เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1952

บทที่ 1952 คนต่อไป!

………………..

บทที่ 1952 คนต่อไป!

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น ดูเหมือนอาลูเย่จะไม่ได้คาดคิดว่าการควบคุมเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบของเฉินซี จะบรรลุถึงขั้นนี้แล้ว

เต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบและกฎเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งจุดจบ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

อันหนึ่งเป็นเพียงเต๋ารู้แจ้ง ในขณะที่อีกอันเป็นกฎ และมันเป็นแม้แต่กฎเต๋าศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ แม้ว่ารากเหง้าของพวกมันจะเหมือนกัน แต่อานุภาพกลับแตกต่างในเชิงคุณภาพ

ในความคิดของอาลูเย่ มันเป็นไม่ได้ที่เฉินซีจะควบคุมเต๋ารู้แจ้งแห่งจุดจบได้ เนื่องจากแดนเทพโบราณจะไม่ยอมให้กฎแห่งจุดจบมีอยู่ ซึ่งการมีอยู่ของมันเป็นสิ่งต้องห้าม!

ในฐานะจ้าววิญญาณจากยุคก่อน อาลูเย่ได้บ่มเพาะในแดนเทพโบราณมาเป็นเวลานานแสนนาน ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

ดังนั้นจึงยากที่จะเขาคาดคิดว่า เฉินซีรอดชีวิตมาได้อย่างไร เมื่อได้รับพลังดังกล่าว และกลายเป็นอัจฉริยะที่ไร้เทียมทานในแดนเทพโบราณ!

ผู้กอบกู้แห่งยุค แผนภาพวารีหลาก จุดจบ…. มีความลับกี่ประการที่ซุกซ่อนอยู่ในคนผู้นี้? เหตุใดเขาจึงไม่เหมือนกับผู้กอบกู้แห่งยุค?

ในขณะนี้ อาลูเย่รู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเข้าใจในตัวเฉินซีน้อยเกินไป!

ถึงขั้นที่เขารู้สึกว่าเฉินซีเป็นตัวประหลาดที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้!

จุดจบ!

เมื่อชื่อของสิ่งต้องห้ามดังกล่าว ลอดเข้าหูของสืออวี๋ และคนอื่น ๆ มันก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนในหัวใจของพวกเขาอย่างห้ามไม่ได้

อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ต่างจากผู้อาวุโสในอดีต พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่า พลังของจุดจบจะน่ากลัวถึงเพียงนี้

ในทางกลับกัน นอกจากรู้สึกตกใจแล้ว พวกเขายังรู้สึกประหลาดใจที่เฉินซีสามารถควบคุมพลังดังกล่าวได้

เพราะมันคือพลังแห่งจุดจบ!

มันเป็นพลังที่สามารถปลูกฝังความกลัวไว้ในหัวใจของเหล่าทวยเทพ และเพียงแค่คิดถึงมันก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นในใจพวกเขา!

แน่นอนว่าเป็นเพียงความรู้สึกของสืออวี๋และฉินซินฮุยเท่านั้น ถ้าเป็นผู้อาวุโสคนอื่น ๆ จากแดนเทพโบราณ ปฏิกิริยาของคนคน นั้นคงไม่เป็นเช่นนี้

วันโลกาวินาศอยู่ในมหาหุบเหว กรรมแห่งสังสารวัฏจะตื่นขึ้น….

เขาตายแล้ว

หลังจากการตายของจ้าววิญญาณอัคคีอมตะ เลี่ยฟูหลัว สั่วหลินซึ่งมาจากเผ่ามนตราภูตพรายแปดกรก็เสียชีวิตในการต่อสู้เช่นกัน!

บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ อาลูเย่และคนอื่น ๆ ตกตะลึง ซึ่งเป็นยากที่จะยอมรับว่าสั่วหลินผู้ที่พลังน่าเกรงขามอย่างยิ่งในหมู่พวกเขา จะถูกสังหารแล้วจริง ๆ!

ในทางกลับกัน ฝั่งสืออวี๋กลับ รู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง

มีเพียงเฉินซีเท่านั้นที่ยังคงสงบ ในขณะที่เขายืนอยู่บนแท่นสังเวยวิญญาณมนตรา ร่างของเขาเหยียดตรงเหมือนต้นสนที่หยั่งรากอยู่ในพื้นดิน

แท้จริงแล้ว เขาสามารถฆ่าสั่วหลินได้ตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ ทว่าเขากลับไม่ทำเช่นนั้น และต่อสู้กับสั่วหลินครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อตรวจสอบว่าพวกนอกรีตจากยุคก่อนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

ตอนนี้เขาได้ประเมินคร่าว ๆ ในใจแล้ว

“คนต่อไป!” สายตาของเฉินซีดุจสายฟ้าที่พัดผ่านกลุ่มของอาลูเย่ และเสียงอันเย็นชาของเขาก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

