เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1903

บทที่ 1903 ซากสังขารเทพอสูร

………………..

บทที่ 1903 ซากสังขารเทพอสูร

แดนรวนเรลืมเลือนใหญ่โตมโหฬารเกินคะเน

ยามเฉินซีเริ่มหนีไปกับกู่เยี่ยนและถูเมิ่ง ในที่สุดเขาก็สังเกตพบว่าสถานที่ลึกลับเกินหยั่งรู้นี้ แท้จริงไพศาลเหนือโลกกว้างที่เคยพบพานในอดีต ถึงขนาดมิอาจคาดวัด

เฉินซีทำได้เพียงใช้เวลาตัดสิน จากเวลาที่ใช้เหาะเหินบนท้องนภาพร่างพราวนี้ ผ่านดาราจักรมากมายทั้งน้อยใหญ่ ใช้เวลาทั้งสิ้นหนึ่งชั่วธูปมอด

ทว่าระยะห่างเช่นนี้ดูเหมือนเล็กจ้อยยิ่งนักในแดนรวนเรลืมเลือน

ราวที่แห่งนี้ไร้ท้องนภา และหมู่ดาวบนพื้นฟ้าล้วนเนืองแน่น เรืองประกายพริบพราวเสียดแทง

เหมือนเช่นขนาดของแดนรวนเรลืมเลือน ท้องนภาพร่างดาวก็กว้างขวางดูไร้จุดจบเช่นกัน

น่าเสียดายที่เฉินซีไม่มีเวลาพินิจสถานการณ์อย่างระวัง

เพราะระหว่างทางผ่านมาอันตรายอย่างยิ่ง ทุกหนแห่งล้วนปั่นป่วน

พายุคลั่ง ภูเขาไฟปะทุ มิติแหลกร้าวเป็นเสี่ยง หมอกสีเลือดคละคลุ้งเช่นควัน… ตลอดทางมานี้ เขาไม่เห็นสถานที่สงบเงียบอันปลอดภัยสักแห่ง

ถึงขนาดที่เฉินซีเห็นดวงดาวมากมายโรยลงจากฟ้า กระแทกลงสู่ดินอยู่บ่อยครั้ง ทิ้งร่องหลุมในบริเวณล้านลี้ไว้เบื้องหลัง แรงกระแทกน่าสะพรึงกลัวจากการปะทะทำให้หัวใจของเฉินซีสะท้านด้วยความกลัว

สรุปคือ ฟ้าดินและสรรพสิ่งที่นี่ล้วนอยู่ในสภาพปั่นป่วน อันตรายและภัยธรรมชาติสารพัดปรากฏขึ้นได้ทุกชั่วขณะ

ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของเฉินซี เขายังคงไร้ทางเลือกนอกจากระมัดระวังอย่างยิ่งเมื่อเผชิญสภาพแวดล้อมสุดแสนแปรปรวนตรงหน้า

เพราะยามหายนะที่นี่ดูไม่แตกต่างจากโลกภายนอก แต่ฤทธากลับมหาศาลเกินธรรมดา

พายุที่นี่ฉีกกระชากสังขารเทพเป็นเสี่ยงได้ง่าย ๆ

ศิลาหลอมแผดผลาญได้ทุกสรรพสิ่ง

รอยแตกมิติที่นี่เปลี่ยนทุกสิ่งเป็นผุยผงในพริบตา!

นอกจากทั้งหมดนี้ ยังมีหมอกพิษร้ายแรงกร่อนวิญญาณ ลำแสงหายนะหลอมแก่นแท้ วิญญาณและปราณสิ้นได้….

ถึงขนาดที่กระทั่งทุกหย่อมหญ้า พฤกษาทุกต้นล้วนสามารถกลายเป็นหายนะถึงตายต่อใครสักคนได้!

น่ากลัวเกินไปแล้ว

นับแต่เริ่มบ่มเพาะจนบัดนี้ เฉินซีได้เผชิญสถานที่อันตรายเกินนับแห่ง แต่พวกมันล้วนเหมือนเด็กน้อยยามเทียบกับแดนรวนเรลืมเลือนตรงหน้า

ในที่สุดเฉินซีก็เข้าใจ ว่าเหตุใดจึงไร้ผู้เหยียบย่างมาที่นี่แต่นานมา เพราะอันตรายที่นี่เพียงพอทำให้ผู้บ่มเพาะทั้งมวลมิกล้าเหยียบใกล้!

