บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 193

บทที่ 193 ชาวิญญาณหมอกพิสุทธิ์

ห้องรับรองพิเศษของหอขุมทรัพย์สวรรค์ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามและหรูหรา ด้วยคานที่ทาสีสันสดใส เสาแกะสลัก โคมไฟล้ำค่ามากมาย และยังมีเตียงสำหรับใช้ในการทำสมาธิหรือการบ่มเพาะซึ่งทำจากหยกธารน้ำแข็งชั้นสูงสุด เมื่อผู้บ่มเพาะนั่งบนนั้น ไม่เพียงแต่จะสามารถกำจัดความคิดฟุ้งซ่านและทำให้จิตใจสงบนิ่งได้ มันยังช่วยบำรุงร่างกายและหล่อเลี้ยงพลังงานที่สำคัญ ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เลิศเลอราวกับปาฏิหาริย์เป็นอย่างมาก

ยิ่งกว่านั้น ยังมีกลิ่นหอมบริสุทธิ์และสดชื่นลอยอยู่ในอากาศ ซึ่งคล้ายกับกลิ่นหอมหวานที่แผ่ซ่านออกมาจากพื้นดินหลังฝนโปรยปราย นอกจากนี้ยังมีพลังชีวิตอยู่มากมาย ทำให้จิตใจและร่างกายรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น และแม้แต่แขนขาก็ยังรู้สึกเบาอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าร่างกายได้รับการชำระล้างด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ทำให้ปราศจากสิ่งสกปรกและรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง

กลิ่นหอมนี้ถูกแผ่ออกมาจากก้อนไขมันในตะเกียงทองสัมฤทธิ์

ก้อนไขมันนี้มีสีเขียวหยกและดูเหมือนเป็นชิ้นส่วนของอำพัน นอกจากนี้ มันมียังปราณวิญญาณที่หนาแน่นเป็นอย่างมาก มันถูกเรียกว่า ‘ไขวิญญาณหยก’ ซึ่งสกัดออกมาจากแก่นของต้นสนอายุนับหมื่นปี ต้นสนอายุหมื่นปีเพียงต้นเดียวกลับสามารถสกัดเป็นไขวิญญาณหยกที่มีขนาดเท่าเล็บมือได้เพียงชิ้นเดียว ด้วยเหตุนี้ มันจึงเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยและหรูหราเป็นอย่างมาก ส่วนที่หอขุมทรัพย์สวรรค์ใช้เป็นเพียงน้ำหอมเท่านั้น

‘ช่างเป็นสถานที่ที่ดี! วารีวิญญาณหนึ่งพันจิน สำหรับการเข้าพักหนึ่งวันก็ถือว่าคุ้มค่า’ หลังจากที่เฉินซีเข้าไปในห้องรับรองพิเศษและพิจารณาการตกแต่งโดยรอบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชมอย่างไม่รู้จบภายในใจ

หลังจากที่ท่านหญิงสุ่ยฮวาพาเฉินซีเข้าไปในห้องรับรองพิเศษ นางก็ไม่ได้จากไป แต่นั่งไขว่ห้างหน้าโต๊ะแทน และเริ่มต้มชาด้วยท่าทางสง่างาม

ผู้ประเมินเล่อฉีดูเหมือนจะรู้สึกตัวและรีบจากไปในทันที

เฉินซีไม่รู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ เขาเดินไปที่โต๊ะและนั่งหันหน้าเข้าหาท่านหญิงสุ่ยฮวา เขาไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแต่ชื่นชมถึงวิธีการเตรียมชาซึ่งไหลรินดั่งก้อนเมฆและสายน้ำที่หลั่งไหลของนางอย่างเงียบ ๆ มันเปี่ยมไปด้วยสัมผัสแห่งจังหวะ

หม้อใบเล็กที่ทำจากดินเหนียวสีแดง กาน้ำชากระเบื้อง และถ้วยชาสีเหลืองที่เรียบง่ายและหนักสองใบวางอยู่บนโต๊ะ เมื่อน้ำเดือดแล้ว ท่านหญิงสุ่ยฮวายิ้มบาง ๆ ให้เฉินซีก่อนกล่าวว่า “ชาแก่ควรแช่ไว้ ส่วนชาอ่อนควรต้ม ใบชาวิญญาณหมอกพิสุทธิ์พวงนี้เป็นชาบ่มอันล้ำค่าที่ข้าได้มาจากราชสำนัก และคนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้ดื่มมัน”

ขณะที่นางกล่าว มือที่ขาวราวกับหยกของนางก็หยิบกาน้ำชาขึ้นมา จากนั้นจึงม้วนแขนเสื้อขึ้นขณะที่นางแช่ชา การเคลื่อนไหวของนางเป็นไปอย่างเชื่องช้า นุ่มนวล และไม่เร่งรีบ น้ำที่เดือดปุด ๆ เป็นเหมือนน้ำพุสีเงินที่ไหลรินลงในถ้วยชาสีเหลือง ทันใดนั้นใบชาที่อยู่ด้านล่างของถ้วยชาก็คลี่ออกราวกับเข็มเงินจำนวนมากมายที่ผลิบานเป็นกลีบ ซึ่งชูขึ้นและลงเป็นจังหวะอย่างสง่างาม

เพียงแค่สูดกลิ่นเบา ๆ เฉินซีก็รู้สึกได้ถึงกระแสลมปราณภายในร่างกายกำลังไหลเวียน ในขณะที่พลังชีวิตของเขากำลังพลุ่งพล่าน และปราณแท้ภายในร่างกายของเขาดูเหมือนจะควบแน่นมากขึ้นในทันที

