เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1928

บทที่ 1928 มายุติเรื่องนี้กันเถอะ!

………………..

บทที่ 1928 มายุติเรื่องนี้กันเถอะ!

เฉินซี!”

เมื่อเห็นร่างของเฉินซี นัยน์ตาของตงหวงอิ่นเซวียนและเหลิ่งซิงหุนหดตัวลง ใบหน้าของทั้งสองพลันมืดลง

พวกเขาสังเกตเห็นว่าเฉินซีเป็นจ้าวเอกภพแล้ว กลายเป็นตัวตนที่เท่าเทียบกับพวกตน!

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองไม่อาจเข้าใจได้ว่า ทั้งที่ร่างกายของเฉินซีถูกทำลายจนเหลือเพียงเพลิงศักดิ์สิทธิ์วิญญาณที่ยังคงอยู่ แต่เหตุใดถึงก้าวหน้าในห้วงสุดท้ายได้!

นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย!

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทั้งหมดนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว เหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนตระหนักดีว่าตอนนี้พวกเขาหมดโอกาสที่จะฆ่าถูเมิ่งแล้ว

แต่โชคดีที่ถูเมิ่งอยู่ในสภาพจะตายมิตายแหล่ ในขณะที่กู่เยี่ยนและอาเหลียงไม่ใช่จ้าวเอกภพ ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ใช่ภัยคุกคามแต่อย่างใด

ดังนั้นสิ่งที่ยากจะรับมือที่สุด ย่อมเป็นเฉินซี!

ในขณะที่พวกเขายังอยู่ที่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ทั้งเหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนก็พ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชด้วยน้ำมือของเฉินซี และทั้งสองถือว่ามันเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง

ครั้งนี้พวกเขาคิดว่าคงไม่ต้องลงมืออะไร และเฉินซีจะต้องพินาศในที่สุด แต่ใครจะคาดคิดว่าเฉินซีจะขึ้นสู่ตำแหน่งจ้าวเอกภพได้ ทั้งยังกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อพวกเขาในทันที

โชคดีที่คราวนี้พวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับเฉินซีตามลำพัง ดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวเฉินซีมากนัก

แม้ว่าเราจะไม่สามารถฆ่าผู้นี้ได้ แต่เราจะพ่ายได้อย่างไร?

นี่คือมุมมองของเหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียน

ดังนั้นเพียงชั่วพริบตาเดียว สายตาที่พวกเขาจดจ้องไปยังเฉินซี จึงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและความเฉยเมยอีกครั้ง

“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะตายยากขนาดนี้ แต่น่าเสียดายที่เจ้าได้พบกับเราสองอีกครั้ง และเจ้าจะต้องเจอกับจุดจบอันน่าสยดสยอง”

ตงหวงอิ่นเซวียนยิ้มบาง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจและการยั่วยุ

ขณะที่กล่าว เหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนก็แยกย้ายออกไปยืนอยู่สองฟากฝั่งของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เพื่อยืนในตำแหน่งที่จะโจมตีเฉินซีอย่างเฉียบขาด จากนั้นทั้งสองก็เผชิญหน้ากับเฉินซีที่ยืนอยู่ในระยะไกล

เพียงกลิ่นอายที่เกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าระหว่างจ้าวเอกภพ ก็เพียงพอที่จะโลกปั่นป่วนและพลิกกลับตาลปัตร!

อย่างไรก็ตาม เฉินซีดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นสิ่งนี้เลย

เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วนำถูเมิ่งที่เพิ่งช่วยเหลือออกมา พลางจับจ้องไปที่ถูเมิ่งซึ่งเต็มไปด้วยเลือดและอาการบาดเจ็บ จากนั้นกล่าวว่า “จงดูให้ดี อาจารย์อาจะล้างแค้นให้เจ้า”

เสียงของเขาสงบและไร้คลื่นอารมณ์ใด ๆ

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จู่ ๆ หัวใจของถูเมิ่งก็รู้สึกอบอุ่น ดวงตาแดงก่ำ ทั้งยังแทบกลั้นน้ำตาไว้มิได้

ร่างกายและจิตใจของชายผู้หยาบกร้านซึ่งมีนิสัยเลือดร้อนและตรงไปตรงมา ได้รับความเคี่ยวกรำผ่านการทรมานอันโหดร้ายอย่างแสนสาหัสจากเหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียน เขาจวนจะตายแล้ว ความสิ้นหวังท่วมท้นในใจ

แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาจะถูกช่วยเหลือในห้วงคับขันเช่นนี้?