กระทั่งจ้าวเต๋าคุนเผิงยังตกตายที่นี่ มันเพียงพอแสดงแล้วว่าแดนรวนเรลืมเลือนน่ากลัวเพียงไร

บางทีอาจเพราะเหตุนี้เอง จึงไม่มีผู้ใดมาตั้งเอกภพที่นี่ และมิได้ควบรวมที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของแดนเทพโบราณตลอดมา

สรุปคือแดนรวนเรลืมเลือนบรรยายได้ว่าเก่าแก่ รกร้าง อันตราย และเกินคาดหยั่ง!

เนิ่นนานจากนั้น ในที่สุดเฉินซีก็หาที่หยุดพักได้เสียที

มันคือภูเขาหัวโล้นอันรกร้าง เป็นสีดำสนิท ตระหง่านสูงพันจั้งสู่เวหา ปกคลุมด้วยปราณอเวจีเบาบางทั้งลูก

แต่แม้ปราณอเวจีนี้จะร้ายกาจ ก็มิอาจทำร้ายเฉินซีได้

“ถูเมิ่ง เป็นเช่นไรบ้าง?” เฉินซีมิอาจสนใจบาดแผลตน เมื่อขาถึงพื้น เขาก็หันไปสนใจถูเมิ่งทันที

ขณะนี้ ถูเมิ่งถูกย้อมด้วยโลหิตแดงฉาน ที่อกทะลุเป็นรูเท่าชาม โลหิตยังคงรินหลั่ง เป็นภาพอันชวนสยดสยอง

ระหว่างทางตลอดมา ถูเมิ่งกัดฟันอดทนความเจ็บปวดทั่วกาย ทำให้สีหน้าซีดขาว ร่างสะบักสะบอม

แต่เมื่อได้ยินคำถามของเฉินซี เขาก็ยังเค้นรอยยิ้มมาตอบ “อาจารย์อา ข้าไม่เป็นไร ไม่ตายหรอกขอรับ อย่าห่วงข้าเลย”

เฉินซีขมวดคิ้ว ย้อนนึกถึงสิ่งที่พวกเขาประสบมา ทำให้เกือบยั้งเพลิงโทสะในใจไม่อยู่

“สารเลวสมควรตายพวกนั้น! ภายหน้าพบกัน ข้าจะให้พวกเขาต้องชดใช้ร้อยทบทวี!” เฉินซีข่มเขี้ยวเคี้ยวฟัน แค้นเข้ากระดูก เพราะกลุ่มของเขาต้องถูกคนเหล่านั้นลอบโจมตีทันทีที่มาถึงแดนรวนเรลืมเลือน หากเขาช่วยถูเมิ่งไม่ทันเวลา ถูเมิ่งก็คงตายไปแล้ว

เรื่องสำคัญที่สุดคือ ยามนี้เมื่อถูเมิ่งบาดเจ็บสาหัส ก็เท่ากับพวกเขาเสียสหายผู้แข็งแกร่งไปหนึ่งคน ซึ่งนี่มิใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขาเลย

“อาจารย์อาพูดถูก ยามนี้ไม่เหมือนการถกวิถีเต๋าแล้ว ผู้เฒ่าเหล่านั้นก็ไม่อยู่ พวกคนจากนิกายอำนาจเทวะและสำนักศักดิ์สิทธิ์จึงกล้าลอบโจมตีเราเช่นนี้ เราก็มิต้องระงับโทสะ หากเรากำจัดพวกเขาได้ก็ยิ่งดี!” ข้างกันนั้น กู่เยี่ยนพูดเสียงเย็นด้วยจิตสังหาร การลอบโจมตีเมื่อครู่ เขาก็ไม่ทันตั้งตัวเช่นกัน เมื่อหวนคิดถึงสภาพบาดเจ็บสาหัสของถูเมิ่ง เขาก็อดรู้สึกเคืองแค้นสุดขีดมิได้อย่างแท้จริง

“เราย่อมต้องล้างแค้น แต่เรื่องสำคัญยามนี้คือ เราต้องเอาตัวรอดในแดนรวนเรลืมเลือน มุ่งเป้าก่อตั้งเอกภพของเราให้เร็วที่สุดก่อน” เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ ฟื้นความเยือกเย็นกลับมา ก่อนจะพูดเร็วจี๋ “เพื่อเข้ามาในแดนรวนเรลืมเลือน เหลิ่งซิงหุนสะกดการบ่มเพาะของเขามาหมื่นกว่าปี ยามนี้เมื่อฆ่าเราไม่ได้ พวกเขาย่อมต้องเลือกสร้างเอกภพของตนโดยเร็วเพื่อบรรลุขอบเขตมหาราชเทวา”

เฉินซีนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวต่อ “หากเหตุเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ เราก็จะยิ่งเสียเปรียบ ดังนั้นเราต้องชิงบรรลุให้ได้ก่อนพวกเขา!”

