บทที่ 1909 พลังทัณฑ์สวรรค์
………………..
บทที่ 1909 พลังทัณฑ์สวรรค์
ณ หนองน้ำสีแดงเลือดแห่งหนึ่ง ฟ้าดินที่นี่หม่นหมอง ปกคลุมด้วยหมอกอเวจี บรรยากาศวังเวงเงียบสนิททั่วทิศให้บรรยากาศสยดสยองพองขน
เปรี้ยง!
ทันใดนั้น ร่างโชกเลือดร่างหนึ่งก็ร่วงกระแทกเช่นอุกกาบาตจากฟากฟ้าสู่หนองน้ำ สาดโคลนสีเลือดเป็นม่านหนาไปทั่วทิศ
ฟ่าว!
ทันทีที่มันร่วงลงมา เขาก็ลุกขึ้นยืน ดวงตาแดงฉานกวาดมองทั่วทิศ หลังจากนั้น มันก็ผ่อนคลายลงเมื่อสังเกตว่ารอบข้างไร้อันตราย
เขาเริ่มหอบหายใจ
เป็นที่ชัดเจนว่าอาภรณ์ถูกโลหิตย้อมแดง ใบหน้าซีดขาวไร้สี ดวงตาแดงฉานเช่นโลหิต อกสะดุดตาที่สุด ด้วยมีแผลฟันลึกถึงกระดูกปรากฏชวนผวา
คนผู้นั้นก็คือหวังจงซึ่งรอดตายมาได้
ทว่าขณะนี้ เขาดูสภาพสะบักสะบอมยิ่งนัก บาดเจ็บสาหัส ปราณรวนเร ทั่วร่างปกคลุมด้วยโคลนสีเลือด เมื่อมองจากไกล ๆ เขาก็ดูประหนึ่งมนุษย์โคลนสีเลือด
“แค้นนัก! ผู้ช่วงชิงสมควรตาย! ข้าคืนร่างจริงได้ยามใด มันจะเป็นเวลาตายของเจ้า!” หวังจงกัดฟันกรอด เผยสีหน้าบิดเบี้ยวดุร้ายเปี่ยมความเคียดแค้นอาฆาต
เขาเดือดดาลอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้ชีวิตของเขาเจียนปลิดปลิว ยามนี้เมื่อรอดมาได้ ย้อนนึกถึงทุกสิ่งที่ประสบมา แค้นเฉินซีเข้ากระดูกดำ
เพียงครู่ต่อมา หวังจงก็หยุดหอบหายใจ สีหน้าค่อย ๆ คืนสู่ปกติ เขาก้มลงมองแผลบนหน้าอก ตระหนักชัดเจนว่าการฟื้นบาดแผลในเวลาอันสั้นนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
“หากข้าหาร่างจริงของข้าได้ มีหรือจะอยู่ในสภาพตกต่ำน่าสมเพชเช่นนี้?” หวังจงเหมือนคิดถึงบางสิ่ง รำพึงพูดขณะที่ดวงตาเจือประกายหวนคำนึง
เขามิได้กลับมาที่นี่นานแสนนาน ตลอดกาลผ่านมา เขาต้องผละจากที่นี่เพื่อกระทำภารกิจของตนในแดนเทพโบราณ จึงไร้ทางเลือกนอกจากต้องทิ้งร่างจริงของตนไว้
เหตุผลนั้นก็เพราะระหว่างแดนเทพโบราณและแดนรวนเรลืมเลือนถูกกั้นจากกันด้วยกำแพงธรรมชาติ ซึ่งก็คือพลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋า!
