บทที่ 1962 สังสารวัฏปรากฏ
………………..
บทที่ 1962 สังสารวัฏปรากฏ
พู่กันพิพากษามาร!
ปลายพู่กันดุจคมมีด เรืองประกายดุจมายา
เมื่อมันบรรจบเข้ากับหน้าสุดท้ายอันว่างเปล่าของระเบียนแดนมรณะ หนึ่งสายอำนาจอันเกินบรรยายพลันแผ่ออกจากปลายพู่กัน
หลังจากนั้น เขาก็ลากเส้นขีดลง ดุจหนึ่งอัสนีประทับตัวบนหน้าว่าง เผยบรรยากาศพิเศษเฉพาะ
ลายเส้นนี้คือกุญแจเปิดประตูสู่สังสารวัฏ!
ทันใดนั้น ทั่วทั้งแท่นสังเวยวิญญาณมนตราก็ตกอยู่ในบรรยากาศเคร่งขรึมเกินนิยาม หนักอึ้งและเงียบกริบ
โลกหล้าสงัดงัน
มิตินิ่งค้าง
ประหนึ่งสรรพสิ่งหยุดการเคลื่อนไหว
เสียงหัวเราะแผดก้องของอาลูเย่ก็นิ่งค้างไปเฉียบพลัน ร่างของเขาประหนึ่งหุ่นกระบอกไม้ซึ่งหยุดค้างกลางที่เก่า ม่านตาของเขาหดตัว ใบหน้าชะงัก สีหน้าสุดแสนตกตะลึง
เขาอยากส่งเสียง แต่กลับไม่อาจปริปากได้อีก
เขาอยากดิ้นรน แต่ก็สังเกตพบว่าเรี่ยวแรงของตนถูกสนามพลังลึกลับผนึกไว้ แม้สักนิ้วก็ไม่อาจกระดิก
ถึงขนาดที่ทุกสัมผัสยังถูกล่ามตรวน สิ้นกำลังเคลื่อนคำนึงในใจ!
ขณะนี้ อาลูเย่ทำได้เพียงทอดสายตามองอย่างจนหนทาง เขาไม่อาจควบคุมตนเองได้อีก ประหนึ่งชะตาของเขาไม่ได้อยู่ในกำมือตนอีกต่อไป!
ความรู้สึกสุดพรั่นพรึงพลันเอ่อขึ้นในใจ แผ่ซ่านทั่วสรรพางค์ดุจคลื่นเย็นเยียบ ชวนให้คิดว่าเลือดทั่วกายเจียนถูกแช่แข็ง ตกอยู่ในสภาวะพรั่นพรึงเกินบรรยาย
นี่คือ…. นี่มัน…. เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!! อาลูเย่แผดเสียงคำรามในใจ เขาดูเหมือนนักโทษจวนประหาร แผดเสียงอย่างสิ้นหวังท่ามกลางหุบเหวไร้ก้นบึ้ง เต็มไปด้วยความตระหนกและไม่ยินยอม
…
สืออวี๋และคณะก็ผงะไปเช่นกัน ประหนึ่งพวกเขาขวัญผวาจนคิดอะไรไม่ออก ตัวตนซึ่งมีการบ่มเพาะในระดับพวกเขา ไม่อาจมีปัจจัยภายนอกใดกระทบต่ออารมณ์ได้แล้ว
แต่ยามนี้….
หัวใจของพวกเขาถูกเกาะกุมแน่นหนาด้วยความตกตะลึง
พวกเขาไม่อาจหาเหตุผลใดมาอธิบาย รู้สึกเพียงฟ้าดินถิ่นนี้เจียนแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์ด้วยน้ำมือเฉินซี!
ยิ่งกว่านั้น การแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์นี้ยังเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยประสบมานับแต่เริ่มบ่มเพาะ!
