เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1940

บทที่ 1940 ปัจจัยสำคัญ

………………..

บทที่ 1940 ปัจจัยสำคัญ

อสูรนภาที่ดุร้ายมีเก้าหัว ปีกของมันห้อยลงมาราวกับเมฆ และปลดปล่อยพลังสะท้านโลกา!

มันไม่เหมือนสัตว์ร้ายอื่น ๆ ในแดนเทพโบราณ มันทั้งเก่าแก่และไม่คุ้นเคย ทั้งยังแผ่กลิ่นอายป่าเถื่อนและดุร้ายอันเป็นเอกลักษณ์ของมัน

ที่ด้านหลังมีเงาร่างมากมายมากมายแน่นขนัด น่าแปลกที่มันเป็นอสูรนภาดุร้ายจำนวนมาก ที่มีขนาดต่างแตกต่างกันไป และรูปร่างที่แปลกประหลาดอยู่มากมาย

ทันใดนั้น สิ่งมีชีวิตดุร้ายได้ปกคลุมฟ้าดิน และพุ่งลงมาจากสองทิศทางอย่างน่าสะพรึงกลัว เกิดเป็นภาพที่พรั่นพรึงอย่างยิ่ง

โครม โครม โครม!

แผ่นดินสั่นสะเทือน ในขณะที่พื้นดินแยกออกจากกัน และท้องฟ้าก็พังทลายลง พวกมันมาพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนสะท้านขวัญขณะที่พุ่งผ่านความว่างเปล่า พลังอันเปี่ยมอานุภาพของมันส่งเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ มันเหมือนกับวันโลกาวินาศได้มาถึงแล้ว

สีหน้าของเฉินซีและคนอื่น ๆ เปลี่ยนไปไม่รู้จบ

ไม่มีใครคาดคิดว่าอันตรายจะมาถึงเร็วขนาดนี้

ราวกับถูกส่งไปยังสมรภูมิบรรพกาล เผชิญหน้ากับร่างของศัตรูเรือนแสนที่บดบังทัศนวิสัยจนสิ้น

โฮก!

ทันใดนั้น เทพอสูรขนาดมหึมาที่ด้านหน้าของกองทัพในระยะไกลก็แผดเสียงคำรามลั่น จากนั้นมันก็ยื่นแขนมโหฬารประหนึ่งเทือกเขา ฟาดฝ่ามือลงมา

โครม!

ฝ่ามือนี้มหึมาและเก่าแก่ แสงสีแดงเลือดของเต๋ามาบรรจบกันบนฝ่ามือ และมันก็เหมือนกับดวงอาทิตย์สีแดงเลือดบดบังท้องฟ้า ขณะที่มันพุ่งลงมาหมายบดขยี้กลุ่มของเฉินซี

พื้นที่โดยรอบไม่สามารถทนต่ออานุภาพของฝ่ามือนี้ได้ ทำให้มันพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง

ฟึ่บ!

ปราณกระบี่สีม่วงทองที่หนาและใหญ่พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า เพียงแค่กวาดผ่านฝ่ามือของเทพอสูรนั้นเบา ๆ เสียงฟู่ก็ดังตามมา พร้อมกันฝนเลือดที่โปรยปรายลงมา ฝ่ามือมหึมานั้นถูกสะบั้นอย่างง่ายดาย!

โดยปกติแล้ว ปราณกระบี่นี้ย่อมถูกฟาดฟันโดยเฉินซี

“ลุยกันเถอะ! เราไม่มีที่ให้ถอยแล้ว! ทำได้เพียงบุกตะลุยเข่นฆ่าเพื่อสร้างโอกาสรอดเท่านั้น!” แม้การโจมตีครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ แต่เฉินซีก็ไม่อาจยินดีได้ ตรงกันข้าม สีหน้าของเขากลับดูเคร่งขรึมยิ่งขึ้น ในขณะที่หว่างคิ้วเต็มไปด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึง

เนื่องจากความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง และส่วนใหญ่เป็น ‘สัตว์อสูรจ้าววิญญาณ’ ที่เลี้ยงดูโดยพวกนอกรีตเหล่านั้น ความแข็งแกร่งของพวกมันน่าเกรงขามจนไม่ด้อยไปกว่ามหาราชเทวาเลย

นอกจากนั้น ยังมีศพของผู้บ่มเพาะจำนวนมากที่ถูกควบคุมโดยสัตว์อสูรจ้าววิญญาณ!

เจ้าของศพเหล่านั้นล้วนเป็นยอดคนที่ครองความเป็นใหญ่เหนือใต้หล้า หลังจากถูกพวกนอกรีตจับ กฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์จะถูกช่วงชิง ทั้งพลังงาน จิตวิญญาณ และแก่นแท้ถูกสัตว์อสูรจ้าววิญญาณกลืนกิน แม้แต่ร่างกายก็ถูกควบคุมโดยสัตว์อสูรจ้าววิญญาณ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า พวกเขาตายตาไม่หลับอย่างแน่นอน

บัดนี้เมื่อศพเหล่านั้นถูกควบคุมโดยสัตว์อสูรจ้าววิญญาณ พวกเขาก็กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับกลุ่มของเฉินซี!