การเข้าออกที่นี่ยากเย็นพอ ๆ กับทะยานสู่สวรรค์
เหมือนเช่นยามเข้าสู่แดนรวนเรลืมเลือน มีเพียงการร่วมมือระหว่างห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิเท่านั้นที่สามารถสร้างทางเชื่อมสู่แดนรวนเรลืมเลือนได้
กาลก่อนยามหวังจงออกจากแดนรวนเรลืมเลือน เขาก็ใช้เคล็ดวิชาถอดร่างเพื่อเข้าสู่แดนเทพโบราณ
ทว่ายามนี้เมื่อหวนกลับมา เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าแดนรวนเรลืมเลือนแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง มิใช่โลกหล้าที่ตนเคยคุ้น
สรรพสิ่งแปรเปลี่ยนตามเวลา
นี่คือแดนรวนเรลืมเลือน แปรเปลี่ยนรวนเรไม่อยู่นิ่ง จึงไม่มีทางเลยที่จะพบร่องรอยทิวทัศน์อันคุ้นเคยจากแสนนาน
“สุดท้าย สิ่งใดผิดถูกมิอาจหยั่ง ตัวตนเช่นข้าเกิดมารับใช้ เป็นตายไร้ผู้เห็นค่า ช่างประชดประชันกันจริงแท้…” หวังจงรำพึงเบา ๆ เต็มไปด้วยความจนใจระคนไม่ยินยอม
แต่พริบตาต่อมา หวังจงก็หยุดคิดเรื่องทั้งหมดนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว แต่เขาแน่ใจว่าร่างจริงยังคงอยู่ในแดนรวนเรลืมเลือน!
ฟ่าว!
ทันใดนั้น เสียงแหวกอากาศก็ดังมาจากภายในหมอกอเวจีอันปกคลุมหนองน้ำสีเลือดนี้ สะท้านสะเทือนไปทั่วทิศ
สีหน้าของหวังจงเปลี่ยนไปทันที เขาเงยหน้ามองตาม และพบวิหคใหญ่สีเลือดตัวหนึ่งทะยานเวหาพุ่งมาจากไกล ๆ
ดวงตาวิหคใหญ่ตัวนี้แดงดุจเลือด จะงอยปากคมแหลมคมเช่นตะขอ ปีกกางกว้างถึงสิบจั้ง ทั่วร่างเรืองรัศมีแดงฉาน กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งรุนแรง
จากปราณลำพังก็มิได้ด้อยไปกว่ามหาราชเทวา!
วิหคหลวนแก่นโลหิต?
ทว่ายามเห็นรูปลักษณ์วิหคตัวนี้ถนัดตา รอยยิ้มพิกลก็ปรากฏที่มุมปากของหวังจง
สัจดาราตัวหมัว…. พริบตาต่อมา ปากของเขาก็ระเบิดคลื่นเสียงประหลาดเกินเข้าใจ แตกต่างจากภาษาใดที่ใช้กันในแดนเทพโบราณ แต่ก็เผยน้ำเสียงอันยิ่งใหญ่เคร่งขรึม
ขณะนี้สีหน้าของหวังจงหยิ่งผยองอหังการเช่นราชาเหนือวิหคสีเลือดอันโผนทะยานมาไกล ๆ
แกว๊ก!
ร่างวิหคสะท้าน ดวงตาสีเลือดเจือเค้าตกตะลึง มันชะงักกลางอากาศ แล้วสะกดปราณอเวจีทั่วร่างไป
สีหน้าของหวังจงยิ่งทวีราศียามเห็นเช่นนี้ เขาพูดด้วยภาษาอันคลุมเครือกังวานรัวเร็วขึ้น เหมือนกำลังออกคำสั่งบางอย่าง
เพียงครู่ต่อมา มันก็เผยเค้ายำเกรง ราวจำนนต่อฤทธา
หวังจงเห็นเช่นนี้ก็แย้มยิ้ม พึมพำออกมาว่า “ยังดีที่พวกโง่เหล่านี้ยังไม่ลืมสัญญาเมื่อกาลก่อน”
ว่าแล้ว ร่างของเขาก็ไหววูบไปปรากฏบนหลังวิหคสีเลือด ชี้ไปไกลกลางเอ่ยปากเสียงเบา
วูบ!
อึดใจต่อมา ปีกวิหคก็พัดกระพือ พาร่างของหวังจงแหวกเวหาหายไปด้วยกัน
เฉินซี เจ้ารอก่อนเถอะ! หวังจงยิ้มเย็นในใจ
ปฏิกิริยาของพวกเขาทำให้เฉินซีเลิกคิ้ว ก่อนจะประจักษ์แจ้งเฉียบพลันว่าการที่เขาสังเกตเห็นมัน เป็นเพราะอักขระผนึกเต๋าในดวงวิญญาณตน
ขณะเดียวกัน หากเขาพึ่งพาเพียงสัมผัสลำพัง ก็คงไม่อาจสัมผัสการมีอยู่ของอำนาจลึกลับนั่นได้เลย
วูบ!