เจียหนานดูยินดีก็ไม่ โศกเศร้าก็มิถูก เขาพึมพำด้วยสีหน้าสุดแปลกพิกล และกระทั่งเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมา “เกิดขึ้นแล้ว ในที่สุดมันก็จะเกิดขึ้นจริง… หลังจากกาลผ่านเนิ่นนานหลายยุคสมัย…. ในที่สุดมันก็จะปรากฏขึ้นในโลกหล้า…. เก้าคือหมายเลขแห่งจุดจบจริงแท้…. บรรพพุทธะไม่มีวันโกหกข้า….”
ครืด! ครืด!
ท่ามกลางบรรยากาศอันทุกสิ่งนิ่งงันเงียบสงัด มีเพียงเฉินซีที่ขยับไหว พู่กันพิพากษามารในมือเขาดูราวถูกประคองด้วยหัตถ์สวรรค์ วาดอักขระบนหน้าสุดท้ายของระเบียนแดนมรณะต่อ ๆ กัน
อักขระเหล่านั้นสะอาดสะอ้านดูธรรมดา ทว่ากลับลื่นไหลเช่นสายน้ำ นอกจากนั้น พวกมันยังให้บรรยากาศสูงส่งเป็นเอกลักษณ์ ดูมิใช่สิ่งที่เป็นของโลกใบนี้
ยามพวกมันทยอยกันปรากฏบนหน้ากระดาษว่าง ปรากฏการณ์มากมายก็เริ่มปรากฏเช่นกัน มีทั้งเส้นทางอันเรืองรองด้วยเปลวเพลิง ทะเลทุกข์ สนธยาแห่งจุดจบ หกวิถี นรกสิบแปดขุม เส้นทางปรภพไร้หวนกลับ โถงพิพากษายายเมิ่ง….
ปรากฏการณ์ทั้งหลายทับซ้อนผนวกเข้าหากันอย่างไม่รู้จบบนหน้ากระดาษว่าง ก่อขึ้นเป็นลายเส้นมากมายจากพู่กันพิพากษามาร
ยิ่งกว่านั้น ยามเรื่องทั้งหมดนี้บังเกิด บรรยากาศในฟ้าดินก็ยิ่งเงียบสงัดเคร่งขรึม สร้างอำนาจกดดันมหาศาลต่อหัวใจทุกดวง
น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
ขณะนี้ ไร้ผู้ใดขยับกายได้อีกแล้ว ทั้งพวกสืออวี๋ เจียหนาน กระทั่งอาลูเย่ผู้มีอำนาจเทียบจ้าวเอกภพเก้าดารายังไม่อาจเขยื้อนตัว
ถึงขนาดกระทั่งที่ ผู้ใดก็ตามที่นี่ล้วนสิ้นกำลังขยับเคลื่อน
นี่มันบรรยากาศอะไรกัน?
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเครียดขรึมแฝงความน่าสะพรึงกลัวยิ่งใหญ่ เจือด้วยความทรงศักดิ์สูงส่ง ไร้ผู้ใดกล้ากระทำตัวหยามหมิ่น เป็นปรากฏการณ์เด่นล้ำเกินครั้งใด!
วิ้ง!
ทันใดนั้น พู่กันพิพากษามารในมือเฉินซีก็หยุดเคลื่อนไหว เขาเคลื่อนมันออกห่างจากหน้าสุดท้ายของระเบียนแดนมรณะ ขณะเดียวกัน คลื่นพลังลึกลับสายหนึ่งก็กวาดออกมา
การเคลื่อนผ่านแห่งกาลเวลาไร้สิ้นสุด สรรพสิ่งเวียนผัน อดีตและปัจจุบัน… สรรพสิ่งดูเหมือนถูกก่อใหม่และเปลี่ยนเวียน
ให้ความรู้สึกราวพวกเขายืนอยู่ในจุดจบแห่งกาล ก้มลงมองดวงดาวและจันทราเรืองเคลื่อน สายธารไหลริน!
