เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1937

บทที่ 1937 หุบเหวทัณฑ์หายนะ

………………..

บทที่ 1937 หุบเหวทัณฑ์หายนะ

ตึก! ตึก! ตึก!

หวังจงสืบเท้าไปตามพื้นสีดำสนิทของห้องโถงโบราณขนาดใหญ่กว้างขวางเพียงลำพัง เสียงฝีเท้าที่หนักหน่วงสะท้อนก้องไปรอบ ๆ บริเวณ

เขาสวมอาภรณ์สีแดงเลือด สายตาเยือกเย็นและคมกริบประหนึ่งสายฟ้า รอบ ๆ เรือนกายนั้นโอบล้อมไปด้วยรัศมีลึกล้ำสูงส่ง เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต เขาในยามนี้แฝงเร้นซึ่งกลิ่นอายแห่งความทรงภูมิราวกับได้ผ่านพ้นห้วงกาลอันยาวนาน

ห้องโถงนี้ดูเก่าคร่ำ สีดำสนิทดั่งม่านราตรีนิรันดร์ มีเพียงเปลวไฟสีแดงสดราวกับเลือดเท่านั้นที่ส่องแสงริบหรี่ในส่วนลึกของห้องโถง

แดงก่ำอย่างนัยน์ตาแดงเลือดของสัตว์อสูรที่เร้นกายภายในห้องโถงอันมืดมิด

ท่ามกลางความเงียบงัน กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวฟุ้งไปทั่วบริเวณ

ขณะที่หวังจงก้าวไปข้างหน้า เขาก็มีท่าทางที่ดูสงบเรียบเฉยมากขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายว่าเขาจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ยิ่งนัก เห็นได้ชัดจากการที่เขาไม่มีความตื่นเต้นใด ๆ ต่อสิ่งที่อยู่รอบกายเลยแม้แต่น้อย

“เจ้ากลับมาแล้ว” หลังจากผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เสียงแหบแห้งทุ้มลึกอย่างคนมีอายุก็ดังขึ้น แม้มันจะก้องกังวานแต่กลับฟังดูเลือนรางห่างไกล

หวังจงชะงักฝีเท้า เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ข้ากลับมาแล้วขอรับ”

พรึ่บ!

ขณะที่เสียงของเขาล่องลอยไปในอากาศ เปลวไฟศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามจำนวนมากค่อย ๆ สว่างขึ้นทั้งสองด้านของห้องโถงกว้าง พวกมันเป็นเหมือนกับคบไฟริบหรี่ที่ขับไล่ความมืดออกไป

ทันใดนั้น ทั่วทั้งห้องโถงพลังสว่างไสวด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์สีทอง พวกมันส่องไขให้ทุกสิ่งภายในนั้นชัดขึ้นถนัดตา

ที่นี่งดงามยิ่ง ความกว้างใหญ่แผ่ไพศาลไร้สิ้นสุด ผิวทางเดินที่ทำจากหินสีดำทอดยาวไปไกลจนสุดห้องโถง

เสาหินโบราณจำนวนมากตั้งตระหง่านอยู่ทั้งสองข้างของทางเดิน พวกมันเหมือนกับมังกรขนาดมหึมาที่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

หวังจงยืนอยู่บนทางเดินกว้างไกล เมื่อเปรียบเทียบกับเสาหินทั้งสองด้านและขนาดของห้องโถงแล้ว เขาก็กลายเป็นเพียงมดปลวกตัวจ้อยเท่านั้น!

เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่าบนเสาหินสูงตระหง่านเหล่านั้นถูกตกแต่งไปด้วยสีแดงเลือด รอบ ๆ ของมันสลักซึ่งร่างของเทพอสูรแปดแขน พวกมันแข็งแกร่งดั่งหินผา ดวงตาพร่างพราวราวกับหมู่ดารานับร้อยพัน

ไม่เพียงเท่านั้น ที่นี่ยังมีนกหน้าตาประหลาดซึ่งมีลำตัวยาวกว่าหกสิบลี้ ขนสีดำดุจท้องฟ้ายามราตรี ในขณะที่หัวทั้งเก้ากำลังคาบซากศพของทวยเทพไว้ในปาก

