เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1943

บทที่ 1943 กระดูกขาวเรียงรายเช่นสมุทร

………………..

บทที่ 1943 กระดูกขาวเรียงรายเช่นสมุทร

หุบเหวนั้นลึกไร้ก้นบึ้ง กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต

ขณะที่เฉินซีและคณะเหาะเหินภายในนั้น พวกเขาเห็นเพียงความมืดมิด มิอาจเห็นสิ่งอื่นใดโดยแท้จริง ประหนึ่งหุบเหวนั้นว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์

ที่นี่ก็เงียบงันอย่างยิ่งเช่นกัน ประหนึ่งมาถึงยังโลกหล้าอันไม่คุ้นเคย

โลกหล้าแห่งนี้มีทัศนียภาพเดียว ว่างเปล่า

ดูไร้ขอบเขต ไร้ทิวทัศน์ ไม่มีสิ่งใดให้อ้างอิงถึง มันว่างเปล่าและเงียบสงัด

ยามสรรพสิ่งว่างเปล่า ก็ดูราวไร้ขอบเขต!

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินซีและคณะมาถึงสถานที่ประหลาดเช่นนี้ แม้พวกเขาจะไม่ได้พบอันตรายใด ๆ ตลอดทาง พวกเขาก็มิกล้าผ่อนคลายลงเลย

กลับกัน เมื่อกาลเวลาไหลผ่าน พวกเขามุ่งลึกลงสู่หุบเหว ในใจพวกเขายิ่งบังเกิดเค้าความพรั่นพรึงเกินนิยาม

ราวมีอันตรายยิ่งยวดบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดแห่งหุบเหว

หากเป็นผู้บ่มเพาะผู้อื่นคนใด พวกเขาคงขวัญเสียกับสถานที่ลึกลับเช่นนี้จนหันหลังกลับทางเดิมไปแล้ว

ทว่านั่นมิใช่กลุ่มของเฉินซี

ทุกสิ่งที่นี่ไม่เพียงพอให้พวกเขากลัวจนเสียขวัญ หรือหนีไปอย่างลนลาน

ในทางกลับกัน ยิ่งที่นี่ลึกลับ พวกเขายิ่งฉงนใจใคร่รู้ สงสัยว่าที่นี่จะซ่อนความลับแห่งมหาวิถีไว้จริง ๆ

ฉับ!

เฉินซีและคณะโผนทะยานไม่หยุดพักผ่านมิติ พลิ้วกายผ่านเวหา เสียงสายลมหวีดหวิวนี้ฟังดูเสียดแทงโสตเป็นพิเศษในบรรยากาศอันเงียบงัน

หนึ่งชั่วละเลียดชาผ่านไป เฉินซีซึ่งนำคณะพลันหยุดชะงัก “ระวัง!”

หัวใจของคนอื่น ๆ สะท้าน ยามเบนสายตามองตาม พวกเขาก็พบว่ามีหมอกสีเทาสายหนึ่งคืบคลานปกคลุมบริเวณแสนไกลจากพวกเขา

มันดูเลือนรางเช่นเส้นด้ายบาง ม้วนตัวท่ามกลางสุญญะอย่างไม่หยุดนิ่ง ดูนุ่มนวลสง่างาม

พลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋า!

พลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋ากลายสภาพสู่สสาร!

ในอดีต พวกเขาเคยทะลวงผ่านพลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋ามาก่อนยามแปรสภาพดูดซับแก่นแท้เอกภพ ทว่าพลังทัณฑ์สวรรค์นั้นไร้ลักษณ์ไร้สี ไร้ปราณรัศมีใด ๆ จึงไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ทว่าพลังทัณฑ์สวรรค์ตรงหน้าพวกเขานี้กลายสภาพเป็นหมอก มองเห็นจับต้องได้ มันเป็นสีเทา ฟุ้งกระจายพร่ามัว นอกจากนั้น แม้จะดูนุ่มนิ่มอ่อนโยน ทว่ามันสุดแสนอันตราย!

สีหน้าของพวกเขาเคร่งเครียด ไร้ผู้ใดคาดฝันว่าอันตรายด่านแรกที่ประสบหลังเข้าสู่หุบเหวลึกลับนี้จะเป็นกลุ่มพลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋าอันก่อตัวเป็นม่านหมอก

แม้มันจะดูนุ่มนวล อ่อนโยน และสุขุม หมอกทุกสายก็น่าจะเพียงพอสังหารพวกเขาสิ้นซากในพริบตา!