กล่าวจบ เสียงทุ้มลึกก็เจือความเด็ดเดี่ยว

ปัจจุบัน เฉินซีตระหนักชัดแล้วว่า หากปรารถนาถือครองอำนาจเอกภพ ก็ต้องหาเอกภพให้เจอสักแห่งก่อน แล้วจึงเข้าสู่เอกภพเพื่อดูดซับแก่นแท้ของมัน

เมื่อทำเช่นนั้น ก็จะได้พลังเอกภพมา บรรลุสู่ขอบเขตมหาราชเทวาและเป็นจ้าวเอกภพอย่างแท้จริง!

ทว่าการทำเช่นนี้มิได้ง่าย

หลังจากเฉินซีและกู่เยี่ยนออกเดินทาง พวกเขาเคลื่อนย้ายมิติอยู่หลายชั่วยาม พินิจหมู่ดาวตลอดทาง แต่กลับมิอาจพบเอกภพแม้เพียงหนึ่ง

ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับความสามารถก่อเอกภพ

หนึ่งเอกภพอันก่อร่างได้นั้นมีปราณเต๋าสวรรค์เฉพาะตัวเป็นของมัน และสามารถแปรเปลี่ยนเป็นชั้นม่านดุจกำแพง

กำแพงนี้ครอบคลุมทั้งเอกภพ แยกพวกมันจากส่วนอื่นอันปั่นป่วนของท้องนภาพร่างพราวที่นี่

สรุปให้ง่ายกว่านั้นคือ กำแพงเป็นเหมือนเปลือกไข่ ปกป้องไข่แดงไข่ขาวภายใน

ขณะเดียวกัน เอกภพอันยังไม่ก่อตัวจะไร้กำแพงนี้ และการกระจายดวงดาวจะไม่เป็นระเบียบเช่นกัน

ควรค่ากล่าวถึงว่า คำว่า ‘เอกภพ’ สื่อถึงหนึ่งพื้นที่อันประกอบด้วยดาราจักรมากมาย และพลังเอกภพเป็นอำนาจจากแก่นแท้ของเอกภพ

เอกภพและพลังเอกภพ หนึ่งคือเขตแดน หนึ่งคือพลัง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ผ่านไปอีกสองชั่วยาม

หือ? ทันใดนั้น เฉินซีก็เหมือนสังเกตเห็นบางสิ่ง เขาพลันหยุดฝีเท้า สองลำแสงเย็นเยียบพุ่งออกจากนัยน์ตา เพ่งมองไปไกลในทันที

แทบจะพร้อมกันนั้น สุญตาแสนไกลพลันระเบิดเป็นเสี่ยง ก่อรอยแตกมิติซึ่งซากสังขารขนาดมหึมาอย่างยิ่งร่างหนึ่งลอยออกมาจากภายในอย่างรวดเร็ว

มันเป็นซากศพจริงแท้ ใหญ่โตมโหฬาร ปกคลุมด้วยชุดเกราะสำริดโบราณอันเสียหาย

มันลอยนิ่งกลางอากาศดุจซากแดนดินลอยเอื่อยด้วยความมโหฬารของมัน แม้ไร้เสี้ยวพลังชีวิตใด ๆ แต่ก็เผยปราณอันชวนให้ใจระทึก

เมื่อมองจากมุมของเฉินซี เขาก็เห็นได้เพียงสองฝ่าเท้าอันมโหฬาร ตั้งตระหง่านสู่ฟ้าเยี่ยงขุนเขาคู่

“นี่ดูเหมือนจะเป็นเทพอสูรโดยกำเนิดอันก่อเกิดจากความโกลาหล!” กู่เยี่ยนพูดอย่างตกใจ น้ำเสียงตกตะลึงไม่อยากเชื่อ “เขามาตายที่นี่ได้อย่างไร? กระทั่งซากสังขารยังไม่ถูกฝัง แน่นิ่งชั่วนิรันดร์อยู่โจ่งแจ้ง!?”

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]