บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 196

บทที่ 196 เซียนสวรรค์ผู้กลับมาเกิดใหม่

บทที่ 196 เซียนสวรรค์ผู้กลับมาเกิดใหม่

“ไอ้เด็กสกปรกอยู่นี่เอง!” เผยจงและเซวี่ยเฉินก็สังเกตเห็นเฉินซีเช่นกัน ในขณะที่เผยจงนิ่วหน้า เซวี่ยเฉินกลับทำเสียงหัวเราะหึอย่างเย็นชา “คราวก่อนข้าปล่อยให้เจ้าหนีไปได้ คราวนี้ข้าจะดูสิว่าเจ้าหนีไปได้ไหม!”

ขณะที่ผู้พูดกล่าวดังนั้น เซวี่ยเฉินก็สะบัดมือออกครั้งหนึ่ง ภาพวาดสีน้ำเงินทั้งเก้าพลันพุ่งออกไปทันที บนพื้นผิวภาพทุกภาพเต็มไปด้วยลวดลายที่แตกต่างกัน บ้างเป็นหมอกและเมฆ เนินเขา สัตว์อสูรรวมทั้งอักขระโบราณโค้งงอ แต่โดยส่วนใหญ่จะมีนกกระเรียนสีขาวราวหิมะปกคลุมทั้งหมด ปีกเรียวยาวของมันดั่งใบมีด ส่วนหัวปรากฏมงกุฎสีแดงซึ่งเปล่งประกายสุกใสราวกับลูกไฟลุกโชน ในภาพเหล่านกกระเรียนขาวกำลังทำท่ากระพือปีกขณะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกมันเชิดหัวขึ้นพร้อมกับเปล่งเสียงร้องและมีบางส่วนที่แปลงร่างเป็นอักขระโบราณโค้งงอจึงยิ่งทวีความลี้ลับให้แก่ภาพวาดมากขึ้น

สิ่งที่น่าแปลกที่สุดคือกึ่งกลางภาพวาดทั้งเก้า เป็นร่างของชายชราผมขาวทว่ามีใบหน้าอ่อนเยาว์เคลื่อนไหวแวบไปแวบมา ซึ่งมันก็คือคู่ต่อสู้จากจินตนาการนั่นเอง ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวของมันทั้งทรงพลังและรวดเร็วเหมือนกระเรียนขาวกระพือปีก ทุกครั้งที่เขาซัดกำปั้นจะมีนกกระเรียนขาวจำนวนมากถลาร่อนออกมา ดูแล้วช่างน่าอัศจรรย์นัก

ทันทีที่ภาพวาดทั้งเก้าลอยออกมาจากเซวี่ยเฉิน พวกมันก็เคลื่อนที่หมุนรอบเสมือนวิถีวงโคจรของดวงดาว จากนั้นแรงกดดันมหาศาลก็กระจายเข้าหาเฉินซีทันที

“ภาพฝูงกระเรียนเก้าภูต!”

“สมบัติวิเศษระดับสูงสุดที่ก่อร่างเป็นค่ายกลใหญ่ด้วยสมบัติวิเศษระดับปฐพีที่เก้า!”

“นี่คือสมบัติวิเศษที่สืบทอดกันมาของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์แห่งที่ราบตอนกลาง ซึ่งเป็นการแปรสภาพที่จัดว่ายากที่สุด แม้แต่นิกายกระเรียนพิสุทธิ์เองก็ยังมีน้อยคนที่จะบรรลุผลสำเร็จในการแปรสภาพได้เช่นนี้ เขาลือกันว่าในการวาดภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตชิ้นนี้ คนวาดจะต้องใช้แก่นแท้ของโลหิตและวิญญาณของนกกระเรียนขอบเขตตำหนักอินทนิลผสานลงไปนับหมื่นตัว เมื่อการแปรสภาพสำเร็จ จิตวิญญาณของนกกระเรียนทั้งฝูงจะกลั่นอยู่ภายในภาพวาดจนเกิดเป็นพลังไร้ขีดจำกัด!”

“แม้ว่าภาพเหล่านี้อาจไม่ถึงกับเป็นสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ แต่เป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นสุดยอดทุกภาพ! พูดถึงพลังของภาพน่าเกรงขามยิ่งกว่าสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ทั่วไป หากมีสมบัติวิเศษชิ้นนี้มาใช้งาน คนผู้นั้นจะสามารถข้ามขอบเขตพลังของตนเอาชนะต่อสู้ที่พลังเหนือกว่าได้อย่างแน่นอน!”