ขณะนี้ กระทั่งเฉินซียังรู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้านั้นยากรับมืออยู่นิดหน่อย เขาสืบพลังทัณฑ์สวรรค์ด้วยฤทธิ์อักขระผนึกเต๋า แม้จะสามารถสั่นคลอนพลังทัณฑ์สวรรค์สีเทาทึบนั้นได้อย่างสุดแสนยากลำบาก ก็ยังสุดยากเย็นที่เขาจะพาคนทั้งคณะฝ่าไปด้วยกันได้

เขากระทั่งตัดสินได้ว่าพลังทัณฑ์สวรรค์นี้แข็งแกร่งกว่ากำแพงทัณฑ์สวรรค์ที่พบหน้าแก่นแท้เอกภพทั้งเก้าที่ตนดูดซับแปรสภาพเมื่อกาลก่อนมากนัก

“หือ?” ขณะที่คิ้วของเฉินซีขมวดเข้าหากัน เขาก็เหลือบไปเห็นว่าในพลังทัณฑ์สวรรค์อันดูเหมือนม่านหมอกปกคลุมบริเวณแสนไกลนั้นมีรอยแยกอยู่หนึ่งแห่ง!

รอยแยกนั้นคดเคี้ยว ซุกซ่อนอยู่หลังม่านหมอกเทา หากไม่สังเกตดี ๆ ก็ยากแท้สังเกตพบ

วูบ!

ร่างของเฉินซีวูบไหวมายังหน้ารอยแยก หลังจากพินิจมันอย่างระมัดระวังเนิ่นนาน ม่านตาของเฉินซีก็หดตัว เผยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อยอย่างอดมิได้

ขณะเดียวกัน คนอื่น ๆ ก็เร่งตามกันเข้ามาเมื่อสังเกตเห็นพฤติกรรมผิดปกติของเฉินซี พวกเขาต่างอดแสดงความประหลาดใจเล็กน้อยออกมาไม่ได้ยามสังเกตเห็นรอยแยกในม่านหมอกสีเทา

“ข้าว่าเราทั้งหลายคงสังเกตเห็นกันหมดแล้วว่ามีผู้มาถึงที่นี่ก่อนเรา” เฉินซีสูดหายใจลึก ก่อนจะกล่าวเสียงขรึมเข้ม

“หรือจะเป็นพวกผู้ผิดบาปเหล่านั้น?” เย่เฉินดูเหมือนจมในความคิด

“ไม่ใช่!” เฉินซีตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย จากการอนุมานของเขา เหล่าผู้ผิดบาปน่าจะกำลังซ่อนตัวในที่ลับ มองหาโอกาสลงมือ ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะมาเบิกทางให้เช่นนี้

“เช่นนั้น ควรเป็นผู้ใดเล่า?” คนอื่น ๆ ต่างงุนงง

“ไม่ว่าผู้ใด เราเข้าไปเดี๋ยวคงรู้เอง” เฉินซีกล่าวรัวเร็ว “ก่อนหน้านี้ ข้าพินิจแล้ว หากเราเดินตามรอยแยกนี้ เราก็จะผ่านที่นี่ไปได้อย่างปลอดภัย”

“เช่นนั้นก็ไปกันเลย” คนอื่น ๆ ไร้ข้อโต้แย้งยามได้ยินเช่นนี้ ทว่าพวกเขายิ่งทวีความระมัดระวัง แม้จะมีรอยแยกให้แทรกตัวผ่าน แต่หมอกก็เคลื่อนตัวไม่หยุดนิ่ง การระวังไว้ก่อนจึงย่อมไม่เสียหาย

เฉินซีนำทางพวกเขาเข้าสู่รอยแยกทันที

ทั้งคณะเครียดเขม็งไปตลอดทาง ระมัดระวังถึงขีดสุด กลัวยิ่งนักว่าจะมีม่านหมอกเทากำซาบซึมร่าง

โชคยังดีที่บริเวณอันปกคลุมด้วยพลังทัณฑ์สวรรค์สะกดเต๋ามิได้ใหญ่นัก เพียงครู่เดียว พวกเขาก็ข้ามผ่านมันมาได้อย่างปลอดภัย

เมื่อพวกเขาหนีพ้นบริเวณสุดอันตรายนี้มาได้ พวกเขาหลายคนก็อดผ่อนหายใจโล่งอกกันไม่ไหว ประหนึ่งเพิ่งก้าวพ้นประตูนรกมา

วิ้ง! วิ้ง!

