เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1911

บทที่ 1911 ต้นตอของหายนะ

………………..

บทที่ 1911 ต้นตอของหายนะ

มีกี่เอกภพที่ก่อตัวขึ้นภายในแดนรวนเรลืมเลือน?

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้คำตอบนั้น

เฉินซีไม่สามารถระบุได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เขาทราบดีว่า หากไม่เริ่มค้นหา แม้ว่าจะมีเอกภพที่ก่อตัวขึ้นที่นี่นับร้อยนับพัน ก็ไม่มีทางหาพวกมันพบ

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีขมวดคิ้วมุ่น เพราะหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน นับตั้งแต่แยกทางกับจ้าวชิงเหยา พวกเขาก็ไม่พบเอกภพใดเลย

โชคดูไม่ค่อยดีนัก

หากเป็นเช่นนั้น เฉินซีก็คงไม่กังวลมากนัก แต่สิ่งที่ทำให้เขากังวลจริง ๆ คือเมื่อเคลื่อนตัวลึกเข้าไปในแดนรวนเรลืมเลือน ภัยร้ายที่ประสบกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ!

ไม่ใช่แค่ภัยพิบัติทางธรรมชาติเท่านั้น พวกเขายังพบสิ่งมีชีวิตพิสดารและแปลกประหลาดมากมายตลอดทาง ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของพวกมันยังน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ไม่ด้อยกว่าจักรพรรดิเลย!

ถ้าไม่ใช่เพราะกลองตะบันเทพและไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งการเผาผลาญของอาเหลียง เฉินซีก็สงสัยว่าพวกเขาจะสามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้หรือไม่

เช่นเดียวกับช่วงเวลานี้ พวกเขาถูกขังอยู่ในหมอกสีเทา ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดรอบกายได้

หมอกนั้นเต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งสามารถกัดกร่อนจิตวิญญาณและทำให้ดวงจิตแห่งเต๋าเสื่อมโทรม ผลที่ตามมาสถานเบาอาจจะทำปราณหักเห หรือสถานหนักคือถึงขั้นตกตาย

ในขณะที่ติดอยู่ภายในหมอกนี้ ประสาทสัมผัสของพวกเขาสามารถแผ่ออกไปได้เพียงหนึ่งลี้ครึ่งรอบตัว และถือว่าเป็นระยะห่างที่คุกคามอย่างยิ่งต่อบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล

โชคดีที่เฉินซีครอบครองอักขระผนึกเต๋า ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ มิฉะนั้นก็คงหลงทางในหมอกอันไร้ขอบเขตนี้ไปชั่วกาล

ไม่ใช่แค่นั้น สิ่งมีชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวมากมายหลบซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอกนี้ และส่วนใหญ่แม้แต่อาเหลียงก็ไม่สามารถระบุชื่อได้

พวกมันซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่ราวกับมือสังหารที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด และความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ใครก็ตามต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่

ตลอดทาง กลุ่มของเฉินซีเผชิญกับการซุ่มโจมตีถึงเจ็ดครั้ง ทุกครั้ง พวกเขาแทบจะไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้เลย

สิ่งนี้ทำให้กลุ่มของเฉินซีไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเคลื่อนตัวช้า ๆ ด้วยความระมัดระวัง

ทว่าหลังจากประสบกับการซุ่มโจมตีมากมาย เต๋ากระบี่ของเฉินซีก็ได้รับการขัดเกลาจนใกล้จะบรรลุขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ขั้นที่สี่ แม้ว่ามันจะช้ามาก แต่ก็ยังเกิดความเปลี่ยนแปลงในท้ายที่สุด ดังนั้นจึงอาจกล่าวว่าเขาได้รับประโยชน์จากความโชคร้ายนี้