“น่าเกรงขามนัก! สหายคนนั้นน่าจะเป็นศิษย์สายหลักของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์แห่งที่ราบตอนกลางเป็นแน่ เขาจึงได้มีภาพฝูงกระเรียนเก้าภูต น่าอัศจรรย์จริง ๆ!”

เวลานั้นมีผู้ฝึกบ่มเพาะพลังมาซื้อกระบี่ที่หอแสดงกระบี่หลายคน ทุกคนมัวสนใจเรื่องธุระของตน แต่พอเซวี่ยเฉินเผยภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตออกมา ทันใดนั้นเสียงร้องด้วยความตกใจก็ดังขึ้นภายในหอแสดงกระบี่ทันที

‘ไม่แปลกใจเลยที่จนถึงตอนนี้ศิษย์น้องเซวี่ยเฉินจะยังไม่บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์ เท่าที่ทราบส่วนตัว เขามีพรสวรรค์ไม่ด้อยกว่าข้า แต่กลายเป็นว่าเสียเวลาฝึกฝนการแปรสภาพภาพวาดฝูงกระเรียนเก้าภูตเหล่านี้ เพราะสมบัติล้ำค่าที่เขาครอบครองชิ้นนี้เอง อาจจะทำให้เขามีที่ยืนในการชุมนุมดาวรุ่งที่จะมีขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้า’ ขณะนั้นเผยจงที่อยู่ไม่ห่างออกไปกำลังมองอีกฝ่ายพลางครุ่นคิด

“เจ้าเด็กน้อย ยังพอมีเวลาส่งแก่นของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกมา! จากนั้นก็โขกศีรษะขอขมาข้าเสียดี ๆ และข้าก็จะไว้ชีวิตให้เจ้า มิฉะนั้นต่อให้ผู้พิทักษ์หอขุมทรัพย์สวรรค์จะออกมา ก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้!” ภายหลังจากสะบัดภาพวาดฝูงกระเรียนเก้าภูตออกมา ท่าทางภายนอกของเซวี่ยเฉินเปลี่ยนไป ผ้าคลุมนักพรตเต๋าสะบัดพลิ้วไปตามสายลม เสียงพูดที่ดังกังวานอย่างเฉพาะเจาะจงมุ่งไปที่เฉินซีแต่ผู้เดียว

“นิกายกระเรียนพิสุทธิ์เป็นนิกายขนาดใหญ่แห่งที่ราบตอนกลาง และพวกศิษย์เหล่านี้ก็ไม่ใช่คนดี ต่อไปถ้าพบเจอพวกมันอีกเห็นทีต้องระวังตัวให้มาก”

“เจ้าหนุ่มขอบเขตเคหาทองคำคนนี้เห็นทีคงจบสิ้นแล้ว แต่หากต้องตายด้วยวาดภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตก็น่าภูมิใจแล้ว เพราะคู่ต่อสู้ของเขาเป็นศิษย์สายหลักแห่งขอบแขตแกนทองคำหยินหยางของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์แห่งที่ราบตอนกลางซึ่งได้รับการยกย่องอย่างมาก เรียกว่าผู้ฝึกพลังขอบเขตเคหาทองคำคนนั้นห่างชั้นจนเทียบไม่ติดทีเดียว”

“จริง นิกายกระเรียนพิสุทธิ์เป็นนิกายที่ยิ่งใหญ่มากเสียด้วย ทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยวัตถุ ทรัพยากรและกรุสมบัติมหาศาล หอขุมทรัพย์สวรรค์ไม่น่าจะเห็นแก่เจ้าเด็กหนุ่มพลังขอบเขตเคหาทองคำธรรมดา ๆ คนนั้น”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนรอบข้างดังขึ้นด้วยความสนุกปาก ขณะแววตาที่มองไปยังเฉินซีกลับเต็มไปด้วยความสมเพชเวทนา พวกเขาต่างพากันส่ายหน้าแสดงความหนักใจ

“แก่นของค้างคาวมังกรโลหิตหกปีกข้ากลืนเข้าไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องจะให้โขกศีรษะขอขมานั้น… มีแต่คนงั่งไร้สมองเท่านั้น จึงพูดจายโสโอหังออกมาเช่นนี้” เฉินซีโต้ตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย ทว่าในใจกระตุกวูบด้วยจับสังเกตได้ว่าบัดนี้ตนถูกพลังอำนาจของภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตจนขยับไม่ได้!

