เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1956

บทที่ 1956 จำนงเช่นคมมีด

………………..

บทที่ 1956 จำนงเช่นคมมีด

ตาข่ายอันเย็นเฉียบ พร่างพราวเช่นแสงดาวนั้นย่อมไม่พ้นตาข่ายครอบคลุมสวรรค์

แม้ร่างของไป๋มู่เฉินจะฟื้นกลับมาหลังถูกมันรัดพัน เขาก็มิอาจดิ้นรนคืนอิสระได้ไม่ว่าจะทำเช่นไร

“อ๊าก!!” ยามตาข่ายหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดไป๋มู่เฉินก็รู้สึกสะพรึง แผดเสียงร้องดังลั่นอย่างน่าเวทนา สุดแสนไม่ยินยอมพร้อมใจ

เขาพยายามแปลงสภาพเป็นละอองน้ำเล็กจ้อยเพื่อหนีจากตาข่าย แต่แล้ว เขาก็ต้องสิ้นหวังเมื่อสังเกตพบว่าตาข่ายนั้นเหมือนเป็นกำแพงเหล็กอันปกคลุมด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้ทุกความพยายามของเขาเสียเปล่า

เปรี้ยง!

ท้ายที่สุด ภายใต้สายตาตกตะลึงทุกคู่ ร่างของไป๋มู่เฉินก็ถูกตาข่ายพันธนาการ แปลงสภาพเป็นก้อนวารีขนาดเท่ากำปั้น แล้วจากนั้น เฉินซีก็เหวี่ยงเขาให้กับสืออวี๋

ยามนี้ ไป๋มู่เฉินพ่ายยับเยิน!

“คนต่อไป!” จิตสังหารพล่านพลุ่งทั่วกายเฉินซีอย่างไม่คิดปิดบังอีกต่อไป อาภรณ์และเส้นผมพัดสะบัด ยืนนิ่งไม่ขยับ เผยบรรยากาศยิ่งใหญ่เหนือปวงชน

“เฉินซี ท้ายที่สุดชะตาเจ้าก็ต้องตายที่นี่ เหตุใดต้องดื้อดึงขัดขืน?” ขณะหนึ่งเสียงแผ่วเบาอันมีแรงดึงดูดเฉพาะตัวดังขึ้น บุคคลชุดดำอีกคนก็ไหวร่างขึ้นมา แปรสภาพเป็นหญิงงามจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ผิวกายขาวเนียนเช่นหิมะ

อักขระประหลาดอันดูเหมือนเถาวัลย์เขียวขนดพันทั่วนภา สรรพสิ่งกราบกรานบนพื้นตราอยู่ที่กลางหน้าผากนาง ดูประหนึ่งรอยสักหรือลวดลายโบราณอันเรืองเรื่อด้วยรัศมีเฉิดฉัน

เฉินซีสังเกตได้ว่าสตรีนางนี้ไม่ธรรมดา เพราะปราณจากร่างของนางร้ายกาจเสียยิ่งกว่ายามรุ่ยเหวินและไป๋เจอผนวกกำลัง

“เจ้าคงไม่รู้ว่ายุคสมัยนี้มาถึงจุดจบแล้ว โลกาวินาศกำลังจะมา ถึงยามนั้น ทุกสิ่งในโลกหล้าจะถูกทำลาย สรรพชีวิตพินาศสิ้น มีเพียงเราจ้าววิญญาณโบราณเท่านั้นที่จะอยู่รอด” สตรีนางนั้นมิได้เปิดศึกอย่างร้อนใจ กลับพูดช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์แทน “การดิ้นรนของเจ้าต่อเรายามนี้ ไม่ฉลาดเอาเสียเลย”

อาลูเย่ขมวดคิ้วอย่างดูไม่ชอบใจ แต่สุดท้ายก็มิได้แย้งห้าม

“เจ้าก็แค่พูดข่มให้กลัวเท่านั้นเอง!” มุมปากเฉินซียกยิ้มเดียดฉันท์

“ไม่เลย เจ้าไม่เข้าใจ เราจ้าววิญญาณโบราณรอดจากยามยุคก่อนถูกทำลายได้ เราย่อมเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ดีกว่า” สตรีผู้นั้นมีสีหน้าสุขุมจริงจัง ดูสุดแสนจริงใจ “ยามนี้ ข้าตัดสินใจให้โอกาสเจ้าได้ ขอเพียงเจ้าเข้าพวกกับเรา มิเพียงเจ้าจะรอดจากหุบเหวทัณฑ์หายนะได้ เจ้ายังจะเสี่ยงหายนะพินาศโลกาที่จะเกิดกับยุคสมัยนี้ยามโลกาวินาศปรากฏได้ด้วย เจ้าจะยืนยงไปกับเราเชื้อสายจ้าววิญญาณโบราณ!”

