บทที่ 1920 โอกาสยิ่งใหญ่เกินหนใด
………………..
บทที่ 1920 โอกาสยิ่งใหญ่เกินหนใด
เขาเจียนบรรลุขอบเขตแล้ว!
เฉินซีสังเกตเห็นชัดเจนว่าพลังชีวิตของตนสมบูรณ์แบบเกินครั้งใดในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ถึงขนาดที่มันกระสับกระส่ายเล็กน้อย คลับคล้ายจะหลุดการควบคุม
นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าเขากำลังจะบรรลุสู่ขอบเขตมหาราชเทวา
ยิ่งกว่านั้น กระทั่งการบ่มเพาะเต๋าแห่งกระบี่ยังเฉียดใกล้บรรลุขั้นสี่ขอบขอบเขตจักรพรรดิกระบี่เต็มที!
ขณะเดียวกัน การบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากเฉินซีอนุมานไม่ผิด การบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าของเขาจะพัฒนาสู่ขั้นสี่ของสัจหฤทัยสูตรเมื่อเขาบรรลุเป็นจ้าวเอกภพ
นี่คือผลประโยชน์อันเกิดจากการทำศึกจริง
นับแต่ก้าวสู่ขั้นสูงของขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล เฉินซีก็บ่มเพาะและตกตะกอนความคิดอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งย่อมบรรลุสู่ความสมบูรณ์แบบ
หลังจากนั้น ขณะที่เข้าร่วมการถกวิถีเต๋า เขาก็ไม่อาจเผยอำนาจต่อสู้อย่างเต็มที่ได้มาตลอดด้วยต้องพิจารณาถึงกฎเกณฑ์ จึงอดรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อยในศึกเหล่านั้นไม่ได้
แต่เมื่อครู่นี้ เขาทิ้งทุกข้อจำกัด ปลดปล่อยตนเองอย่างสมบูรณ์ ทำให้ศักยภาพของเขาเผยออกอย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสภาพจิตใจและอำนาจต่อสู้จึงได้รับการขัดเกลาฝึกฝนอย่างหนักหน่วงจนแทบเรียกได้ว่าวาสนาหนุนส่ง
หากมิใช่เพื่อบรรลุเป็นจ้าวเอกภพ สภาพปัจจุบันของเฉินซีก็เพียงพอข้ามเส้นคั่น บรรลุสู่ขอบเขตมหาราชเทวาแล้ว!
…
ท้ายที่สุด เฉินซีก็ต้องระงับมันไว้ เขายังไม่ได้แปรสภาพดูดซับพลังเอกภพใด ๆ จึงย่อมไม่อยากเคลื่อนขอบเขตยามนี้
“อาเหลียง เป็นอันใดหรือไม่?” เฉินซีพลันสังเกตพบว่าปราณของอาเหลียงแผ่วจางลง ใบหน้าจิ้มลิ้มซีดขาว หัวใจบีบตัว ถามขึ้นอย่างอดมิได้
“คุณชายไม่ต้องร้อนใจไป อาเหลียงแค่เหนื่อยนิดหน่อยเจ้าค่ะ พักสักเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” อาเหลียงตอบเสียงเรียบ
“อาเหลียง ขอบคุณนะ” เฉินซีตระหนักดีว่า หากแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ช่วยเขา เขาคงพ่ายศึกนี้แล้ว
เพราะสัตว์อสูรจ้าววิญญาณเหล่านั้นควบคุมซากศพยอดฝีมือมากมาย อำนาจต่อสู้เทียบได้กับจักรพรรดิ
ยิ่งกว่านั้น ยังเทียบได้กับจักรพรรดิเกินพันคน!
หากมิใช่เพราะกลองตะบันเทพและไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งการเผาผลาญของอาเหลียงมีฤทธายิ่งใหญ่ บีบบังคับให้สัตว์อสูรจ้าววิญญาณออกมาจากซากศพ คงไม่มีทางเลยที่ศึกนี้จะจบด้วยชัยชนะของเขา
“คุณชาย ท่าน… ท่านไม่ต้องเกรงใจอาเหลียงนักหรอกเจ้าค่ะ” อาเหลียงก้มหน้างุด ดูเขินอาย
เฉินซีเอ่ยยิ้ม ๆ “เช่นนั้น อาเหลียง เจ้าพักผ่อนเถิด ที่เหลือข้าจัดการเอง”
“อื้อ” อาเหลียงพยักหน้าหงึกหงัก แล้วจึงนั่งขัดสมาธิตั้งจิตฟื้นตัวในใบหูของเฉินซี
ขณะนี้ สายตาของเฉินซีเพ่งมองไปยังท้องนภาแสนไกล ที่นั่นมีหนึ่งเงาดุจม่านคลุมเวหา ดูลึกลับเกินบรรยาย
วูบ!