นอกจากนี้ ยังปรากฏร่างมนุษย์ซึ่งถือโลกไว้บนฝ่ามือ หูทั้งสองห้อยประดับด้วยอสนีบาต กายที่หยัดตรงเหนือสวรรค์ทั้งเก้าทอดมองลงยังแผ่นดิน แสงแห่งเต๋าที่ปรากฏขึ้นเหนือหว่างคิ้วของพวกเขาส่องไขโลกและทุกสรรพสิ่งให้สว่างไสว

อีกด้านหนึ่งคือร่างของสตรีผู้สง่างามที่กำลังล่องผ่านคลื่นสีฟ้าครามแห่งสายธารจักรวาลสู่สรวงสวรรค์ ผมสีดำสนิทสยายยาวราวม่านน้ำตก แสงแห่งเต๋าที่รายล้อมกายทำให้ภาพของนางพร่ามัวราวเป็นเพียงมายา

การประดับประดาเหล่านี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณซึ่งแตกต่างไปจากแดนเทพโบราณอย่างสิ้นเชิง ราวกับเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นในโลกนี้มาก่อน

ร่างทั้งหมดที่ปรากฏอยู่บนเสาหินเอ่อล้นซึ่งรัศมีลึกลับหลากหลาย พวกเขาเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่ท่องไปอย่างอิสระผ่านโลกที่แปลกตา

รูปสลักเหล่านี้เหมือนกับจารึกโบราณซึ่งประทับลงบนเสาทิ้งตระหง่าน เป็นภาพที่งดงามยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้ทั้งห้องโถงเต็มไปด้วยกลิ่นอายอันศักดิ์สิทธิ์

หวังจงยืนนิ่งอยู่บนทางเดิน สายตาทอดผ่านมวลอากาศและมองไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของห้องโถงจากระยะไกล

ที่ตรงนั้นคือเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์แดงฉาน ด้านล่างของมันคือร่างสีแดงเลือดซึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ทำจากโครงกระดูก รูปร่างของคนผู้นั้นวูบไหวราวกับเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์และเลือนรางอย่างมากหมอก ยากที่ใครจะมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้อย่างชัดเจน

ทั้งห้องโถงลึกลับ

รูปสลักบนเสาหิน

บัลลังก์กระดูก

และร่างสีโลหิต

เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้ปรากฏขึ้นพร้อมกัน มันก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว

เมื่อมองจากระยะไกล แม้ว่ารูปลักษณ์ของร่างบนบัลลังก์กระดูกจะดูเลือนราง หากก็ยังให้ความรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องอย่างทรงพลังอำนาจถึงขีดสุด!

“สำเร็จแล้วอย่างนั้นรึ?” เสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครั้งจากบัลลังก์กระดูก

“ผิวหนังที่เหลืออยู่ของสัตว์อสูรมนตราตกไปอยู่ในมือของผู้กอบกู้แห่งยุคแล้วขอรับ หากไม่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็แสดงว่าพวกมันน่าได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดจ้าววิญญาณอาถรรพ์แล้ว” หวังจงพยักหน้าและตอบโต้กับร่างสีแดงเลือดซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกจากที่ไกลแสนไกล

ขาของเขายังคงถูกแช่อยู่กับที่ คล้ายกับว่าหากก้าวไปข้างหน้ามากกว่านี้จะต้องประสบกับเภทภัยและความวินาศครั้งใหญ่

“ไม่เลว ๆ” ร่างนั้นกล่าวชื่นชม “ใช้ตัวตนของจ้าวเต๋าคุนเผิงเพื่อปกปิดความลับของหนังสัตว์อสูรมนตรา มีแต่เจ้าเท่านั้นที่คิดค้นวิธีที่แปลกแต่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้”

สีหน้าของหวังจงยังคงเรียบเฉยอย่างเคย “ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะทายาทของเผ่าจุลบรรพกาลนั้นอยู่ข้างผู้กอบกู้แห่งยุคขอรับ ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเขาก็คงจะไม่สามารถเปิดข้อจำกัดของจ้าววิญญาณอาถรรพ์ได้”

“ถ่อมตัวเกินไปแล้ว พูดตามตรง ข้าไม่เคยกังขาในการตัดสินใจของเจ้าเลยแม้แต่น้อย” เสียงของร่างสีโลหิตนั้นเบาลงก่อนจะถอนใจเอื่อย “สิ่งเดียวที่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนก็คือหลังจากที่ผ่านมาสามหมื่นหกพันปี เจ้าจะยอมกลับมาจากแดนเทพโบราณ สิ่งนี้เกินความคาดหมายของข้าไปมากทีเดียว”

หวังจงเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อเกิดมาเป็นทาสที่ถูกชี้เป็นชี้ตายได้ทุกเมื่อ แล้วข้าจะกล้าหลีกหนีไม่ยอมกลับมาได้อย่างไร!”