“สามหาว!” อาลูเย่เยาะเย้ยอย่างเย็นชา

“เลิกพล่ามคำไร้สาระ! หากเจ้าไม่พอใจก็ขึ้นมาต่อสู้กับข้า!” เฉินซีกล่าวอย่างกระชับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหยิ่งผยองและอหังการ

ก่อนหน้านี้ พวกนอกรีตเหล่านี้จองหองพองขน และเหยียดหยามพวกเขาทุกคนที่เป็นผู้บ่มเพาะของแดนเทพโบราณ มิหนำซ้ำ ยังกักขังคงโหยวหราน เย่เฉิน และคนอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งเหยื่อต่ำต้อยไร้ค่า

ดังนั้นในขณะนี้ เฉินซีกำลังเผชิญหน้าอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน ล้างความอัปยศที่ได้รับ พร้อมทั้งระบายความเกลียดชังและความเดือดดาลในใจให้หมดสิ้น

“รนหาที่ตาย! เจ้าคิดว่าจะอยู่ยงคงกระพัน เพียงเพราะเจ้าเข้าใจพลังของจุดจบหรือ!?”

ก่อนที่อาลูเย่จะทันได้ตอบสนอง ร่างที่มีศีรษะเป็นงูและปกคลุมด้วยเกล็ดของทายาทเผ่ามนตราปีศาจอสรพิษคำรนอย่างอิงหลงก็บดขยี้ความว่างเปล่า และพุ่งเข้าสู่แท่นสังเวยอย่างรวดเร็ว

โครม!

ร่างของอิงหลงสั่นสะท้าน ก่อนที่แขนจะเปลี่ยนเป็นแส้ยาวลี้ครึ่งคู่หนึ่งที่อาบไล้ไปด้วยแสงสว่าง และอักขระอันลึกลับ ทั้งยังวูบวาบด้วยรัศมีแห่งการทำลายล้างอันแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว

“ตายซะ!” เขาคำรามเสียงดังลั่นพร้อมกับโจมตีโดยตรง ซึ่งแสดงถึงการตัดสินใจที่เฉียบขาดของเขา ทันใดนั้น จิตสังหารก็ทะลักเข้าใส่แท่งสังเวย

เพียะ! เพียะ!

แส้เริงระบำไปบนท้องฟ้าดุจโซ่แห่งระเบียบที่อยู่ในมือของจ้าวผู้ครองสวรรค์ มันฟาดเข้าใส่ปฐพีและทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า แขนที่แปรสภาพเป็นแส้ยาวลี้ครึ่งได้เผยให้เห็นถึงฉากแห่งการทำลายล้าง ราวกับเป็นวันโลกาวินาศ!

ซวย!

เฉินซีไม่ได้หลบ ท่าทางยิ่งอหังการมากขึ้น ยันต์ศัสตราพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า แผ่พุ่งปราณกระบี่สีม่วงทองที่เปล่งประกายอย่างไร้ขอบเขต

การโจมตีทั้งหมดของสั่วหลินถูกทำลายด้วยเพลงกระบี่เพียงกระบวนท่าเดียว!

“เขตแดนผนึกปีศาจ! บดขยี้มันซะ!” อิงหลงคำรามเสียงดังลั่น ใช้พลังอิทธิฤทธิ์โดยกำเนิด ร่ายมนตร์พร้อมกับคลื่นเสียงสีดำอันน่าสะพรึงพัดพาออกไป ย้อมฟ้าดินกลายเป็นสีดำสนิท

เห็นได้ชัดว่าคลื่นเสียงนี้ควบแน่นและไม่กระจายไป มันใช้แขนของอิงหลงเป็นกรอบ เพื่อสร้างกรงสีดำที่ถูกปกคลุมไปด้วยคราบเลือดแห้งกรัง

ภายในกรง คลื่นเสียงนั้นราวกับเสียงคำรามของมังกร และมันสร้างปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวทุกประเภท เช่น เทพหลั่งน้ำตาสีแดงฉาน ปราชญ์ร้องคร่ำครวญอย่างโศกา และทุกสิ่งตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย

เมื่อมาถึงจุดนี้ บุคคลที่แข็งแกร่งเป็นอันดับที่สามในหมู่จ้าววิญญาณได้ถูกทำลายล้างแล้ว!

สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสนิท ในขณะที่บรรยากาศกดดันจนหายใจไม่ออก

เมื่อเทียบกับตอนที่เขาสังหารสั่วหลินแล้ว อิงหลงก็พ่ายแพ้เร็วกว่ามาก เพิ่งก้าวเท้าเข้าสู่สนามรบ ใช้พลังอิทธิฤทธิ์โดยกำเนิด จากนั้นก็ถูกทำลายล้างทันที รวดเร็วจนผู้ที่รับชมไม่ทันหายจากอาการตกใจ

ทั้งหมดนี้ทำให้ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเฉินซีดูน่าตกใจยิ่งขึ้น เขาเป็นเหมือนเทพสงครามที่ทรงพลังและไม่มีใครเทียบได้ ทุกที่ที่ปลายกระบี่ชี้ไปก็ไม่มีใครหยุดยั้งได้!

