หมุนวนไปรอบ ๆ มันค่อย ๆ ดูดซับพลังจากหอกทองคำย่ำสยบอย่างต่อเนื่อง

จากการคาดคะเนของเฉินซี หากเขาสามารถรักษาความเร็วไว้ได้เช่นนี้ไปตลอด ก็คงจะใช้เวลาอย่างน้อยห้าปีจึงจะดูดซับพลังจากหอกทองคำนั้นได้อย่างสมบูรณ์

ขวับ!

เฉินซีไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป ทันทีที่ลั่นวาจาคำสั่งในใจ บรรทัดชะตาเต๋าเทวะก็ปรากฏขึ้น ละอองแสงศักดิ์สิทธิ์พร่างพราวโปรยปราย เปล่งแสงอันงดงามซึ่งเปี่ยมไปด้วยปราณมงคล

ในเวลาไม่นาน สายฝนแห่งแสงก็รวมตัวกันและควบแน่นขึ้นที่ใจกลางของบรรทัดหยก ก่อนจะกลายเป็นคนตัวเล็ก ๆ ที่ชวนตื่นตา คนผู้นั้นกำลังนั่งขัดสมาธิพลางสวดมนตราเต๋าด้วยท่าทางเคร่งขรึม

ฉับพลันนั้นเอง เฉินซีสัมผัสได้ถึงพลังของมหาเต๋าซึ่งทำให้โลกทั้งใบนั้นต่างออกไป

มหาเต๋านี้ไร้ลักษณ์ไร้นาม ซุกซ่อนอยู่ภายในทุกสิ่งบนโลก หากกลับเป็นภาพมายาที่ยากจะเข้าใจ

กระนั้นบรรทัดชะตาเต๋าเทวะก็ทำให้เฉินซีสังเกตเห็นอักขระแห่งมหาเต๋าได้อย่างชัดเจน เขาสามารถเข้าใจความลึกล้ำของพวกมันได้ละเอียดยิ่งขึ้น

คนตัวเล็กที่อยู่ตรงกลางไม้บรรทัดหยกนั้นคือ ‘เทวา’ ที่สามารถหยั่งรู้เต๋าแห่งสวรรค์ และเปลี่ยนสิ่งที่มองไม่เห็นให้จับต้องได้ เมื่อเฉินซีตอบสนองร่วมกับ ‘เทวา’ นี้ ก็คล้ายว่าเขาได้หลอมรวมกับฟ้าดินและมหาเต๋า

สิ่งนี้ทำให้ความเข้าใจของเขาง่าย ลึกซึ้ง และถี่ถ้วนกว่าที่เคยเป็นมา

ราวกับว่าทุกสิ่งที่เคยซับซ้อนคลุมเครือบัดนี้เรียบง่ายกระจ่างชัด ทำให้ความลึกล้ำชวนสับสนทั้งหลายไม่อาจอำพรางความจริงแท้เบื้องลึกนั้น

แน่นอนนั่นก็เพราะว่าบรรทัดชะตาเต๋าเทวาสามารถหยั่งรู้มหาเต๋า และเผยซึ่งความลึกล้ำของมันได้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่สมบัติประเภทสรรพาวุธ ทว่าความสามารถนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้สมบัติศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ไม่อาจเทียบกับมันได้ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เฉินซีจะเข้าสู่ฌานระดับลึก อันถือว่าเป็นการพักฟื้นตัวเองพร้อมกับทำความเข้าใจในคราวเดียว บัดนี้ วันเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่ทันสังเกต

หลายปีผ่านไป ซึ่งนับว่าเป็นเพียงสามวันสำหรับโลกภายนอก

ในวันนี้ จู่ ๆ เฉินซีก็ลืมตาขึ้นจากสภาวะการทำสมาธิ เสียงของไฮว่คงจือดังก้องอยู่ในแดนวสันต์โบราณ

“ผ่านมาสามวันแล้ว ถึงเวลาที่พวกเจ้าทุกคนต้องออกไป” ไม่ใช่แค่เฉินซีที่ตื่นขึ้นเท่านั้น หากศิษย์คนอื่น ๆ ในแดนวสันต์โบราณก็ตื่นขึ้นจากฌานเช่นกัน

หลังจากนั้น ประตูหลายบานก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา

ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง เฉินซีหยัดกายและก้าวผ่านประตูไปโดยไม่ลังเล ร่างของเขาหายวับไปในทันที

ณ จัตุรัสแห่งการประชัน

เมื่อเฉินซีมาถึงที่นี่ ศิษย์อีกยี่สิบเก้าคนก็ค่อย ๆ มาถึงตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม คนที่รอพวกเขาอยู่หาใช่ไฮว่คงจื่อไม่ หากเป็นชายชรารูปร่างผอมเตี้ยที่ดูธรรมดายิ่ง

ใช่แล้ว คนผู้นี้คือเจ้าสำนักเต๋า หลิวเซินจี!