เฉินซีไหวร่างไปโดยไร้ลังเล
ก่อนหน้านี้ เขาผ่านสมุทรสีม่วงอันก่อจากพลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋า กวาดล้างทัพบรรดาสัตว์อสูรจ้าววิญญาณ ในที่สุดก็มาถึงที่นี่
ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงยิ่งฉงนใจว่าสิ่งใดกันแน่ซ่อนอยู่ในเงามืด อันตรายมากมายจึงขวางตรงหน้ามัน!
เฉินซีตระหนักดียิ่งว่า บุคคลหรือกระทั่งมหาเทพเต๋าผู้อื่นคนใดไม่น่าผ่านด่านกำแพงเหล่านี้ได้ง่ายดายเช่นเขา
ถึงขนาดกระทั่งว่า แค่สมุทรพลังทัณฑ์สวรรค์สีม่วงก็เพียงพอให้คนส่วนใหญ่ต้องชะงัก มิกล้าเหยียบย่างเข้าใกล้แล้ว
ดังนั้น ยิ่งเป็นเช่นนี้ บริเวณอันปกคลุมด้วยเงามืดนี้ยิ่งดูผิดปกติ
…
ไม่ช้าไม่นาน เงามืดนั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏในสายตาของเฉินซี และขยายตัวชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
นั่นอะไร? ครู่สั้น ๆ ต่อมา เฉินซีพลันชะงักเท้า หรี่ตาลงขณะแสงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งปะทุออกมาจากภายใน
แล้วเขาก็ต้องตกใจยามพบดวงแสงโกลาหล ซึ่งก็คือแก่นแท้เอกภพจำนวนมากในเงามืดนั้น
รวมทั้งสิ้นเก้าดวง
พวกมันแต่ละดวงล้วนอัดแน่นด้วยพลังเอกภพหนาแน่นบริสุทธิ์ เข้มข้นเสียจนดูจับต้องได้ ชวนให้รู้สึกราวทัศนาหนึ่งโลกหล้าโกลาหล!
ไม่สิ มันมีตั้งเก้าใบ!
พวกมันลอยนิ่งกับที่ แต่กลับเต็มไปด้วยพลังชีวิต ดูประหนึ่งที่มาแห่งสรรพสิ่ง เป็นแกนกลางแห่งเอกภพ
เงามหึมาบนท้องนภาพร่างพราวนั้นฉายขึ้นโดยแก่นแท้เอกภพทั้งเก้านี้!
ขณะนี้ หัวใจของเฉินซีอดปรากฏความตกใจมิได้
เก้าแก่นแท้เอกภพประสานเสริมกันจากไกล ๆ ดุจเป็นหนึ่งเดียว เอกภพอันให้กำเนิดแก่นแท้ได้มากมายเช่นนี้ต้องเป็นเช่นไร? ไม่อาจเข้าใจได้เลย! ใครเล่าจะคาดคิดว่าโอกาสอันยิ่งใหญ่เกินหนใดจะซุกซ่อนอยู่ในเอกภพอันตรายสุดขีด เปี่ยมด้วยจิตสังหารเช่นนี้?
เรื่องสำคัญเหนือใดคือ กระทั่งเฉินซียังไม่คาดคิดว่าการถล่มของพื้นจะทำให้เขาถูกกวาดมายังเอกภพนี้โดยไม่ตั้งใจ และประสบเหตุชวนประหลาดใจยินดีอันมโหฬารนี้
เกินคาดโดยแท้
หากแปรสภาพดูดซับมันทั้งหมดได้ จะก่อเป็นพลังเอกภพยิ่งใหญ่น่าตกใจเพียงไรกัน? เฉินซีพึมพำในใจขณะที่ดวงตาสีดำยิ่งเรืองประกาย
วูบ!
เฉินซีเชิญกู่เยี่ยนออกจากจักรวาลในร่างตน
“สวรรค์! นี่มัน….” ทันทีที่เขาเห็นภาพตรงหน้า กู่เยี่ยนก็จังงังไป เขาตกใจอย่างยิ่งเพราะมันก็เกินจินตนาการของเขาเช่นกัน
“เราจะเข้าไปด้วยกัน ดูดซับแปรสภาพให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้” เฉินซีสูดหายใจลึก ๆ แล้วกล่าวช้า ๆ
กู่เยี่ยนอดถามมิได้ “อาจารย์อา เกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ?”