เฉินซีนิ่งไป ประหลาดใจเล็กน้อยที่นางพยายามทาบทามเขาในยามนี้

“น่าขันสิ้นดี! ข้าไม่มีวันฝากชะตาข้าไว้กับใคร!” เฉินซีกล่าวเสียงเย็น “อีกอย่าง หากข้าฆ่าพวกเจ้า ผู้ผิดบาปที่ตั้งใจจะชักนำหายนะสู่โลกหล้ามิได้ อยู่ไปจะมีความหมายหรือ?”

สตรีนางนั้นส่ายหน้ารำพึง “เจ้าผิดแล้ว จนบัดนี้ เจ้าก็ยังไม่อาจเข้าใจว่าหายนะแห่งยุคสมัยน่าสะพรึงกลัวเพียงไร มันเป็นสถานการณ์อันเกินหยุดยั้ง! มิเพียงเจ้า ทุกคนในโลกหล้าก็ไม่อาจหลีกหายนะสิ้นยุคสมัยพ้น! ถึงยามนั้น เจ้าจะไม่คิดเลยว่าข้าแค่พูดข่มให้เจ้ากลัว”

นางเว้นช่วงเล็กน้อย จึงกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้ เจ้าก็เห็นประตูแห่งวันโลกาวินาศแล้ว รู้หรือไม่ว่านั่นหมายความเช่นไร?”

เฉินซีขมวดคิ้ว เขาไม่อาจคิดออกว่าสตรีผู้นี้ตั้งใจใช้ลูกไม้ใด

“ผิดแล้ว หายนะยุคสมัยนี้ไม่ใช่ว่าหยุดมิได้!” ขณะนั้นเอง เจียหนานกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พูดออกมาเสียงเบา “ในเมื่อมหาวิถีมิเคยปรากฏในยุคสมัยตราบนาน มันจะปรากฏในยุคนี้อย่างแน่นอน ขอเพียงมีผู้ดำเนินไปถึงสุดทาง ทุกอันตรายก็จะสลายตัว ชะตาหนึ่งยุคสมัยก็ก่อขึ้นใหม่ได้!”

มหาวิถี! มันจะปรากฏขึ้นในยุคสมัยนี้! มิใช่เพียงเฉินซีที่ตกตะลึงยามได้ยิน จ้าววิญญาณโบราณคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน พวกเขาเผยสารพัดสีหน้า ความคิดในใจแปรปรวนแตกต่าง

“ต่อให้ที่เจ้าพูดจะเป็นจริง….” สตรีนางนั้นสูดหายใจลึก “จนบัดนี้ ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดในแดนเทพโบราณทำได้เช่นนั้นกระมัง?”

สีหน้าของเจียหนานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้ใดทำได้เลย จากที่ข้ารู้ ตัวตนสูงสุดบางคนในห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิเฉียดเข้าใกล้มันแล้ว!”

“เป็นไปไม่ได้!” คราวนี้ ผู้พูดกลายเป็นอาลูเย่ สีหน้าของเขาเย็นเยียบเช่นน้ำแข็ง กล่าวอย่างแฝงความเหยียดหยาม “ข้าอยู่ในแดนเทพโบราณมาหมื่นแปดพันปี ยืนยันได้นานแล้วว่าไร้พวกตัวตนสูงสุดอะไรนั่นทำได้แม้เพียงหนึ่ง!”

“เจ้าเคยไปสามภพด้วยหรือ?” เจียหนานตอบด้วยคำถาม

สามภพ? อาลูเย่ผงะ ก่อนที่จะหัวเราะขำอย่างเย้ยเยาะ “ที่สวะพรรค์นั้นเทียบอะไรกับแดนเทพโบราณมิได้เลย เหตุใดข้าต้องเสียเวลากับมัน?”

สามภพ…. ยามนี้ หัวใจของเฉินซีอดสั่นสะท้านมิได้ นึกย้อนถึงความลับมากมายขึ้นมา

“เจ้าไม่เคยไป ดังนั้น… เจ้าไม่เข้าใจหรอก” แล้วเจียหนานก็ไร้วจีใดต่อ

“ฮึ!” อาลูเย่แค่นเสียงเย็นอย่างเดียดฉันท์ รู้สึกว่าเจียหนานจงใจพูดจาคลุมเครือเพื่อหลอกตน

“เฉินซี เจ้าพิจารณาเสร็จแล้วหรือยัง? ยามนี้ข้าชี้ทางรอดให้เจ้าอยู่ เป็นโอกาสเดียวของเจ้า ต้องไตร่ตรองให้ดีนะ” ขณะเดียวกัน สตรีผู้สุดจิ้มลิ้มพริ้มเพราก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

“ข้าพิจารณาแล้ว” สีหน้าของเฉินซีเฉยชา

เห็นเช่นนี้ สตรีนางนั้นก็ขมวดคิ้ว แต่ก็ยังถาม “ตัดสินใจเช่นไร?”