เฉินซีและคนอื่น ๆ ต่างพากันตกตะลึง สีหน้าเริ่มเครียดขรึม

“บัดนี้เส้นทางสู่แดนรวนเรลืมเลือนได้เปิดแล้ว จงมากับข้า” หลิวเซินจีเหลือบมองยังเฉินซีและคนอื่น ๆ เมื่อเห็นว่าการบ่มเพาะของพวกเขาได้ฟื้นคืนอย่างเต็มที่แล้ว เขาก็หยุดลังเลและสะบัดแขนเสื้อเบา ๆ

ทันใดนั้น เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็สัมผัสถึงบางอย่างก่อนที่ดวงตาของพวกเขาจะวับวาบ ไม่นานนัก ทุกคนก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังมหาศาลไม่อาจต้านทานหรือควบคุม ก่อนที่ร่างของพวกเขาจะหายไปอย่างรวดเร็ว

พวกเขาไม่อาจมองเห็นหรือยลยินสิ่งใด

ราวกับว่ากำลังดำดิ่งในห้วงกาล คล้ายเวลาผันผ่านไปเพียงครู่

เมื่อเฉินซีลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็เห็นในทันทีว่าตนกำลังยืนอยู่ในภูมิภาคที่ไม่คุ้นเคย

ที่นี่เงียบสงบ กว้างใหญ่ ลึกล้ำ ประหนึ่งไร้ซึ่งเขตแดนขวางกั้น

อีกด้านหนึ่ง วังวนสีดำขนาดมหึมาพาดผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวซึ่งอยู่ไกลออกไป เมื่อมองจากที่ไกล มันเหมือนกับปากเปื้อนเลือดเข้มคล้ำที่ยิ่งใหญ่พอจะกลืนกินดวงดาวมากมายในคราวเดียว

อย่างไรก็ดี ที่น่าแปลกก็คือวังวนขนาดมหึมานี้อยู่ในสภาวะนิ่งเฉยเช่นกัน นั่นทำให้มันน่ากลัวยิ่งกว่าเก่า

“ที่นี่คือเอกภพโกลาหล” หลิวเซินจียืนเอามือไพล่หลัง น้ำเสียงของชายชราเฉยเมยขณะที่จ้องมองยังวังวนสีดำขนาดมหึมาในระยะไกล

เฉินซีและคนอื่น ๆ ตกตะลึง นี่คือเอกภพโกลาหลอย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงได้ปราศจากความโกลาหลและดูเงียบงันวังเวงเช่นนี้?

“สถานที่แห่งนี้อันตรายมาก ในอดีต แม้แต่มหาเทพเต๋าก็ไม่กล้าย่ำกราย” หลิวเซินจีทอดถอนใจ “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณความร่วมมือระหว่างห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิ และสมบัติล้ำค่าที่สุดของนิกายพวกเราที่ทำให้พลังทัณฑ์สวรรค์ของที่แห่งนี้ระงับลง ส่งผลให้ที่นี่กลับมาสงบอีกครั้ง”

ตอนนี้เฉินซีและคนอื่น ๆ เข้าใจอย่างชัดแจ้ง พวกเขาตระหนักดีว่าสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาตอนนี้ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเอกภพดังกล่าว

ในเวลาเดียวกัน มันก็ทำให้พวกเขาจริงจังกับการสำรวจนี้มากยิ่งขึ้น

การเปิดเส้นทางสู่แดนรวนเรลืมเลือนจำเป็นต้องอาศัยกำลังร่วมจากห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิ แสดงให้เห็นว่าในอดีต สถานที่แห่งนี้อันตรายมากเพียงไร ราวกับว่ามันเป็นพื้นที่ต้องห้ามขั้นสูงสุด!