เฉินซีตระหนักแน่ชัดว่าสถานการณ์ตรงหน้าถึงคราวคับขัน และหากพวกเขาไม่สามารถฝ่าวงล้อมไปได้ ก็มีโอกาศสูงที่พวกเขาจะประสบคราวเคราะห์จนตกตาย

ดังนั้นในขณะนี้ เฉินซีไม่กล้าประมาทเลยแม้แต่น้อย

“ฆ่า!” ยังไม่ทันสิ้นเสียง เฉินซีก็โคจรพลังไปทั่วกาย ทั้งร่างเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีม่วงทองเรืองรอง กลิ่นอายอันน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงขีดสุด ดุจจักรพรรดิที่ไม่มีใครเทียบได้

เขานำกลุ่มเข้าโรมรันกองทัพศัตรู และตั้งใจที่จะฝ่าออกจากวงล้อมนี้

ยันต์ศัสตราพุ่งผ่านท้องฟ้าดุจกระบี่ที่คมกริบที่สุดในปฐพี มันแผ่พุ่งปราณกระบี่ที่ลุกโชติช่วง ซึ่งยาวกว่าห้าลี้ และกวาดออกไปในแนวนอน

ในชั่วพริบตา สัตว์ร้ายกว่าร้อยตัวถูกทำลายล้าง บังเกิดเป็นช่องว่างท่ามกลางกองทัพสัตว์ร้ายที่ถาโถมเข้ามาดุจกระแสน้ำ!

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

ในเวลาเดียวกัน คงโหยวหราน สืออวี๋ ฉินซินฮุย เย่เฉิน อวี้จิ่วหุย จ้าวชิงเหยา และคนอื่น ๆ ได้โจมตีอย่างดุเดือด และตามหลังเฉินซีอย่างใกล้ชิด

สมบัติศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

เคล็ดวิชาที่ลึกล้ำขั้นสูงสุดถูกซัดออกมามากมาย

ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์อันน่าตื่นตาและงดงามกวาดไปโดยรอบ

การต่อสู้ปะทุขึ้น เกิดปรากฏการณ์สะท้านฟ้าสะเทือนดิน จนทำให้โลกดับแสง ที่แห่งนี้ได้กลายเป็นทุ่งสังหารอันโกลาหลวุ่นวาย และเทียบได้กับการต่อสู้ของเหล่าทวยเทพในยุคบรรพกาล!

ฉากการต่อสู้ดังกล่าวถือได้ว่าหาได้ยากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เฉินซีและคนอื่น ๆ ที่เป็นจ้าวเอกภพได้ผนึกกำลังต่อสู้ร่วมกัน ซึ่งฉากดังกล่าวไม่ได้ปรากฏในแดนเทพโบราณมาเป็นเวลานานมากแล้ว

ในทางกลับกัน ศัตรูของพวกเขานั้นมากมายมหาศาล และทรงพลังราวกับกองทัพ พวกมันเปี่ยมด้วยพลังดุร้ายที่ไม่มีใครเทียบได้ ก่อตัวเป็นมวลหนาแน่นดูไร้ขอบเขต และเติมเต็มทุกซอกทุกมุมของสมรภูมินี้

ฉากการต่อสู้ที่น่าตกใจดังกล่าว เพียงพอที่จะก่อให้เกิดภัยพิบัติที่คาดไม่ถึงและทำลายทุกสิ่ง หากมันเกิดขึ้นในแดนเทพโบราณ!

ฆ่า!

เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว

ฆ่า!

เสียงคำรามและเสียงกู่ร้องสั่นสะเทือนสรวงสวรรค์

ฆ่า!

สวรรค์และปฐพีต่างเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม

ในขณะนี้ จิตต่อสู้ของเฉินซีและคนอื่น ๆ กำลังลุกเป็นไฟ พวกเขาเป็นเหมือนกระบี่ลมที่แข็งแกร่งและดุร้ายที่สุด คมอย่างไม่มีใครเทียบได้ ฟาดฟันใส่กองทัพศัตรูอย่างบ้าคลั่ง

ทุกที่ที่พวกเขาผ่าน แขนขาถูกสะบั้นกระเด็นขึ้นฟ้า เลือดหลั่งไหลดุจสายน้ำ ประหนึ่งฉากนองเลือดของนรกอเวจี

โลกอันกว้างใหญ่นี้ตกอยู่ในความโกลาหล เหล่าทวยเทพต่างเดือดดาล ฝนโลหิตโปรยปราย เต๋าส่งเสียงดังกึกก้อง และทุกสิ่งตกอยู่ในความวุ่นวาย…. ฉากและปรากฏการณ์ที่น่าตกใจทุกประเภทได้ปรากฏขึ้นที่นี่

นี่ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นสงคราม!

สงครามที่โหดร้ายและนองเลือด!

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัว แม้ว่าเฉินซีและคนอื่น ๆ จะรุกคืบไปอย่างข้างหน้าอย่างไม่ยากเย็น และเข่นฆ่าศัตรูจนดับดิ้น แต่สถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่ก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นเลย

เนื่องจากมีสิ่งมีชีวิตที่ดุร้ายมากเกินไป!