สิ่งนี้ทำเขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างควบคุมไม่ได้

ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินซี เขาจึงเผยสีหน้าเช่นนั้น

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ จิตสังหารที่เฉินซีระงับไว้ในใจก็เพิ่มมากขึ้น แต่ท่าทางกลับยังคงสงบและไม่แยแส

เขาตบไหล่ถูเมิ่ง และไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะหันกลับไปมองตงหวงอิ่นเซวียนและเหลิ่งซิงหุนที่ยืนอยู่ในระยะไกล

ทันใดนั้น เฉินซีก็ดูเหมือนกลายเป็นคนละคน ร่างกายแผ่จิตสังหารที่ไร้ลักษณ์ ดวงตาลึกล้ำ เย็นยะเยือก และไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง

“มายุติความเป็นศัตรูระหว่างเรากันเถอะ!” เสียงที่ไม่แยแสล่องลอยผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

ดวงตาของเหลิ่งซิงหุนหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะแค่นหัวเราะ “ยุติ? ด้วยชีวิตของเจ้า? คำแนะนำนี้ไม่เลวเลย”

“บางทีคนผู้นี้คงคิดว่าเขาสามารถอาละวาด และดูถูกทุกคนได้หลังจากที่กลายเป็นจ้าวเอกภพแล้ว” ตงหวงอิ่นเซวียน หัวเราะด้วยความดูถูก

ยุติหรือ?

เฉินซีผู้นี้ช่างกล้าคุยโวจริง ๆ!

เหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนเริ่มประสานเสียงหัวเราะ

แต่เฉินซีกลับยังคงสงบและไม่แยแส ราวกับเป็นคนนอก จับจ้องทั้งสองด้วยสายตาไร้ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง

ด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบสาเหตุ สายตาของเฉินซีทำให้เหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนอึดอัดเล็กน้อย และรู้สึกราวกับพวกตนเป็นเพียงซากศพเย็นชืดไร้ค่า

“ในเมื่อเจ้าหัวเราะเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาตาย….”

ท่ามกลางเสียงเย็นเยียบและเฉยเมย เสื้อผ้าของเฉินซีก็ปลิวสะบัด ขณะก้าวผ่านสุญตาด้วยความเร็วที่ไม่ช้าไม่เร็ว ดุจจักรพรรดิที่กำลังลาดตระเวนในแดนดินของตน

“ไอ้สารเลว! ให้ข้าดูว่าเจ้าจะอวดดีไปได้สักกี่น้ำ!”

ท่ามกลางเสียงตะโกนลั่นอันน่าสยดสยอง จิตสังหารทั่วร่างกายของเหลิ่งซิงหุนก็ปรากฏขึ้น เมื่อเปิดฉากโจมตีเป็นคนแรก

โครม!

ผมสีแดงเลือดของเหลิ่งซิงหุนสะบัดไหว ดูทรงพลังและสง่างาม กระบี่อสนีบาตสุญตาก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ คมกระบี่สีดำอาบไล้ไปด้วยพลังเอกภพโปร่งใส โผทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และทำลายความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้ามัน

หลังจากนั้นมันก็ฟาดฟันลงมาอย่างแรง!

ทันใดนั้น พายุและลมกระโชกก็โหมกระหน่ำ ฟ้าดินกลายเป็นสีดำมืดหม่น ราวกับจุดจบของโลกมาถึงแล้ว

เปรี้ยะ!

ความว่างเปล่าพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ทำให้เกิดรอยแยกนับไม่ถ้วน รอยแยกเหล่านี้มีขนาดใหญ่และไร้ขอบเขต กวาดเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบอย่างหนาแน่น ทำให้รอบตัวตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวาย

สีหน้าของถูเมิ่งเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ไยถึงเป็นเช่นนี้?

“ดูท่าว่าคนผู้นี้เพิ่งบรรลุขอบเขต และยังไม่เข้าใจความแข็งแกร่งของจ้าวเอกภพเลยสักนิด ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” เหลิ่งซิงหุนแค่นหัวเราะ ขณะที่ผมสีแดงเลือดปลิวไสวไปข้างหลัง เสียงหัวเราะเยือกเย็นทำให้โลกสั่นสะเทือน สายตาเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน ส่งผลให้เขาดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง

“นั่นเป็นเรื่องปกติมาก แม้ว่าจะเป็นจ้าวเอกภพคนอื่น ๆ ก็ยังยากที่จะต้านการโจมตีร่วมกันระหว่างเราได้” ตงหวงอิ่นเซวียนหัวเราะอย่างเย็นชา

แม้ว่าพวกเขาจะกล่าวเช่นนี้ แต่ในใจก็รู้สึกขาดความมั่นใจเล็กน้อย เพราะเท่าที่พวกเขาทราบมา เฉินซีจะไม่แสดงท่าทีอ่อนแอเช่นนี้อย่างแน่นอน

ฟึ่บ!