“ไอ้เด็กเหลือขอ การบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำอย่างเจ้ากล้ามาหาว่าข้าเป็นเจ้างั่งไร้สมองอย่างนั้นหรือ เจ้ามันรนหาที่ตายแล้ว!” ยามนี้อารมณ์ของเซวี่ยเฉินเดือดจัด ฉับพลันปรากฏแสงพุ่งวาบออกมาจากร่างกาย จากนั้นก็เอื้อมมือขยุ้มลงกลางศีรษะของเฉินซีอย่างรุนแรง “ภายใต้อำนาจของภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตอย่างนี้ เจ้าหนีไม่รอดหรอก ตายเสีย!”

ขวับ!

เซวี่ยเฉินพลันตะปบด้วยกรงเล็บเสมือนนกกระเรียนศักดิ์สิทธิ์พุ่งจากสวรรค์ทั้งเก้า ทะลวงผ่านอากาศลงมา ยิ่งกว่านั้นตรงปลายนิ้วทุกนิ้วประจุไว้ด้วยพลังเต๋ารู้แจ้ง ซึ่งเป็นลวดลายอักขระโบราณหลากสีสันวูบวาบ เมื่อถูกจู่โจมตีด้วยกรงเล็บเช่นนี้ แทบจะทำให้เฉินซีหมดหนทางที่จะหลบเลี่ยงอย่างสิ้นเชิง!

พลังยิ่งใหญ่ของภาพฝูงกระเรียนเก้าภูตนั้นเหลือเชื่อนัก ทั้งกดดันเฉินซีจนไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้แม้จะพยายามดิ้นรนสุดชีวิตแล้วก็ตาม หากไม่มีภาพวาดเขาเชื่อแน่ว่าจะใช้พลังกายที่น่าเกรงขามของตนหลบหลีกการโจมตีได้ไม่ยากนัก แต่พอมีภาพวาดทั้งเก้าซึ่งเป็นสมบัติวิเศษระดับปฐพีชั้นสูง ทั้งยังก่อร่างเป็นค่ายกลใหญ่ทรงพลังน่าสะพรึงกลัว พลังกดดันที่สามารถดำเนินการได้ไม่ยากนี้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจุติ

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เฉินซีจะต้านทานได้อย่างไร

เป็นใครก็ต้องคิดว่าเฉินซีถูกยับยั้งไว้ได้อย่างสิ้นเชิง อีกไม่ช้า เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน

แต่ในฐานะคนที่กำลังเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ สีหน้าท่าทีของเฉินซีกลับสงบนัก อีกทั้งยังมีร่องรอยของความเยือกเย็นเจือความขรึมเคร่งในแววตาด้วยซ้ำ เวลานั้นฝ่ามือขนาดมหึมาที่แผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้าปรากฏขึ้นต่อหน้าเฉินซี ก่อนที่เซวี่ยเฉินจะตวัดกรงเล็บจู่โจมลงไปที่หน้าของชายหนุ่มทันที

โอม!

ประกายไฟพุ่งจากหอแสดงกระบี่ขึ้นสู่ท้องฟ้า ประหนึ่งว่ากระบี่เหล่านั้นรับรู้ถึงภยันตรายตรงหน้า จนบังเกิดเสียงกระหึ่มดังออกมา ฝ่ามือใหญ่มหึมาที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่ในขณะนี้แผ่รังสีโอ่อ่าตระการตาขึ้นไปบนท้องฟ้า มันได้ปลดปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างอันหนาแน่นและกลิ่นอายเร้นลับออกมา นั่นคือฝ่ามือมหาดารา

ขณะนั้น แม้ความยิ่งใหญ่ของฝ่ามือมหาดาราจะครอบคลุมพื้นที่ไม่ถึงหนึ่งหมู่ แต่พลังของมันก็แข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับพลังพิเศษของมหาหยิน มหาหยาง วายุและปราณจ้าววิญญาณสายฟ้า ทันทีที่ฝ่ามือปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าได้ปลดปล่อยกลิ่นอายเย็นเยือกน่าสะพรึงกลัว สั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบจนแหลกกระจัดกระจาย แม้แต่พลังรุนแรงของแผนภาพฝูงกระเรียนเก้าภูต ยังแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อฝ่ามือมหาดาราคว้าหมับที่ช่องอากาศว่างเปล่า มันได้จู่โจมเข้าที่เหนือศีรษะของเซวี่ยเฉิน ตามด้วยเหวี่ยงแรงเคลื่อนไหวออกไปด้วย!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]