เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1942

บทที่ 1942 สามสมบัติพลันเกิดปฏิกิริยาประหลาด

………………..

บทที่ 1942 สามสมบัติพลันเกิดปฏิกิริยาประหลาด

สิ่งที่เฉินซีกังวลเป็นพิเศษนั่นคือ การเปลี่ยนแปลงในหนังอสูรมันชี้มาที่หุบเหวตรงหน้านี้!

พริบตานั้น เฉินซีก็เข้าใจ รู้ดีว่าไม่ว่าตนเองจะระวังเพียงไหน แต่สุดท้ายก็ตกอยู่ในกับดักของหวังจงจนได้!

“แปลกจริง! หุบเหวแห่งนี้ดูไร้ก้น คล้ายว่าดูดกลืนได้ทุกสิ่งอย่าง น่ากลัวกว่าหุบเหวเก้าวิญญาณแห่งแดนเทพโบราณเสียอีกนะ”

“นี่เรา… อยู่ที่ไหนกันแน่?” เย่เฉินและคนอื่น ๆ ก็เห็นเหวสุดประหลาดนี้เช่นกัน บนใบหน้าจึงปรากฏความสับสน

“ที่นี่คือพื้นที่ลึกลับซึ่งลือกันว่ามีความลับมหาวิถีแห่งเต๋าซุกซ่อนอยู่อย่างไรเล่า!” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วอธิบายเสียงเรียบ

ว่าไงนะ!? ทุกคนตกตะลึงไม่อยากเชื่อ

ตู้ม!

ก้อนเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเฉินซี มันแผ่ใส่หนังอสูรจนสว่าง ไม่กี่ชั่วอึดใจ มันก็ถูกเผาไหม้จนไม่เหลืออะไรอีก

พอทุกคนเห็นดังนี้แล้วก็เข้าใจทันทีว่าเฉินซีพูดถูก!

แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ทำไมสุดท้ายถึงมาอยู่ที่นี่ได้?

เพราะเฉินซีพามาทางตรงข้ามมาโดยตลอด!

แล้วเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?

ในใจพวกเขาเกิดลางไม่ดีขึ้นมา

“เราตกหลุมพรางมันแล้ว หากเดาไว้ไม่ผิด ไม่ว่าจะไปทางไหนสุดท้ายก็จะต้องมาจบที่นี่อยู่ดี” ตอนนี้เฉินซีกลับคืนสู่ความสุขุมแล้ว นัยน์ตาฉายแววเยือกเย็น “เพราะทุกสิ่งอย่างในแดนรวนเรลืมเลือนถูกพลังลึกลับเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไร้ความเป็นระเบียบเรียบร้อยอีก ดังนั้นไม่ว่าจะไปทางไหนก็ไร้ประโยชน์”

“เช่นนั้นพวกนอกรีตนั่นก็จงใจพาเรามาที่นี่หรือ?” สืออวี๋มีสีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย

“ก็คงจะเป็นแบบนั้น” เฉินซีเดินไปตรงหน้าเหว มองมันน้ำตกเพลิงที่รินจากฟ้าลงสู่ก้นเหวอย่างเงียบเชียบ

ไม่นานก็ยิ้มเอ่ยว่า “แต่ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน เราฉวยโอกาสนี้สืบหาว่าความลับมหาวิถีแห่งเต๋าอยู่ที่นี่จริงหรือไม่จะดีกว่า”

ทุกคนชะงักไป ไม่รู้ว่าเฉินซีคิดอะไรอยู่กันแน่

เฉินซีเองก็ไม่คิดอธิบาย เพียงแต่ชี้ไปที่ก้นเหว “เราอาจจะต้องเข้าไปในนี้เพื่อแสวงโชคเรื่องมหาวิถีแห่งเต๋า ทุกคนเต็มใจจะไปกับข้าหรือไม่?”

“ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว หากไม่ลงไปดูก็คงน่าเสียดาย” จ้าวชิงเหยาคลี่ยิ้มเอ่ยอย่างไม่ลังเล

“เจ้าไม่กลัวว่าที่นี่เป็นกับดักที่พวกนอกรีตวางไว้งั้นหรือ?” คงโหยวหรานถามขึ้น

ที่นางลังเลเป็นเพราะนางยังมีความสงสัยอยู่ พวกนอกรีตนั่นคงไม่พาพวกนางมาถึงที่นี่โดยไร้เหตุผลหรอก

“หากพวกมันอยากลงมือกับเราจริง ก็ไม่เห็นต้องลำบากมากมายเช่นนี้” เฉินซีเอ่ยง่าย ๆ แต่ไม่ได้อธิบายอะไร

“ในเมื่อเจ้าสนใจ พวกเราไปกับเจ้าด้วยก็ได้” หลังจากคิดอยู่นาน คงโหยวหรานก็พยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วพวกเจ้าเล่า?” เฉินซีมองอวี้จิ่วหุยกับเย่เฉิน

เย่เฉินยิ้มกล่าว “ใครจะไปสนว่าที่นั่นมันที่ไหนกันเล่า! หากไม่ได้ไปดูข้าคงเสียใจไปจนวันตาย”

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” อวี้จิ่วหุยพยักหน้า

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็พักผ่อนฟื้นฟูพลังที่นี่ก่อน พอแข็งแรงกันดีแล้วค่อยออกเดินทาง!” เฉินซีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ทุกคนจึงพยักหน้าให้กัน ทั้งกายทั้งใจพวกเขาตอนนี้เหนื่อยล้าจากการต่อสู้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา เหนื่อยจนแทบเข่าทรุด ดังนั้นจึงไม่คิดเสี่ยงลงมือทันทีทันใด

พวกเขาจึงนั่งลงทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังทันที

ก่อนหน้านี้พวกเขาตรวจสอบและเห็นแล้วว่าในระยะแสนลี้นั้นไร้อันตรายใด

เฉินซีนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเหวลึก ฟื้นฟูพลังไปก็ครุ่นคิดไปเงียบ ๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่ง

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าออกนอกรีตไม่ได้มองพวกเขาเป็นแค่เหยื่อ เขาเดาว่าก็มันคงจะอยากได้อะไรบางอย่างจากพวกเขา

อีกอย่าง สิ่งที่พวกนอกรีตอยากได้คงจะซุกซ่อนอยู่ในหุบเหวลึกลับแห่งนี้เป็นแน่!