ในเวลาต่อมา แสงสีม่วงทองอันศักดิ์สิทธิ์ก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และดูแพรวพราวอย่างยิ่ง

มันกลายเป็นม่านแสงกลมเกลี้ยง และมีเอกภพขนาดมหึมาวนเวียนอยู่ข้างใน จักรวาลมากมายโคจร ในขณะที่ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนกะพริบพราว มันเชื่อมโยงกับฟ้าดิน และจนดูเหมือนเป็นเอกภพที่แท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเปล่งรัศมีอันสง่างามสูงสุด ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดยอมจำนนต่อหน้ามัน!

นั่นอะไรกัน? ทั้งเหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนต่างก็ใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ในขณะที่พวกเขารู้สึกไม่อยากเชื่อ

ม่านแสงกลมเกลี้ยงนั้นก็พุ่งขึ้นมาปรากฏเหนือพวกเขาเช่นกัน และมันคือพลังเอกภพ แต่เมื่อเทียบกับพลังเอกภพที่อยู่ตรงหน้า มันกลับดูซีดเซียวเมื่อเปรียบเทียบกัน!

มันถึงขนาดเทียบกันไม่ได้เลย!

เหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนเกือบจะสงสัยว่ามันเป็นพลังเอกภพจริง ๆ หรือไม่ เพราะมันกว้างใหญ่และงดงามเกินไป

“ฝีมือของเจ้ามีแค่นี้หรือ?” ท่ามกลางเสียงที่ไม่แยแส ร่างของเฉินซีก็ปรากฏขึ้นภายในแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกโชติช่วงนั่น เขาดูหล่อเหลา ทรงพลัง และอาบไล้ไปด้วยแสงอันศักดิ์สิทธิ์สีม่วงทอง ประหนึ่งจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครเทียบได้ เป็นเจ้าเหนือหัวต่อทุกสรรพสิ่ง!

นอกเหนือจากการปรากฏตัวของเขาแล้ว พลังเอกภพอันยิ่งใหญ่ก็เริ่มไหลเวียนไปพร้อมกับพลังลมปราณ ทำให้กลิ่นอายของเฉินซีดูไร้ขอบเขตมากยิ่งขึ้น

“บัดซบ!” สีหน้าของเหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนแปรเปลี่ยนไปพร้อมกัน ในที่สุดพวกเขาก็กล้ายืนยันว่าไม่เพียงแต่เฉินซีจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ แต่พลังที่ครอบครองนั้นยังเกินความหมายอย่างสิ้นเชิง!

“ฆ่า!”

“เจ้าเด็กนี้ยากจะรับมือ! เราต้องทุ่มพลังทั้งหมด!” เหลิ่งซิงหุนและตงหวงอิ่นเซวียนโจมตีโดยสัญชาตญาณอีกครั้ง พวกเขาโคจรพลังบ่มเพาะอย่างเต็มที่ ดุจเทพสงครามบรรพกาลสององค์ที่สำแดงอิทธิฤทธิ์

บัดนี้ทั้งสองเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเฉินซีไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเขาคาดเดา และถึงขั้นแข็งแกร่งจนทำให้พวกเขาหวาดกลัวสุดขีดแทน!

พลังเอกภพที่สำแดงออกมาจากม่านแสงทรงกลมอย่างท่วมท้นนั้น เป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด

โครม

เหลิ่งซิงหุนถือกระบี่อสนีบาตสุญตาไว้ในมือ ร่างกายปกคลุมไปด้วยโซ่ศักดิ์สิทธิ์โปร่งใสขณะโจมตี กลิ่นอายอันน่าเกรงขามถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด จนแก่นแท้ พลังงาน และจิตวิญญาณลุกไหม้

เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้ทรงพลังกว่ามากเมื่อเทียบกับการโจมตีครั้งก่อน ราวกับกำลังดิ้นรนต่อสู้อย่างสิ้นหวัง

โครม!

แต่เพียงชั่วพริบตา เสียงการปะทะกันก็ดังก้องขึ้น ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่เปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์สีม่วงทองเจาะทะลวงผ่านชั้นของโซ่ศักดิ์สิทธิ์โปร่งใส ก่อนจะฟาดไปที่กระบี่อสนีบาตสุญตา!

หลังจากนั้น เหลิ่งซิงหุนราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ก่อนที่ร่างจะถูกระเบิดจนกระเด็นอย่างแรง

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]