“รีบดื่มในขณะที่มันยังอุ่นอยู่ มิฉะนั้น ปราณวิญญาณที่อยู่ภายในชาจะสลายออกไป” ท่านหญิงสุ่ยฮวาหยิบถ้วยชาขึ้นมาและเชื้อเชิญเขาจากระยะไกล ก่อนที่จะเปิดริมฝีปากสีชมพูของนางเบา ๆ และจิบในครั้งเดียว

เฉินซีหยิบถ้วยชาของเขาขึ้นมาดื่มรวดเดียว และกลืนใบชาลงไปด้วย หลังจากนั้น เขารู้สึกได้ถึงกระแสน้ำอุ่นมากมายที่ถาโถมเข้าสู่แขนขาและกระดูกของเขา และดูเหมือนว่าทุกรูขุมขนบนร่างกายของเขาจะถูกเปิดออก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความสบายใจ ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุดนี้ สบายยิ่งกว่าการแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนเสียอีก มันทำให้ร่างกายของเขารู้สึกปลอดโปร่งและสงบนิ่ง

ฟิ้ว!

ปราณแท้ภายในท้องทะเลแห่งลมปราณของเขาเริ่มหมุนถาโถมเหมือนคลื่นยักษ์ มันเต็มไปด้วยพลังที่บริสุทธิ์และควบแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน มันจึงหวนคืนสู่ความสงบอย่างเช่นเคย

“ช่างเป็นชาที่ยอดเยี่ยม!” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะชมเชยออกไป ชาวิญญาณหมอกพิสุทธิ์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยการควบแน่นปราณแท้เท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ต่อจิตวิญญาณอย่างมหาศาลอีกด้วย และมันวิเศษเกินคำบรรยาย

ท่านหญิงสุ่ยฮวาวางถ้วยชาลงและดวงตาหงส์ของนางยกขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แต่สิ่งนี้เทียบไม่ได้กับชาดอกชบาสีม่วงของตระกูลไป๋ นั่นคือชาชั้นยอดของโลกอย่างแท้จริง เพราะเพียงจิบเดียวก็เปรียบได้กับการบ่มเพาะอย่างยากลำบากเป็นเวลานับสิบปี

ตระกูลไป๋หรือ?

เฉินซีตกตะลึงอยู่ในใจ พร้อมกับด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหญิง ข้าขอเรียนถาม ตระกูลไป๋ที่ท่านกล่าวถึงคือตระกูลใดหรือ”

“เจ้าเด็กน้อย ยังจะกล้าเสแสร้งต่อหน้าข้าอีกหรือ” ท่านหญิงสุ่ยฮวาจ้องมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยดวงดาวของนางและกล่าวด้วยความโกรธว่า “ไป๋หว่านฉิงทำลายล้างตระกูลซูของเมืองทะเลสาบมังกรเพื่อเห็นแก่เจ้า เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือ?”

เฉินซีแย้มยิ้ม แต่รอยยิ้มของเขาดูฝืนยิ่งนัก เพราะเรื่องนี้ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งดินแดนทางใต้ แต่ชื่อของไป๋หว่านฉิงกลับไม่เป็นที่รู้จัก ตอนนี้ความลับเช่นนี้กลับถูกเปิดเผยจากคำพูดเพียงคำเดียวของท่านหญิงสุ่ยฮวา ทำให้เขาก็ตระหนักได้ทันที ว่าท่านหญิงผู้งดงามอย่างล้ำลึกผู้นี้น่าจะคุ้นเคยกับไป๋หว่านฉิงเป็นอย่างดี และที่ผ่านมา เป็นไปได้ว่านางอาจรู้จักไป๋หว่านฉิงมาตั้งนานแล้ว

แต่ก็เป็นการยากสำหรับเขาที่จะแยกแยะว่านางเป็นมิตรหรือศัตรู

ท่านหญิงสุ่ยฮวามองไปที่เฉินซี ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อและถามทันทีว่า “หรือว่าเจ้ามาที่เมืองห้วงทะเลทรายมรณะครั้งนี้เพราะต้องการบ่มเพาะและฝึกฝนในห้วงทะเลทรายมรณะ? หรือบางที… อาจมาเพราะขุมสมบัติของเฉียนหยวน?”

“มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ” เฉินซีพยักหน้า

“เจ้าจะเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งหลังการฝึกเสร็จสิ้นหรือ?” ท่านหญิงสุ่ยฮวากล่าวต่อ

เฉินซีพยักหน้าอีกครั้ง

ท่านหญิงสุ่ยฮวาดูไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย และนางก็ยิ้มอย่างงดงามขณะที่นางกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ไป๋หว่านฉิงต้องบอกบางอย่างที่เกี่ยวกับแดนภวังค์ทมิฬแก่เจ้าอย่างแน่นอน และนางก็หวังว่าเจ้าจะสามารถไปที่ตระกูลไป๋แห่งแดนภวังค์ทมิฬ เพื่อที่จะตามหานางใช่หรือไม่?”

‘สตรีนางนี้ไม่เพียงแต่งดงามมากเท่านั้น แต่นางยังมีความรู้ที่น่าสะพรึงกลัวอีกด้วย หากเป็นเช่นนี้ นางอาจจะเค้นเอาข้อมูลจากข้าทั้งหมดทีละเล็กทีละน้อย…’ ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ในใจ เฉินซีก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นและผายมือออกในเชิงตั้งคำถาม “ท่านหญิง วันนี้ท่านคงไม่มาหาข้าเพราะสิ่งนี้ใช่หรือไม่?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]