“สังสารวัฏ! เหตุใดสังสารวัฏสมควรตายนั่นจึงปรากฏ! ทำไม!? ทำไมกัน!?” ขณะนี้ อาลูเย่ไม่รู้ได้กำลังมาจากที่ใด เขาตะโกนลั่นอย่างตกใจ พรั่นพรึงและเดือดดาล
แต่เพียงพริบตา ร่างของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปราวตกอยู่ในวังวนวัฏสงสาร ผิวกาย วิญญาณ พลัง แก่นแท้ กระทั่งความแข็งแกร่งถดถอยลงอย่างมหาศาล!
ราวกับถูกจับย้อนเวลา พลังในกำมือถูกริบคืน นอกจากนั้น ชีวิตยังดูเหมือนถูกส่งกลับที่มา….
เพียงครู่สั้น ๆ ไม่กี่อึดใจ อาลูเย่ก็กลายสภาพเป็นเด็กน้อย ใบหน้าเหม่อลอย จิตใจไม่อยู่กับตัว
ประสบการณ์ของเขาสูญสิ้น ความแข็งแกร่งเหือดหาย ความทรงจำถูกย้อนคืนแสนไกล….
ขณะนี้ เขาเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง จำสิ่งใดตรงหน้าไม่ได้เลย รู้สึกเหม่อลอย รู้สึกอ้างว้างจากภายใน!
สิ่งนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เขาเป็นศัตรูฉกาจคนหนึ่งแท้ ๆ แต่เขากลับหลงลืมทุกสิ่ง กลับกลายเป็นเพียงเด็กน้อย เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เขามีอำนาจเทียบเท่าจ้าวเอกภพเก้าดารา ทว่าอำนาจเหล่านั้นกลับเหือดหาย กลายเป็นอ่อนแอยิ่งนัก
ทั้งเกียรติภูมิ ความทรงจำ ประสบการณ์ กระทั่งความลับอันถูกซุกซ่อนในก้นบึ้งหัวใจล้วนคืนสู่สุญตาระหว่างการเปลี่ยนแปลงอันชวนตะลึงเกินคาดนี้!
ทั้งหมดนี้ช่างน่าสงสารเพียงไร?
เขาไม่ทันสัมฤทธิ์หวัง แต่สรรพสิ่งก็กลายเป็นความว่างเปล่าในพริบตา!
สิ่งนี้โหดร้ายยิ่งกว่าฆ่ากันให้ตาย อย่างน้อยที่สุด ก่อนตายเขาก็ยังได้รู้ว่าศัตรูคือใคร ยังรู้สึกโกรธแค้นอาวรณ์เสียดาย
แต่ยามนี้ สรรพสิ่งเหมือนระเหิดสิ้น!
ในท้องนภาพร่างพราวอันไร้ขอบเขต ร่างของประมุขสำนักเต๋า หลิวเซินจีซึ่งนั่งสมาธิอยู่พลันสะท้าน เขาลืมตาโพลง จักรวาลหมุนคว้างในดวงตาลึกล้ำไร้ขอบเขตบังเกิดประกายกร้าว ดูประหนึ่งสามารถมองทะลวงความลับแห่งจักรวาลได้
ขณะที่หลิวเซินจีลืมตาขึ้นนั้นเอง มหาเทพเต๋าไฉ่หยา อู๋เซวี่ยฉาน มหาเทพเต๋าเสวี่ยหลิง มหาเทพเต๋าซูถัวและมหาเทพเต๋าเซวียนหมิงก็พลันลืมตาโพลงเช่นกัน
พวกเขาทำสมาธิที่นี่มาหลายปี รอคอยให้สิบปีผ่านพ้น พวกเขาจึงร่วมมือเปิดทางเชื่อมสู่แดนรวนเรลืมเลือนอีกครั้งเพื่อพาเหล่าศิษย์ตนกลับมา
ทว่าขณะนี้ สิบปียังมาไม่ถึง แต่พวกเขาก็สังเกตเห็นสิ่งอื่นขึ้นพร้อมกันจนตื่นจากสมาธิ เห็นได้ชัดว่าหาใช่เรื่องธรรมดาไม่
“การเปลี่ยนแปลงเกินคาดคิด ชวนตะลึงยิ่งเกิดขึ้นแล้ว!”