พวกมันก่อตัวเป็นมวลหนาแน่นที่พุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ทันทีที่กลุ่มหนึ่งถูกกำจัดออกไป อีกกลุ่มหนึ่งก็จะพุ่งเข้ามา ราวกับว่าพวกมันไม่มีที่สิ้นสุด และไม่สามารถทำลายล้างได้อย่างสมบูรณ์

เมื่อรวมกับเอกภพในร่างที่มีขนาดใหญ่กว่าจ้าวเอกภพคนอื่น ๆ ถึงเก้าเท่า เขาจึงสามารถยืนหยัดได้นานกว่าคนอื่น ๆ หลายเท่า

เดิมทีคนอื่น ๆ ล้วนเป็นห่วง และคิดว่าเฉินซีทำอะไรเกินตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็ค่อย ๆ สังเกตเห็นว่าสภาพร่างกายของเฉินซีไม่ได้แสดงสัญญาณเหนื่อยล้าเลยสักนิด

นอกจากรู้สึกตกใจกับสิ่งนี้แล้ว พวกเขาก็อดโล่งอกไม่ได้

ถึงขั้นที่ความวิตกกังวลและความหนักใจสลายหายไป หลังจากที่พวกเขาได้เห็นพลังอันไร้ผู้เปรียบที่เฉินซีเปิดเผย

สามวันผ่านไป

ห้าวันผ่านไป

สิบวันผ่านไป

หลังจากผ่านไปสิบห้าวัน กลุ่มของเฉินซียังคงอยู่ในการต่อสู้

แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถคำนวณได้อย่างแน่ชัด ว่าพวกเขาได้สังหารศัตรูไปกี่คนแล้ว

ทว่ากลับยังไม่เห็นสัญญาณใด ๆ ที่บ่งบอกว่าการต่อสู้นี้ใกล้จะสิ้นสุดเลยสักนิด!

หากเป็นบุคคลที่มีจิตใจอ่อนแอ ป่านนี้ความมั่นใจของคนผู้นั้นจะต้องสั่นคลอนอย่างหนัก และสิ้นหวังถึงขีดสุด

อย่างไรก็ตาม พวกเฉินซีไม่ได้เป็นเช่นนั้น

จนถึงจุดหนึ่ง จิตใจของพวกเขาด้านชา เข่นฆ่าจนไม่มีความคิดใดหลงเหลืออยู่ในใจ

เพราะถ้าอยากรอด ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด!

ตึ้ม! ตึ้ม!

กลองตะบันเทพดังก้องกังวาน เสียงของมันเหมือนเสียงฟ้าร้องขณะที่พัดพาไปทั่วบริเวณ

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อาเหลียงได้ช่วยเหลือพวกเขาอย่างต่อเนื่อง กลองตะบันเทพและไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์แห่งการเผาผลาญที่นางครอบครองนั้น เป็นสิ่งที่ปราบปรามสัตว์อสูรจ้าววิญญาณเหล่านั้นได้โดยธรรมชาติ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า นางให้การสนับสนุนเฉินซีและคนอื่น ๆ ในการต่อสู้เป็นอย่างมาก

แต่ถึงอย่างไร อาเหลียงอยู่ที่ขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาลเท่านั้น หลังจากต่อสู้อย่างต่อเนื่องมาหลายวัน พลังของนางก็ใกล้จะเหือดแห้งแล้ว และมันส่งผลร้ายต่อนางในการช่วยเหลือพวกเขาในการต่อสู้

“อาเหลียง เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ที่เหลือปล่อยให้เราจัดการเอง คงไม่สายเกินไปที่จะต่อสู้ หลังจากที่เจ้าฟื้นตัวดีแล้ว” เฉินซีสังเกตเห็นอาการของอาเหลียงอย่างเฉียบแหลม และเขาสั่งให้นางพักผ่อนทันที

หลังจากนั้น เฉินซีก็หายใจเข้าลึก ๆ ไม่เพียงแต่แววตาของเขาจะปราศจากความอ่อนล้าใด ๆ แต่มันยังส่องประกายเจิดจ้า

เคร้ง!

ยันต์ศัสตราฉีกอากาศอย่างต่อเนื่อง หากใครพิจารณาอย่างรอบคอบ ก็จะสังเกตเห็นว่าหลังจากการต่อสู้มาเป็นว่าครึ่งเดือน อานุภาพของเต๋าแห่งกระบี่ของเฉินซีกลับไม่อ่อนลงเลย ตรงกันข้าม มันกลับค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้น

มันจวนจะทะลุทะลวง!

เขาอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียว!

ความรู้สึกอันแข็งแกร่งพุ่งขึ้นในใจของเฉินซี เหมือนกับว่าเขาได้คว้าปัจจัยสำคัญอย่างแน่นหนา และตราบใดที่ถึงเวลาที่เหมาะสม การบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ของเขาก็จะสามารถทะลวงไปสู่ระดับใหม่ได้อย่างสมบูรณ์!

ซึ่งนั้นคือขอบเขตจักรพรรดิกระบี่ระดับที่สี่!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]