ขณะที่เขาพูด เขาก็หันหลังกลับและเดินไปยังทางออก

“เจ้าตั้งใจจะทำอะไร?” เสียงของร่างสีแดงเลือดไล่ตามหลัง

“ข้าตั้งใจจะนำสัตว์ประหลาดที่ท่านเลี้ยงไว้ออกมาต้อนรับพวกเขาที่ด้านนอกหุบเหวทัณฑ์หายนะ”

“เจ้าคิดจะรอให้พวกเขามาหาเจ้างั้นหรือ?”

“หรือว่าท่านคิดว่าพวกเขาสามารถเข้าไปในหุบเหวทัณฑ์หายนะได้เหมือนพวกเขา?”

“ก็ใช่ แต่…”

“ไม่มีคำว่าแต่ทั้งนั้น… อย่าลืมว่ามีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถเปิดพลังภายในหุบเหวทัณฑ์หายนะได้ และมีเพียงแต่ต้องใช้ร่างกายของพวกเขาเท่านั้น เราถึงจะทะลวงผ่านข้อจำกัดของแดนรวนเรลืมเลือนหลบหนีการกีดขวางของเต๋าแห่งสวรรค์ในยุคนี้ได้!”

“เอาแบบนั้นก็ได้! ทำตามที่เจ้าว่ามา แต่ว่านะอาลูเย่ ข้าต้องขอเตือนเจ้าสักหน่อย เรารอโอกาสนี้มานานเกินไป และข้าจะไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ อีกอย่างแน่นอน หากล้มเหลว…”

“ถ้าข้าล้มเหลว ก็เชิญท่านเอาชีวิตของข้าไปได้เลย!” เสียงของพวกเขายังคงก้องกังวานในห้องโถงลึกลับ แม้ว่าร่างของหวังจงจะผละจากไปแล้ว

ในเวลาไม่นาน ห้องโถงก็กลับมาสู่ความเงียบงันอีกครั้ง

ร่างสีแดงเลือดนั่งหยัดกายเงียบเชียบบนบัลลังก์กระดูกเพียงลำพัง

“อาลูเย่ คราวนี้อย่าทำให้ข้าผิดหวังจะดีกว่า…” หลังจากนั้นไม่นาน เสียงแผ่วเบาไร้อารมณ์ก็ดังขึ้น

เฉินซีไม่รู้ว่าหนังสัตว์โบราณในมือคือผิวหนังของสัตว์อสูรมนตราที่หวังจงพูดถึง

ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้ว่าปฏิกิริยาแปลก ๆ หลังจากอาเหลียงอ่านอักษรที่ปรากฏขึ้นบนนั้นคือวิชาลับที่เรียกว่าข้อจำกัดจ้าววิญญาณอาถรรพ์

นอกจากนี้ เขายังไม่รู้อีกว่าตอนที่เขาขัดจังหวะอาเหลียงในตอนนั้น เขาได้ช่วยทุกคนจากภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

สำหรับหุบเหวทัณฑ์หายนะ แน่นอนว่าเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันเลยสักอย่าง

อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มได้กำจัดหนังสัตว์อสูรทั้งหมดไปแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักหุบเหวทัณฑ์หายนะ แต่เขาก็ไม่คิดจะไปตามแผนที่ที่ปรากฏอยู่บนนั้น

เพราะเขาสงสัยว่าหวังจงจงใจยอมให้เขาได้ครอบครองหนังสัตว์ชิ้นสุดท้าย!

บัดนี้ เฉินซีกำลังพินิจมองกุญแจทองเหลืองที่อยู่ในมืออย่างใคร่ครวญ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]