“มันคืออะไรกันแน่?”
“หัวใจของข้าเต้นไม่เป็นส่ำ… ผ่านมากี่ปีแล้วกันหนอ? ข้าคิดว่าจะไม่ได้เผชิญสถานการณ์นี้อีกแล้วเสียอีก”
“เป็นเรื่องดีหรือร้ายกันหนอ?”
อู๋เซวี่ยฉานและคณะเงียบไปขณะครุ่นคิดในใจสุดกำลัง แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าการอนุมานทำนายของพวกเขาพร่ามัวป่วนปั่น ไม่อาจหาเบาะแสใด ๆ พบได้เลย
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของพวกเขายิ่งทวีความเคร่งขรึม กระทั่งเครียดเขม็งเล็กน้อย เพราะเป็นเรื่องหายากยิ่งที่ตัวตนอย่างพวกเขาไม่อาจมองทะลุปริศนาใด!
มหาเทพเต๋าไฉ่หยาคาดเดา “หรือจะเป็นเพราะปริศนาแท้จริงแห่งมหาวิถีปรากฏแล้ว?”
เปลือกตาคนอื่น ๆ กระตุกวูบ หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็มิใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
“หลับหูหลับตาเดาไปก็เท่านั้น เหตุเกินคาดนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง ข้าเกรงว่าจากนี้ แดนเทพโบราณจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น….” หลิวเซินจีลุกขึ้นทอดสายตามองสุญญะอันปั่นป่วนสุดขั้วจากไกล ๆ ก่อนจะทอดถอนใจ
เขาเหมือนจะสังเกตเห็นบางสิ่ง แต่มิกล้ายืนยันมัน น้ำเสียงจึงฟังดูสุดแสนมีลับลมคมใน
หลิวเซินจีเป็นตัวตนผู้เทียบชั้นประมุขเขาเทพพยากรณ์ ประมุขตำหนักเต๋าหนี่หวา ประมุขนิกายอำนาจเทวะ และประมุขสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้ ในเมื่อกระทั่งเขายังพูดจาเช่นนี้ พวกอู๋เซวี่ยฉานจึงสงบวาจา ต่างคนครุ่นคิดในใจ
“บางที… เราอาจได้ประจักษ์สัจธรรมยามเด็กน้อยเหล่านั้นกลับมา!” หลิวเซินจีนั่งกลับลงไป คืนสู่สมาธิอีกครั้งหลังพูดจบ
อู๋เซวี่ยฉานและคณะมองหน้ากัน หัวใจมิอาจสงบได้เนิ่นนาน พวกเขาล้วนคาดเดาไปว่าคำพูดของหลิวเซินจีเมื่อครู่หมายความเช่นไร
เหตุเกินคาดนี้ซับซ้อนอย่างยิ่ง?
เหตุเกินคาดนี้คืออะไรกันแน่?
…
ขณะนี้ หนึ่งเหตุเกินคาดคิดก็บังเกิดขึ้นแสนไกลจากแดนเทพโบราณ ณ ภูเขาผนึกเทพ!
เทียบอันดับเทวาซึ่งปกคลุมด้วยความโกลาหลเหนือนภาตลอดกาลพลันเริ่มส่งเสียงครืนโครมสนั่นโลกา ปรากฏลักษณ์เหนือโลกหล้า เรืองรองเจิดจรัส ดูประหนึ่งถูกอำนาจบางอย่างท้าทายโทสะ มิสร่างรัศมีไปเนิ่นนาน
เหตุนี้กระตุ้นให้ตัวตนทรงอำนาจซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่รอบ ๆ เทวาคารบรรลุเทพตื่นตัวกันทันที
พวกเขาต่างฟื้นจากภวังค์สมาธิ เบนสายตามายังเทียบอันดับเทวาตาม ๆ กัน
ท้ายที่สุด หนึ่งความคิดก็ปรากฏในใจพวกเขาอย่างพร้อมเพรียง หนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังมา!
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...