เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1918

บทที่ 1918 เงามืดบนฟ้าประกายดาว

………………..

บทที่ 1918 เงามืดบนฟ้าประกายดาว

ในวันที่เจ็ดที่เขาเข้ามาในเอกภพลึกลับ เฉินซีก็พบกับสิ่งมีชีวิตสักที!

มันเป็นปักษาวายุทมิฬบริสุทธิ์ที่มีปีกกว้างกินพื้นที่หกสิบลี้ มีนัยน์ตาสีดำคู่หนึ่ง ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยเพลิงทมิฬศักดิ์สิทธิ์อันน่าเกรงขาม ปลดปล่อยกลิ่นอายชั่วร้ายออกมา

ไม่ว่ามันจะผ่านไปทางไหน เปลวเพลิงก็ลุกโชติช่วง ดวงดาวทั้งหลายถูกหลอมละลายจนไม่เหลือสิ่งใด ดูเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากจะทำให้เขาถอนหายใจโล่งอกได้แล้ว สีหน้าเฉินซียังดูเคร่งขรึมเป็นอย่างยิ่ง

ที่ถอนหายใจก็เพราะในที่สุดก็เจอสิ่งมีชีวิตสักที หมายความว่าเอกภพนี้ไม่ใช่ที่รกร้างว่างเปล่า

แต่ที่ตกใจเป็นเพราะปักษาวายุทมิฬดูประหลาด และดูมีความสามารถสูงส่ง กลิ่นอายเยือกเย็นดุดัน เหมือนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเลย

ถึงขั้นที่หากนับกันแค่กลิ่นอายของมันแล้ว ปักษาวายุทมิฬเหล่านี้ก็แกร่งกว่าสองซากร่างเทพอสูรที่เขาเคยประมือมาตอนเพิ่งเข้าแดนรวนเรลืมเลือนมาได้ไม่นานเลยทีเดียว

สิ่งที่เฉินซีรู้สึกเหลือเชื่อที่สุดคือปักษาวายุนี่ไม่เกรงกลัวพลังทัณฑ์สวรรค์ที่ปกคลุมผืนท้องฟ้านี้เลย มันกลับสยายปีกบินไปยังอิสระเหมือนปลาในน้ำ!

แม้ในใจจะตกตะลึง แต่เฉินซีก็ยังหยิบยันต์ศัสตรา และเตรียมตัวเข้าต่อสู้

แกว้ก!

เสียงร้องแสบแก้วหูดังก้อง จากนั้นปักษาวายุทมิฬก็บินผ่านฟ้าพุ่งเข้ามาหาพร้อมกับเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชติช่วงอยู่ทั่วร่าง กลิ่นอายดุดันยิ่งพุ่งสูงขึ้น

ตู้ม!

มันสะบัดปีกเพียงเล็กน้อย ก็เกิดพายุเพลิงทมิฬซัดออกมาจนทั่วทุกสารทิศเต็มไปด้วยเพลิง พร้อมกับการโจมตีที่ซัดเข้าใส่เฉินซี

มันน่ากลัวอย่างยิ่ง แค่การโจมตีของมันเพียงอย่างเดียวก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าจักรพรรดิสามดาราแล้ว สามารถเผาให้วอดได้ทั้งโลกาก็มิปาน!

ฟึบ!

ร่างเฉินซีแวบหายไป เขาใช้วิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง ทำให้ร่างคล้ายกับเป็นสายฟ้าสีม่วงเหลือบทอง โคจรพลังจนถึงขีดสุด แล้วหลบไปด้านข้าง

ตู้ม!

น่ากลัวยิ่ง!

เฉินซีตกตะลึง ทำให้เขายิ่งระมัดระวังมากกว่าเดิม

เมื่อโจมตีพลาด ปักษาวายุทมิฬก็กรีดร้องเสียงยาว กลิ่นอายดุดันยิ่งดุร้ายยิ่งขึ้น พร้อมกับเปล่งเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมา

เพลิงศักดิ์สิทธิ์มีแรงแผดเผาสูงส่ง ดุดันรุนแรง พัดพาเอากลิ่นอายความตายมาด้วย

ตึง!