หรือพวกมันก็อยากได้ความลับมหาวิถีแห่งเต๋าที่อาจจะอยู่ใต้นี้เหมือนกัน?

หรือจะมีเหตุผลอื่น?

เฉินซียังคิดไม่ออก แต่เขามั่นใจว่าพวกนอกรีตต้องยืมมือคนอื่นเช่นนี้ พวกมันเองคงไม่สามารถหาของสิ่งนั้นได้เอง คงจะต้องยืมมือผู้บ่มเพาะจากแดนเทพโบราณเช่นพวกเขา

นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่พวกนอกรีตยอมลำบากล่อให้พวกเขามาถึงที่นี่

แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่เฉินซียังไม่ได้บอกคนอื่น เขาคาดเดาไว้คร่าว ๆ แล้วว่าพวกนอกรีตนั่นคงจะซ่อนตัวอยู่แถวหุบเหวแห่งนี้เป็นแน่!

ส่วนสาเหตุที่ต้องซ่อนตัวนั้น เฉินซียังไม่รู้ แม้จะใช้พลังอักขระผนึกเต๋าก็ตาม

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เฉินซีก็ยิ่งระมัดระวังตัวขึ้น ศัตรูอาจซ่อนอยู่ในเงามืด แต่เขากลับหาไม่พบ ดังนั้นจึงต้องระวังไว้ก่อน

ทุกสิ่งอย่างกลับคืนสู่ความสงบ

ที่ขอบรอบนอกของหุบเหว พวกสิ่งมีชีวิตดุร้ายล่าถอยไปแล้ว ก่อนที่พวกมันจะหายวับไป

“ในที่สุดพวกมันก็มาแล้ว ฮ่า ๆ! แผนการสำเร็จไปกว่าครึ่ง ถึงเวลาวางกับดักล้อมแล้ว….” ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมา พร้อมกับพลังผันผวนที่ปรากฏ ก่อนหวังจงในชุดคลุมสีแดงเลือดจะพาร่างในชุดดำเดินแหวกห้วงมิติออกมา

หวังจงเดินเอามือไพล่หลังมาริมเหว นัยน์ตาดั่งหลุมดำจับจ้องมา แผ่แววลึกลับน่าหวาดกลัวออกมาพร้อมกัน

ผ่านไปหลายชั่วอึดใจเขาจึงเอ่ยคำว่า “หุบเหวทัณฑ์หายนะแห่งนี้ไม่ธรรมดา แค่ประตูแห่งวันโลกาวินาศก็ทำให้ความพยายามนับครั้งไม่ถ้วนของเราไร้ผล จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจทำอะไรมันได้ แต่ครั้งนี้มันคงจะต้องเปิดทางให้พวกเราแล้ว!”

พูดจบ น้ำเสียงหวังจงก็เจือแววตื่นเต้น ขนาดว่าสั่นสะท้านอยู่เล็กน้อย

“วันโลกาวินาศ!”

“วัฏจักรแห่งการเกิดใหม่!”

“กรรมทัณฑ์!”

“หากประตูนั่นเปิดออก เผ่าพันธุ์ของเราก็จะได้ชีวิตใหม่ เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ผ่านห้วงยุคที่งอกงามและล่มสลาย!”

คล้ายกับว่าความโหยหาที่สั่งสมอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจมานานหลายปีได้ถูกปลดปล่อย ทำให้ใบหน้าของเขาดูกระจ่างใสอย่างน่าประหลาด

เวลาผ่านไปอีกสักหน่อย หวังจงจึงกลับคืนสู่ความสงบ

“อย่าเพิ่ง!” หวังจงโบกมือเอ่ยเสียงขาด “รออีกหน่อย กลิ่นอายประตูแห่งวันโลกาวินาศยังไม่แผ่ออกมา หากลงมือตอนนี้ศัตรูจะรู้ตัวเอาได้”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ถอนหายใจ “หากเราปล่อยให้พวกมันมีโอกาสอีกนิด เราก็จะมีโอกาสทำสำเร็จได้มากกว่า จะใจร้อนไม่ได้….”

ร่างชุดดำทั้งหลายจึงเงียบไป

หวังจงพลันถาม “ใช่แล้ว หลายปีมานี้พวกเจ้าเห็นเจียหนานบ้างหรือไม่?”

ร่างชุดดำส่ายหน้าพร้อมกัน

ส่งผลให้หวังจงมุ่นคิ้วพึมพำว่า “พระจากนิกายพุทธโบราณนั่นมีเนตรจิตใจ รู้เรื่องอยู่บ้าง เขาไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนแล้วนะ?”

จากนั้น หวังจงก็ส่ายหน้า ไม่คิดสนใจผู้ที่เอาแต่ขัดขวางเขานับตั้งแต่การถกวิถีเต๋าเริ่มต้นขึ้นคนนั้นอีก

หวังจงจ้องไปยังหุบเหวลึก หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เขาก็เลิกคิ้วขึ้น นัยน์ตาฉายแววตกใจ ก่อนจะเผยอริมฝีปากออกเล็กน้อยเอ่ยคำว่า “ได้เวลาลงมือแล้ว!”

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]