“ก่อนพิจารณาว่าหายนะยุคสมัยมีจริงหรือไม่ ข้าจะฆ่าเจ้าพวกผู้ผิดบาปให้สิ้นก่อน!” เฉินซีสาวเท้าเข้าใกล้นางทีละก้าว แดนดินสั่นสะท้านรุนแรง แยกระแหงปริแตกชวนสะพรึง

สตรีนางนั้นกล่าวต่อ “เจ้าจะไม่พิจารณาอีกจริง ๆ หรือ?”

เฉินซีใช้การกระทำเป็นคำตอบ

เปรี้ยง!

ปราณกระบี่สายหนึ่งเหินสู่เวหา เจิดจรัสเรืองรอง เฉียบขาดไร้ปรานี

จำนงของนางคมกริบเช่นมีดกรีดวิญญาณ อำนาจคำสาปอันลึกลับน่าสะพรึงกลัวนั้นไร้ลักษณ์ ไม่อาจขัดขืนได้

เห็นได้ชัดว่าการใช้อำนาจเช่นนี้ค่อนข้างสิ้นเปลืองพลังสำหรับอามั่วอวิ้น ขณะที่นางยังคงรัวคำสาปต่อเนื่อง ใบหน้าจิ้มลิ้มของนางก็ซีดขาวลง ทั่วร่างชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

จ้าววิญญาณโบราณผู้หนึ่งกล่าวเร็วจี๋ “อามั่วอวิ้นกำลังสู้ยิบตา ตั้งใจบดขยี้เฉินซีในศึกนี้!”

“หากนางทำสำเร็จ ไม่ยิ่งดีหรือ?” ประกายโหยหาเจือปลาบปลื้มเรืองขึ้นในดวงตาของอาลูเย่ เขาดูร้อนใจอยากเห็นยามเฉินซีถูกบดขยี้ใจจะขาด

ไม่นานนัก โลหิตพลันรินหลั่งจากหว่างคิ้วของเฉินซี ทั่วร่างชะงักราวเป็นรูปปั้น ยืนนิ่งไม่ไหวติง

ฟ่าว!

เมื่อเห็นเช่นนี้ แสงสว่างสายหนึ่งพลันวาบในดวงตาของอามั่วอวิ้น ขณะที่ตัวนางเจียนสิ้นแรงเต็มที

พริบตาต่อมา ร่างของนางก็วูบไหว เถาวัลย์เขียวเจิดจรัสปรากฏจากซอกนิ้ว พุ่งเข้าใส่เฉินซีอย่างไร้สุ้มเสียง

เป้าหมายคือลำคอของเฉินซี!

หัวใจของพวกสืออวี๋กระตุกวูบ ร่างของพวกเขาชะงักเกร็ง อดร้องลั่นเพื่อเตือนเฉินซีถึงการโจมตีนี้มิได้

เปรี้ยง!

ทว่าขณะนั้นเอง เฉินซีพลันลืมตาขึ้น ยันต์ศัสตรากวาดขนานเส้นขอบฟ้า

หนึ่งเสียงระเบิดเลื่อนลั่น เถาวัลย์เขียวจากมืออามั่วอวิ้นระเบิดเป็นเสี่ยง ขณะที่ร่างของนางถูกฟาดกระเด็นเยี่ยงถูกพายุหอบ นอกจากนั้น นางยังกระอักเลือดไม่จบสิ้น ย้อมอาภรณ์จนแดงฉาน

ผู้ชมทั้งหลายรายล้อมต่างตกตะลึง สุดแสนไม่อยากเชื่อ

เหตุเกินคาดฝันนี้กะทันหันเกินไป ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าเฉินซีจะฟื้นสติเฉียบพลัน ณ ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน และทำให้อามั่วอวิ้นบาดเจ็บสาหัสในทันที

“เป็นไปไม่ได้!” เสียงหวีดแหลมของอามั่วอวิ้นกึกก้องในสมรภูมิ เจือความสิ้นหวังและไม่ยินยอมสุดซึ้ง

นางหาตระหนักไม่ว่าทุกสิ่งเป็นแผนการของเฉินซี การโจมตีวิญญาณของนางน่าสะพรึงกลัวจริงแท้ แต่วิญญาณของเฉินซีแข็งแกร่งสุดขั้วและยังมีการคุ้มกันจากอักขระผนึกเต๋า มันจึงไม่อาจสั่นคลอนได้เลย

ถึงขนาดกระทั่งที่โลหิตจากหว่างคิ้วของเขายังเป็นกลลวงที่เฉินซีใช้หลอกนาง!

“ไสหัวไป!” ขณะนี้ สายตาของเฉินซีเย็นเยียบไร้อารมณ์ ดุดันดุจอัสนี วาดเหวี่ยงกระบี่จู่โจม ฟาดร่างของอามั่วอวิ้นกระเด็นไปกองกับพื้นตรงหน้าสืออวี๋ นอกจากนั้น กระดูกทั่วร่างของนางยังหักไปเกินนับท่อน ทำให้นางหมดสติไปโดยพลัน

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]