จังหวะนั้นก็ได้ยินเสียงกลองดังสนั่นขึ้น มันดังก้องไปทั่วบริเวณ ส่งกระแสเสียงที่มองไม่เห็นกวาดออกไปรอบข้าง

กลองตะบันเทพ!

อาเหลียงลงมือแล้ว!

ทันใดนั้น เฉินซีก็เห็นว่าร่างปักษาวายุชะงักค้างไปกลางอากาศเหมือนกับถูกกระชากวิญญาณ

ฟึบ!

เฉินซีจึงฉวยจังหวะนี้ซัดปราณกระบี่ออกไป มันสำแดงออกมาเป็นสีม่วงเหลือบทอง มีพลานุภาพสูงส่งดังมหาราชัน

ปักษาวายุทมิฬที่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศไม่ได้หลบ ศีรษะจึงถูกสะบั้นด้วยปราณกระบี่สายนี้ เกิดรอยแยกมิติขึ้นบนร่างของมัน

ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!

จากนั้น อสูรตัวสีแดงประหลาดจำนวนมาก ขนาดเท่าคนแคระ มีหนวดแปดหนวด ก็พุ่งออกมาจากหัวของปักษาวายุ รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ปลดปล่อยกลิ่นอายดุร้ายออกมา

เป็นสัตว์ประหลาดจริง ๆ ด้วย!

ตอนนี้ เฉินซีมั่นใจแล้วว่าอสูรประหลาดพวกนี้ก็เหมือนต่อรากษสโลหิต เป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในแดนรวนเรลืมเลือน

ตึง! ตึง! ตึง! ตึง!

กลองตะบันเทพยังคงดังขึ้นไม่ขาดสาย คลื่นเสียงพัดพาเอาอักขระยันต์ลึกลับกวาดออกมาดั่งคลื่นน้ำ

พริบตานั้น ก็คล้ายกับว่าห้วงนภาสั่นสะท้านไปพร้อมกับท่วงทำนองกลอง!

เมื่อเป็นเช่นนี้ อสูรประหลาดที่ออกมาจากร่างปักษาวายุก็ร่างแข็งค้าง ชะงักอยู่กลางอากาศประหนึ่งหุ่นเชิด

“เผา!” อาเหลียงใช้ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งการเผาผลาญปล่อยเพลิงขาวศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ออกมาโอบล้อมร่างของปักษาวายุทมิฬและพื้นที่โดยรอบเอาไว้

ครืน!

ทันใดนั้น ปักษาวายุทมิฬก็ร่างติดเพลิง แต่เฉินซีกับอาเหลียงก็ต้องตกใจเมื่ออสูรแคระกลับไม่ไหม้ไปกับเพลิงที่โอบร่างพวกมันไว้!

ถึงขั้นที่พริบตาเดียวพวกมันก็ได้สติ ส่งเสียงหึ่งออกมา หนีพ้นจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไปได้ และพุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างบ้าคลั่ง!

“แย่แล้ว เจ้านี่แกร่งเกินไป ขนาดอำนาจไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งการเผาผลาญยังต้านไม่อยู่เลย!” สีหน้าอาเหลียงพลันเปลี่ยนผัน นับตั้งแต่เข้าแดนรวนเรลืมเลือนมา พวกนางก็เจอสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดมามากมายหลายอย่าง

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นอะไรแบบนี้

“ให้ข้าจัดการเอง!”

เคร้ง!

ยันต์ศัสตราส่งเสียงร้องออกมา ร่างเฉินซีก็พุ่งออกไปแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นเทพอสูรที่เจอก่อนหน้านี้ หรือปักษาวายุทมิฬที่เพิ่งประมือกันไป พวกมันล้วนเป็นเหยื่อของพวกนอกรีตเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว

กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของพวกมันถูกชิง ทั้งพลัง แก่นแท้ และจิตวิญญาณล้วนถูกกลืนกิน กลายเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจย้อนคืนได้

ทว่าต่อรากษสโลหิตและพวกอสูรประหลาดที่เฉินซีเพิ่งสังหารไปสามารถเรียกว่าสัตว์อสูรจ้าววิญญาณได้!