บริเวณอันปกคลุมด้วยพลังทัณฑ์สวรรค์มีความยาวถึงพันจั้ง จากความเร็วในการคืบหน้านี้ เขาจะเบิกเส้นทางได้ยามใดก็มิอาจทราบ
เรื่องสำคัญที่สุดคือ ขณะที่กระบี่ทะลวงลึก รอยแยกเบื้องหลังมันก็กลับมาประสานกันในไม่ช้า
เขารู้สึกเหมือนฟาดฟันใส่สายธาร รอยแผลใด ๆ ล้วนถูกวารีจากทั่วทิศหลั่งรินประสาน
ด้วยเหตุนี้ การผ่านเข้าไปจึงเป็นไปไม่ได้เลย
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเฉินซีดำคล้ำ
เคร้ง!
เขาเก็บยันต์ศัสตราไป เลิกเผชิญหน้ามันตรง ๆ
ข้าควรทำเช่นไร? เฉินซีขมวดคิ้ว คิดหาสารพัดวิธีในใจ ท้ายที่สุด เขาก็ต้องจนใจเมื่อสังเกตพบว่าหากคิดพากู่เยี่ยนไปด้วย เขาก็ไม่มีหวังเลย
กู่เยี่ยนพลันถามขึ้น “อาจารย์อา หากเป็นแค่ท่านลำพัง จะผ่านเข้าไปได้หรือไม่ขอรับ?”
เฉินซีกำลังครุ่นคิดหนัก ได้ยินเช่นนี้จึงตอบไปโดยไม่ผ่านความคิด “แน่นอน”
สิ้นคำ เขาก็เข้าใจความคิดของกู่เยี่ยนทันที แล้วอดขมวดคิ้วมิได้ “อย่าปล่อยความคิดเตลิด ตรงนั้นมีแก่นแท้เอกภพถึงเก้าแห่ง หากข้าปล่อยเจ้าไว้ที่นี่ ไม่น่าเสียดายแย่หรือ?”
หนนี้ กู่เยี่ยนไม่ยอมฟังคำสั่งเฉินซี เขาจ้องตาเฉินซีพลางกล่าว “อาจารย์อา โอกาสนี้ยากพบพานในรอบพันหมื่นปีจริงแท้ แต่หากท่านพลาดโอกาสนี้ไปเพราะข้า ข้าได้เสียใจไปชั่วชีวิตแน่”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อย จึงเสริมว่า “หากท่านคว้าโอกาสนี้ไว้แล้วบรรลุเป็นจ้าวเอกภพ ท่านก็ช่วยข้าหาแก่นแท้เอกภพหลังจากนั้นได้ มิต้องมาติดที่นี่นานเลย”
เฉินซียังคงเงียบกริบ ชายหนุ่มตระหนักชัดเจนดีว่ากู่เยี่ยนพูดถูก แต่เขาก็ทนทิ้งกู่เยี่ยนไว้ที่นี่เฉย ๆ มิได้เช่นกัน
ทันใดนั้น หนึ่งความคิดพลันปะทุในใจ “ข้าจะลองส่งเข้าสู่จักรวาลในกาย แล้วลองดูว่าทำได้หรือไม่”
กู่เยี่ยนนิ่งไป เขายังไม่ทันฟื้นจากความตกใจ ก็ถูกอำนาจหนึ่งกวาดเข้าสู่จักรวาลในกายเฉินซีแล้ว
เคร้ง!
ยันต์ศัสตราแผดร้องก้องกังวาน พลังอันลึกลับคลุมเครือของอักขระผนึกเต๋าพัดโหมเคลือบมัน
เฉินซีพุ่งเข้าไปใช้กระบี่ในมือโจมตีอีกครั้ง
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
หนึ่งรอยแยกปรากฏบนพลังทัณฑ์สวรรค์
ทว่ายามร่างของเฉินซีวูบไหวคิดทะยานเข้าไป เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังยิ่งใหญ่สายหนึ่งฟาดกระแทกมา
หลังจากนั้น ร่างของเขาก็ปลิวกระเด็นเกินควบคุม ยิ่งกว่านั้น จักรวาลในกายเขายังสั่นสะท้าน จนต้องอ้าปาก ร่างของกู่เยี่ยนก็กระเด็นออกมา
ขณะเดียวกันนั้นเอง อาเหลียงผู้กำลังทำสมาธิฟื้นตัวในใบหูของเฉินซีก็กรีดร้องแหลม ทะยานออกมาในสภาพสะบักสะบอมเช่นกัน
เฉินซีขวัญผวา สีหน้าแปรเปลี่ยนเฉียบพลัน สายตาตวัดมองแก่นแท้เอกภพอย่างคลับคล้ายตกตะลึงเหลือเชื่อ
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...