“เห็นทางนั่นหรือไม่?” หลิวเซินจีชี้ไปที่วังวนสีดำขนาดมหึมาแล้วพูดขึ้น “พวกเจ้าสามารถเข้าไปในแดนรวนเรลืมเลือนได้จากทางนั้น ตามตำนานเล่าขาน มีพื้นที่ที่ยังไม่ถูกค้นพบหลายแห่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ในขณะเดียวกัน อันตรายและจิตสังหารทุกประเภทก็ล้วนแต่อำพรางกายอยู่ภายในนั้น พวกเจ้าทุกคนจะต้องใช้ความระมัดระวังในการสำรวจ”

ครู่ถัดมา วังวนสีดำขนาดมหึมาก็ระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ท่ามกลางเสียงอึกทึก เหลือเพียงความว่างเปล่าที่ปรากฏเหนือท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

เอกภพนี้ตกสู่ความโกลาหลอย่างสมบูรณ์

ดูเหมือนว่าพลังอันน่าสะพรึงกลัวของทัณฑ์สวรรค์จะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

“พวกเขาน่าจะเข้าไปกันแล้ว” บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่อยู่ไกลออกไป อู๋เซวี่ยฉาน เสวี่ยหลิง ซูถัว เซวียนหมิง และไฉ่หยายืนทอดสายตากว้างไกล มองภาพที่เต็มไปด้วยความโกลาหลเหล่านั้นอย่างชัดเจน

“สหายเต๋าบางคนอาจไม่สามารถกลับมาได้” ซูถัวพูดอย่างไม่แยแส

คำเหล่านี้แฝงนัยถึงบางสิ่งอย่างชัดแจ้ง

อู๋เซวี่ยฉานรู้ดี เขาเพียงยิ้มให้ก่อนจะพูดขึ้น “สหายเต๋าซูถัว ท่านกังวลเกี่ยวกับศิษย์นิกายอำนาจเทวะของท่านอย่างนั้นหรือ?”

ความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาคือซูถัวกำลังกล่าวถึงศิษย์ของนิกายตน

ซูถัวพ่นลมหายใจฮึดฮัด ดวงตาที่มัวหม่นจ้องอีกฝ่ายเขม็ง “อู๋เซวี่ยฉาน การถกวิถีเต๋าได้สิ้นสุดลงแล้ว อีกทั้งสหายเต๋าทั้งสามสิบคนนั้นก็ได้เข้าไปยังแดนรวนเรลืมเลือนแล้ว ไยเราไม่คว้าโอกาสนี้ไปประลองฝีมือกันสักตั้งเล่า? ข้าไม่อาจสงบใจได้หากไม่ได้ฆ่าเจ้าด้วยตัวเอง!” เสียงนั้นเยือกเย็นยิ่ง

ขณะที่พูด เสียงของเขาก็เต็มไปด้วยแรงอาฆาตข้นคลั่ก

เซวียนหมิง เสวี่ยหลิง และไฉ่หยาทอดสายตายังคนทั้งสองด้วยความสนใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้

“ถ้าพวกท่านสองคนคิดจะต่อสู้ฆ่าแกงกันตอนนี้ แล้วใครเล่าจะพาเด็กเหล่านั้นกลับมาในอีกสิบปีข้างหน้ากัน?” ยังไม่ทันที่อู๋เซวี่ยฉานจะตอบโต้ เสียงของหลิวเซินจีก็ดังกังวาน ร่างผอมแห้งปรากฏขึ้นหลังจากนั้น

มุมปากของซูถัวกระตุกกึกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเงียบเสียงลงไปในทันที

อู๋เซวี่ยฉานยิ้ม “ผู้อาวุโสพูดถูก ให้ต่อสู้กันตอนนี้คงไม่เหมาะ”

ตอนนี้เอง ไม่ใช่เพียงซูถัวเท่านั้นที่ปลดปล่อยจิตสังหารที่กำลังเดือดพล่านออกมา แม้แต่อู๋เซวี่ยฉานก็ปรากฏร่องรอยของจิตสังหารขึ้นในหัวใจ

อย่างไรก็ตาม พวกมันได้เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อหลิวเซิงจีมาถึง

“เวลาสิบปีว่องไวเหมือนกะพริบตา ทำไมพวกเจ้าไม่พักอยู่ที่นี่เพื่อเตรียมการสำหรับอีกสิบปีข้างหน้าเลยเล่า? ข้าเอง… ก็จะรออยู่ที่นี่เหมือนกัน” คำพูดของหลิวเซินจีทำให้ซูถัวและอู๋เซวี่ยฉานยอมละทิ้งความคิดที่จะต่อสู้กันในทันที พวกเขารู้ดี ที่ชายชราร่างผอมทำเช่นนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขานึกอุตริลุกขึ้นมาต่อสู้กัน

ผู้เป็นมหาเทพเต๋าทั้งสองอดไม่ได้ที่จะถอนใจยาว

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]