สิ่งนี้น่าตกใจ ทำให้สีหน้าของอาลูเย่และคนอื่น ๆ เคร่งขรึม

หากกล่าวว่าเลี่ยฟูหลัวเสียชีวิตจากความประมาทของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสั่วหลินหรืออิงหลง พวกเขาก็ถูกเฉินซีบดขยี้อย่างสมบูรณ์ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว!

ในฐานะจ้าววิญญาณที่เป็นผู้ขัดเกลากายา พวกเขามีความสามารถในการฟื้นฟูที่แทบจะเป็นอมตะ แต่พวกเขาก็สูญเสียความได้เปรียบนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเผชิญกับพลังจุดจบที่เฉินซีครอบครอง!

“คนต่อไป!” ท่ามกลางความเงียบงัน เฉินซีกล่าวอย่างไม่แยแสอีกครั้ง ท่าทีดูเหนือกว่าและอหังการยิ่ง มิหนำซ้ำยังทำตามที่กล่าวทุกประการ เขาตั้งใจที่จะทำลายล้างพวกนอกรีตทั้งหมดที่ยืนอยู่ตรงหน้าให้สิ้น

“บังอาจ!” อาลูเย่และคนอื่น ๆ กัดฟันด้วยสีหน้าดำหมอง และสายตาที่จ้องเขม็งไปยังเฉินซีก็อัดแน่นด้วยความโกรธ

ในขณะนี้ พวกเขาเดือดดาลต่อท่าทางที่อหังการของเฉินซีเช่นกัน!

“อะไรกัน? พวกเจ้าทุกคนเงียบทำไม? หรือพวกนอกรีตอย่างเจ้าหวาดกลัว?” เฉินซีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอย่างยิ่ง

วาจาเหล่านี้ได้หยามศักดิ์ศรีของอาลูเย่และคนอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่เมื่อใดที่สิ่งมีชีวิตที่พวกเขาคิดว่าเป็นเหยื่อต่ำต้อยกลับกล้าเยาะเย้ยพวกเขา?

“อิงหลวน ถอยกลับมา ให้ข้าสังหารเจ้าเด็กนั้นเอง!” ร่างในชุดคลุมดำอีกร่างตวาดด้วยเสียงทุ้มลึก และชุดคลุมที่เขาสวมอยู่ก็ถูกเผาไหม้จนเผยให้เห็นร่างที่ดูเหมือนทำจากเหล็กและแวววาวดุจเงาโลหะ

“เท่อเวิน จะดีกว่าถ้าเป็นคู่ต่อสู้ของมันเอง! เจ้าเด็กนี้ได้ขัดเกลาและดูดซับแก่นแท้เอกภพทั้งเก้าแห่ง ทั้งยังครอบครองพลังของจุดจบ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ข้าชอบจริง ๆ หากฆ่ามันได้ มันจะทำให้ข้าสามารถดูดซับพลังจัาววิญญาณแห่งการทำลายล้างที่ไร้ที่ติมากยิ่งขึ้น!”

ในเวลาเดียวกัน ร่างชุดคลุมดำอีกร่างหนึ่งก็ก้าวไปข้างหน้า พล่างกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและเสียดหู

“มดต่ำต้อยเหล่านี้กลับกล้าสังหารสายเลือดจ้าววิญญาณโบราณของเราจริง ๆ พวกมันสมควรตายนัก!” ร่างชุดคลุมดำอีกคนก็กล่าวเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าพวกมันโกรธเคืองอย่างมาก และไม่สามารถนิ่งเฉยเหมือนตอนนี้ได้

ทว่าเฉินซีกลับดูเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ และไม่ได้กล่าวอะไรนอกจากนี้ เพียงกล่าวซ้ำคำเดียวอย่างไม่แยแส “คนต่อไป!”

ไม่ว่าจะท่าทาง คำพูด หรือว่าน้ำเสียงดังกล่าว มันกลับเป็นการยั่วยุที่ไม่อาจอภัยให้ได้ในสายตาของอาลูเย่และคนอื่น ๆ ส่งผลให้จิตสังหารของพวกเขาพลุ่งพล่านอย่างควบคุมไม่ได้

ในทางกลับกัน สืออวี๋และคนอื่น ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก

ตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น ฝ่ายของพวกเขาก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง สหายถูกจับจนตกอยู่ในชะตากรรมอันน่าสังเวช ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

บัดนี้ เฉินซีได้รับชัยชนะในการต่อสู้สามครั้งติด และมันก็เหมือนกับว่าเฉินซีได้ปัดเป่าม่านหมอก เพื่อให้แสงแดดส่องกระทบใบหน้าของพวกเขา มันสลายความเสียใจและความหดหู่ที่พวกเขาประสบอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งยังทำให้เลือดในกายเดือดพล่าน

มุมปากของอาลูเย่กระตุกยิก แสงเย็นเยียบฉายออกมาจากดวงตา เขาหยุดลังเลและตัดสินใจทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]