กู่เยี่ยนก็เช่นกัน

แม้แต่พลังยุทธ์ของอาเหลียงก็ได้รับการขัดเกลาและพัฒนาผ่านการต่อสู้เหล่านี้

ทั้งหมดนี้เกิดจากสถานการณ์จวนตัวทั้งสิ้น

ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากเท่าไร ศักยภาพก็จะยิ่งถูกค้นพบมากขึ้นเท่านั้น การต่อสู้แต่ละครั้งเป็นเหมือนการขัดเกลาพลังฝีมือที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่รู้ตัว

ในเวลาเดียวกัน การขัดเกลาพลังฝีมือเช่นนี้ ทำให้ความร่วมมือระหว่างพวกทั้งสามได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว ก็สามารถร่วมมือกันได้อย่างไร้ที่ติ

กลุ่มของเฉินซีก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดหย่อนท่ามกลางหมอกหนาทึบ

เพื่อป้องกันพลังงานกัดกร่อน พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องโคจรการบ่มเพาะอย่างเต็มที่เพื่อสลายมันออกไป

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่อาจปกปิดกลิ่นอายของตน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ขณะที่พวกเขาเคลื่อนตัวผ่านทะเลหมอกนี้ เฉินซีและคนอื่น ๆ ก็เหมือนกับหิ่งห้อยใต้ราตรี ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ

ทำให้ง่ายต่อการถูกลอบทำร้ายจากสิ่งมีชีวิตอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ที่นี่

ทว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น เฉินซีและคนอื่น ๆ จึงต้องปรับตัวให้คุ้นเคยโดยเร็ว

ฟิ่ว!

ทันใดนั้น เงาสีแดงเลือดก็พุ่งออกมาราวสายฟ้าฟาด ทะลวงผ่านอากาศพุ่งเข้าใส่เฉินซีซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มอย่างแรง!

โครม!

เฉินซีตวัดยันต์ศัสตราโดยสัญชาตญาณ ต้านการโจมตีนี้ได้ทันท่วงที แต่แรงปะทะก็หนักหน่วงจนทำให้เขาสั่นสะเทือนเซกลับไปหลายก้าว

เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าความแข็งแกร่งของเงาสีแดงเลือดนั้นน่ากลัวเพียงใด

ฟิ่ว!

ในเวลาเดียวกันนี้ กู่เยี่ยนก็เปิดฉากโจมตีจากด้านข้าง พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับใช้กระบี่จนถึงขีดจำกัด

ตึม!

ที่มาพร้อมกับการโจมตีนี้คือเสียงกลองดังก้องดุจฟ้าคำราม มันคือกลองตะบันเทพของอาเหลียง

ทว่าเห็นได้ชัดว่าร่างสีแดงเลือดกำลังจะชนกับกู่เยี่ยน แต่เมื่อกลองตะบันเทพลั่นเสียงดังก้อง ร่างกายของมันก็แข็งทื่อ การเคลื่อนไหวชะงักเสียจังหวะ

พรวด!

กู่เยี่ยนคว้าโอกาสนี้ ฟันร่างสีแดงเลือดอย่างรุนแรง ทำให้เลือดเหม็นสาบกระฉูดขึ้นฟ้า

โฮก!

ร่างสีแดงเลือดคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว มันเดือดดาล โถมการโจมตีด้วยความตั้งใจที่จะฆ่ากู่เยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างหน้ามัน

ในที่สุด กลุ่มของเฉินซีก็หลุดพ้นจากพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอก และมาถึงพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยภูเขาทอดยาวสูงต่ำ

ในขณะนี้ ทั้งสามคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เส้นทางที่นี่อันตรายอย่างยิ่ง ไม่เพียงประสาทสัมผัสถูกจำกัดเท่านั้น แต่ยังต้องระวังการซุ่มโจมตีตลอดเวลา มันไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม หลังจากประสบกับการขัดเกลาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเฉินซี กู่เยี่ยน หรืออาเหลียง พลังยุทธ์ของทุกคนก็เพิ่มขึ้นสูงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาเหลียง นางแสดงสัญญาณของการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลขั้นกลางเลือนราง!