ฟ่าว!
พริบตาต่อมา ภายใต้สายตาประหลาดใจของจ้าวชิงเหยาและกู่เยี่ยน ปราณกระบี่สายนั้นไม่ทันได้เข้าใกล้ดวงแสงนั่น มันก็เหมือนตกอยู่ในหล่มไร้ลักษณ์ บังเกิดคลื่นกระเพื่อมสะท้านวง แล้วหายไป
ขณะนี้ในที่สุดพวกเขาก็เห็นชัดเจนว่า ที่แท้ก็มีอำนาจลึกลับล่องหนอย่างหนึ่งปกคลุมหมู่ดารารายล้อมดวงแสงโกลาหลนั้นอยู่จริง ๆ
อำนาจนี้ไม่อาจมองเห็น ไร้สีไร้ลักษณ์ แต่กลับมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ลึกลับอย่างยิ่ง!
นอกจากนั้น เมื่อสังเกตเห็นมัน สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยน หัวใจถูกความหนาวเย็นเกาะกุมอย่างเกินคุมได้
รู้สึกราวหากพวกเขาเฉียดใกล้ แตะถูกอำนาจลึกลับไร้ลักษณ์นั้นเข้า พวกเขาจะตกตายลงทันที!
“นั่นมันพลังอะไรน่ะ?” ทั้งสองกล่าวขึ้นพร้อมกัน
เฉินซีเองก็ขมวดคิ้ว เหมือนมีคำตอบในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมาอย่างชัดเจน
“มันคือพลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋า!” ขณะนั้นเอง อาเหลียงซึ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยปาก “ไร้ลักษณ์ไร้สี ไม่มีทั้งปราณและรัศมี แปรทัณฑ์เป็นข้อจำกัด ข้อจำกัดนี้ผลาญเต๋าได้! สมคำอธิบายในข่าวลือเกี่ยวกับพลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋าจริง ๆ!”
อาเหลียงนิ่งไปครู่หนึ่ง จึงพูดต่อ “ท่านยายเคยบอกว่า จ้าวเต๋าคุนเผิงถูกพลังทัณฑ์สวรรค์นี้แทรกโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นแม้เขาจะหนีจากแดนรวนเรลืมเลือนได้ เขาก็ยังไม่อาจสลายอำนาจนี้จนตกตาย”
พลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋า! ยามได้คำตอบ ดวงตาของเฉินซีก็หรี่ลงอย่างอดมิได้ กล่าวกับตนเองว่ากะแล้ว! ขณะนี้จ้าวชิงเหยาพรั่นพรึงสุดขีด นางตระหนักดีว่าหากเฉินซีไม่หยุดนางไว้ นางในยามนี้คงเผชิญหายนะไปแล้ว!
“ใครเล่าจะคาดคิดว่าแก่นแท้ของเอกภพนี้จะถูกปกคลุมโดยพลังทัณฑ์สวรรค์…. ยากเย็นแปรสภาพดูดซับมันแล้วคราวนี้” กู่เยี่ยนขมวดคิ้วคิดหนัก
มิเพียงยาก แต่ยังอันตรายถึงที่สุดด้วย!
กระทั่งตัวตนอย่างจ้าวเต๋าคุนเผิงยังตกตายเพราะถูกมันปนเปื้อน จึงเป็นที่ชัดเจนว่าอำนาจลึกลับนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงไร
ขณะเดียวกัน เฉินซีและคณะเป็นเพียงบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ต้อยต่ำห่างไกลจากตัวตนอย่างจ้าวเต๋าคุนเผิงมากนัก ด้วยเหตุนี้ จะมีผู้ใดกล้าพูดเรื่องแปรสภาพดูดซับแก่นแท้เอกภพนั่นอีก?
“เราควรทำเช่นไร?” พริบตานั้น จ้าวชิงเหยาทำตัวไม่ถูก สับสนเป็นอย่างยิ่ง
โอกาสยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้า ใกล้เพียงเอื้อมมือ ทว่าตรงหน้านี้ก็มีอันตรายเกินธรรมดาตระหง่านขวาง ทรมานใจกันยิ่งนัก
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...