แล้วจึงกล่าวว่า “ทุกท่านน่าจะมีคำถามมากมายหลังจากเดินทางมาจนถึงที่นี่ แม้ความรู้ของข้าจะมีจำกัด แต่ก็ยังเต็มใจช่วยคลี่คลายข้อกังขาเหล่านี้”

เฉินซีและคณะผ่อนคลายลงเล็กน้อยยามได้ยินเช่นนี้ เจียหนานยังคงเป็นเจียหนานคนเดิมที่พวกเขารู้จัก หามีการเปลี่ยนแปลงใดไม่

“เราอยู่ที่ใดกันหรือ?” สืออวี๋เป็นคนแรกที่ไม่อาจยั้งตนมิให้ถามออกไปได้

“หุบเหวทัณฑ์หายนะ” เจียหนานตอบกลับราวคาดไว้แล้ว “จากคำร่ำลือ ความลับแท้จริงแห่งมหาวิถีถูกซ่อนไว้ที่นี่ และยังผนึกหายนะอันเพียงพอล้างยุคสมัยเอาไว้ด้วย”

หุบเหวทัณฑ์หายนะ!

หัวใจของพวกเขาสั่นสะท้านยามได้ยินข่าวลือที่เจียหนานกล่าวถึง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินว่า นอกจากจะมีความลับแท้จริงแห่งมหาวิถี สถานที่แห่งนี้ยังแฝงหายนะอันเพียงพอล้างยุคสมัยปัจจุบัน!

นี่เป็นสิ่งที่พวกเขารู้สึกน่าขันเล็กน้อย

ล้างยุคสมัย?

มิได้หมายความหรือว่ากระทั่งแดนเทพโบราณทั้งหมดก็จะถูกล้างไปด้วย? ตลกน่า! แดนเทพโบราณเผชิญกาลเวลายาวนานเกินนับ กล่าวได้ว่าเป็นแดนดินอนันตกาลอันยืนยง มันจะถูกทำลายไปเช่นนั้นได้อย่างไร?

“ข่าวลือก็คือข่าวลือจริง ๆ น่าขันเชื่อไม่ได้” เย่เฉินยังคงลอยชาย ส่ายหัวพึมพำ

เจียหนานมิได้โต้แย้ง เขาทำเพียงเงียบ

คงโหยวหรานถาม “เช่นนั้น สถานที่อันปกคลุมด้วยกระดูกนี้เล่าคือที่ใด? เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

พริบตานั้น ทุกคนต่างเงี่ยหูฟัง เพราะพวกเขาต่างก็ตกตะลึงงุนงง

“ที่นี่คือสถานที่ตั้งประตูแห่งวันโลกาวินาศ” เจียหนานชี้ไปยังกองกระดูกขาว กล่าวเสียงแผ่วเบาสุขุม “โครงกระดูกเหล่านี้ กว่าครึ่งเป็นของทายาทเชื้อสายจ้าววิญญาณโบราณจากยุคก่อน ขณะที่ส่วนน้อยมาจากผู้บ่มเพาะในแดนเทพโบราณ”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวต่อ “ไม่ว่าจะเป็นเหล่าทายาทจ้าววิญญาณโบราณหรือผู้บ่มเพาะจากแดนเทพโบราณ พวกเขาล้วนแต่มาที่นี่เพื่อเปิดประตูแห่งวันโลกาวินาศ หวังบรรลุโชคอันยิ่งใหญ่บางอย่าง แต่พวกเขาทั้งหลายต่างล้มเหลว ตกตายที่นี่ในที่สุด”

ประตูแห่งวันโลกาวินาศ! ทายาทจ้าววิญญาณโบราณจากยุคก่อน! ยามพวกเขาทอดสายตามองกองกระดูกอันกระจัดกระจายไร้สิ้นสุดรอบกาย ได้ยินความลับที่เจียหนานเปิดเผย หัวใจของพวกเขาก็สะท้านเกินสงบเล็กน้อย

พวกเขามาเพื่อเปิดประตูแห่งวันโลกาวินาศ แต่สุดท้ายก็ตกตายลงที่นี่? เช่นนั้น ความลับตะลึงโลกใดซุกซ่อนอยู่หลังประตูแห่งวันโลกาวินาศเล่า?

ขณะเดียวกัน เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองเจียหนานซึ่งยืนอยู่ไกล ๆ “เจียหนาน เล่าทุกสิ่งที่เจ้ารู้ให้เราฟังได้หรือไม่?”

ระหว่างเขาและเจียหนานมีความสัมพันธ์กันเล็กน้อย แม้จะมิได้สร้างสัมพันธ์แน่นแฟ้น ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็กล่าวไม่ได้อยู่ดีว่าธรรมดา ถึงขนาดที่หากพินิจดี ๆ เขาก็ยังติดหนี้เจียหนานอยู่ก้อนใหญ่

เพราะเจียหนานคือผู้ใช้สมบัติลับนิกายพุทธช่วยชีวิตเจิ้นหลิวชิงเมื่อกาลก่อน!

ดังนั้นในยามนี้ เฉินซีจึงไม่มีทางเชื่อลงว่าเจียหนานจะจงใจหลอกพวกเขา

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]