ความเร็วของการบ่มเพาะดังกล่าว ทำให้เฉินซีตกใจไม่น้อย

“เราไปหาสถานที่เพื่อ….” เฉินซีตั้งใจที่จะพักผ่อนและพักฟื้นก่อนออกเดินทางต่อ

ทว่าก่อนจะกล่าวจบ กู่เยี่ยนก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวในระยะไกล และกล่าวด้วยความตื่นเต้น “อาจารย์อา รีบดูนั้นสิ! ตรงนั้นมันมีม่านพลังคุ้มกัน!”

หืม?

หัวใจของเฉินซีสั่นไหว และจ้องมองไปยังทิศทางนั้น แน่นอนว่าเขาสังเกตเห็นด้วยความประหลาดใจว่าที่นั่นมีเอกภพก่อตัวขึ้น!

“ผ่านไปหลายวัน ในที่สุดเราก็พบมันแล้ว!” กู่เยี่ยนกล่าวด้วยความตื่นเต้น ความยินดีฉายชัดอยู่ในแววตา พวกเขาเผชิญกับอันตรายมากมาย แต่กลับไม่พบเอกภพที่ก่อตัวขึ้นใด ๆ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกวิตกกังวลในใจ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงดูตื่นเต้นมากเมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้

“เอาละ ไปดูกันเถอะ!” เฉินซีไม่ลังเลที่จะพากู่เยี่ยนไปยังที่แห่งนั้น

มันเป็นเอกภพที่ก่อตัวขึ้นจริง ๆ จักรวาลและดวงดาวภายในนั้นถูกปกคลุมไปด้วยม่านพลังที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทำให้ทุกสิ่งภายในนั้นอยู่ในสภาพที่มั่นคงและเป็นระเบียบ

สิ่งที่ทำให้เฉินซีรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งก็คือ ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลย

หลังจากใช้เวลาอีกสามชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบแก่นแท้ของเอกภพนี้!

พลังงานแก่นสารที่ดูเหมือนดวงแสงแห่งความโกลาหลนั้นเต็มไปด้วยรัศมีแห่งความโกลาหลหนาแน่น ดวงดาวพร่างพราวเรียงรายอยู่รอบ ๆ ส่งให้ดูศักดิ์สิทธิ์และงดงาม

“อาจารย์อา รีบลงมือเร็วเข้า โชคลาภนี้ได้มาอย่างยากลำบาก ดังนั้นท่านต้องคว้าโอกาสนี้ไว้!” กู่เยี่ยนหายใจเข้าลึก และกระตุ้นให้เฉินซีลงมือ

“ไม่” เฉินซีส่ายหัว “ให้ถูเมิ่งเถอะ เขาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นบางทีเขาสามารถพึ่งพาโอกาสนี้เพื่อก้าวหน้าในรวดเดียว”

กู่เยี่ยนตกตะลึง เขาคิดโน้มน้าวเฉินซี แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือตัดบทอย่างหนักแน่น “ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป เมื่อค้นพบแก่นสารของเอกภพในครั้งต่อไป เจ้าจะเป็นผู้สกัดและดูดซับมัน”

“อาจารย์อา….” กู่เยี่ยนรู้สึกซาบซึ้งใจจนสุดจะพรรณนา

“เลิกไร้สาระ คุ้มกันข้า” เฉินซียิ้ม เขากำลังจะเรียกถูเมิ่ง บอกทุกอย่างและให้ถูเมิ่งเตรียมตัวให้พร้อม

ทว่าเฉินซีกลับสังเกตเห็นบางสิ่ง รอยยิ้มที่มุมปากพลันชะงักค้าง การเคลื่อนไหวนิ่งงัน

กู่เยี่ยนฉงน “อาจารย์อา มีอะไรผิดปกติหรือ?”

“อย่าส่งเสียงดัง… มีคนกำลังมา!” สีหน้าของเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่สั่งผ่านกระแสปราณให้กู่เยี่ยนและอาเหลียงเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]