พวกนอกรีตที่รอดจากยุคก่อนชุบเลี้ยงมันมา แกร่งขึ้นได้ผ่านการดูดกลืนแก่นแท้ พลัง และวิญญาณของผู้บ่มเพาะ

ถึงขั้นที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในซากสังขาร ควบคุมร่าง และดึงเอาพลังต่อสู้ของร่างนั้นออกมาได้!

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว สีหน้าเฉินซีพลันเคร่งขรึม ทั้งยังมีจิตสังหารเจืออยู่ด้วย

หากเดาไม่ผิด เจ้าของร่างพวกนั้นก็เป็นคนที่เข้าแดนเทพโบราณมาเหมือนข้าน่ะสิ?

ไม่แน่ว่าพวกเขาล้วนเคยเป็นยอดฝีมือทรงอำนาจกันมาก่อน แต่พอตายไปกลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ถูกสัตว์อสูรจ้าววิญญาณของพวกนอกรีตคุมร่างไว้เช่นนี้….

พริบตานั้น เฉินซีก็เข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิเหยียนปิงถึงได้คลี่ยิ้มสงบยามสิ้นใจ

ตอนนี้ในใจเฉินซีจึงเกิดแววความโศกเศร้าไหลออกมา ทำให้รู้สึกหายใจไม่ออก

ตอนนี้ ซากปักษาวายุทมิฬถูกเผาเป็นจุณไปแล้ว พลันได้ยินเสียงแว่วดังขึ้นมา “ขอบใจมากสหายเต๋า!”

ตอนนี้ ในใจเฉินซีพลันเกิดจิตสังหารอันไม่อาจยับยั้งได้ขึ้นมา

สิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทย่อมมีวิธีการคิดที่แตกต่างกัน

ยิ่งเป็นพวกนอกรีตที่รอดจากยุคก่อนมาด้วย! เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ได้มองผู้บ่มเพาะในยุคนี้เป็นคนที่มีชีวิตเหมือนพวกมัน!

“คุณชายเป็นอะไรหรือ?” อาเหลียงพลันเอ่ยถาม พลางมองเฉินซีด้วยสายตาเป็นห่วงเล็กน้อย

เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนเอ่ย “ข้าไม่เป็นไร เพียงแต่คิดว่าในสายตาพวกนอกรีตแล้ว มันไม่ได้มองเราเทียบเท่ากันสัตว์อสูรจ้าววิญญาณเลย”

อาเหลียงเม้มปาก นางเองก็โกรธเช่นกัน แต่จังหวะที่คิดจะพูดบางอย่าง นางก็เหมือนเห็นอะไรบางสิ่ง สายตากระจ่างจ้องท้องนภาไกลลิบ พร้อมเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “คุณชาย ดูนั่นสิ!”

เฉินซีเลิกคิ้วขึ้นมอง พลันเห็นเงาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ณ ที่ไกลบนท้องฟ้าดาราพราว

เงามืดนั้นเหมือนม่านคลุมนภา มืดครึ้ม กว้างใหญ่ ดูลึกลับอย่างยิ่ง

“ไปดูกันเถอะ” เฉินซีแวบร่างหายไปตรงฟ้ากว้างที่ถูกปกคลุมด้วยเงามืดนั้น

ตู้ม!

กะพริบตาเดียว เฉินซียังไม่ทันไปถึง พลังทัณฑ์สวรรค์ที่ปกคลุมพื้นที่ตรงนั้นก็พลันรุนแรงขึ้น

หากพลังทัณฑ์สวรรค์ที่เขาเคยเจอก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าเป็นคลื่นน้ำ เช่นนั้นพลังตรงหน้าก็เหมือนลมพายุ ลั่นครืนออกมาอย่างน่าหวาดกลัว!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]