เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1971

บทที่ 1971 โรงฝึกยุทธ์หยาดขจี

………………..

บทที่ 1971 โรงฝึกยุทธ์หยาดขจี

ยุทธ์!

นี่คือ ‘ชื่อ’ ของผู้ช่วงชิงคนที่เจ็ด

แน่นอนว่า ยุทธ์ไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของเขา เช่นเดียวกับจ้าววิญญาณ และมันแสดงถึงความหมายเชิงสัญลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์

จ้าววิญญาณเป็นตัวแทนของยุคจ้าววิญญาณ

ยุทธ์ย่อมเป็นตัวแทนของยุคแห่งยุทธ์!

นั่นหมายความว่ายุคที่เจ็ดนั่นเป็นยุคที่เน้นไปที่เต๋าแห่งการต่อสู้!

เต๋าแห่งการต่อสู้!

มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเฉินซี เพราะเต๋าแห่งการต่อสู้ที่เขาเข้าใจนั้น เป็นตัวแทนของเจตจำนงและวิธีการต่อสู้ ซึ่งไม่ใช่เป็นรูปแบบของการบ่มเพาะ

เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนี้ รูปแบบการบ่มเพาะในยุคแห่งยุทธ์นั่นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ในความทรงจำของจ้าววิญญาณ จ้าววิญญาณเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อผู้ช่วงชิงคนที่เจ็ด

ในเวลานั้น เมื่อจ้าววิญญาณเพิ่งก้าวเข้าสู่ประตูแห่งวันโลกาวินาศ และมาถึงดินแดนวิปโยคนี้ เขาก็เผชิญกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับเฉินซี ผู้ช่วงชิงคนที่เจ็ดได้ลอบโจมตีหวังฆ่าเขาช่วงชิงวิญญาณ

อย่างไรก็ตาม จ้าววิญญาณก็สามารถรอดมาได้

ตั้งแต่นั้นมา จ้าววิญญาณก็รู้สึกเคียดแค้นต่อยุทธ์

อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถทำร้ายยุทธ์ได้อย่างเต็มที่ด้วยความแข็งแกร่งที่มี ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงทำได้แค่อดทน และพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกับยุทธ์

ยุทธ์นั่นน่ากลัวแค่ไหน?

ในความทรงจำของจ้าววิญญาณ มันพร่ามัวมาก และแม้แต่เขาก็ไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่ามันแข็งแกร่งเพียงใด

บัดนี้หลังจากที่จ้าววิญญาณถูกเฉินซีสังหาร และผนึกจ้าววิญญาณก็ตกไปอยู่ในมือของเฉินซี เขาจึงได้รับความทรงจำทั้งหมดนี้มา

เฉินซีจ้องอย่างเงียบ ๆ ไปที่เมืองจักรพรรดิแห่งการต่อสู้เป็นเวลานาน ในท้ายที่สุด เขาก็เอามือไพล่หลัง และเดินไปที่เมืองจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ไม่ช้าไม่เร็ว

ทันทีที่เขาเดินผ่านประตูเมือง ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าสู่โลกที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ท้องฟ้านั่นสงบและสดใส ดวงอาทิตย์ก็สว่างและงดงาม รวมทั้งมีเมฆสีขาวดุจปุยฝ้าย

ผืนดินปกคลุมไปด้วยอาคารที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา ถนนที่แผ่ออกไปทุกทิศทุกทาง และผู้คนมากมายจนสุดคณานับ….

ฝูงชนเดินขวักไขว่ไปทั่วเมือง เสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ทำให้ทั้งเมืองถูกห่อหุ้มด้วยกลิ่นอายของโลกมนุษย์

โลกมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรือง ความสุข ความโกรธ ความโศกเศร้า ความขุ่นเคือง และอารมณ์ทั้งหมดของชีวิต ล้วนแสดงอยู่ภายในนั้น และมันแสดงฉากของชีวิตอย่างชัดเจน

เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เฉินซีหรี่ตาลง จากนั้นก็เดินต่อไปตามถนนหินปูนที่พลุกพล่าน

ระหว่างทาง เขาเห็นพ่อค้าที่ร่ำรวยคนหนึ่งกำลังทุ่มเงินมากมายในหอนางโลม เพื่อจะได้เห็นรอยยิ้มอันงดงามของนางคณิกา

เขาเห็นขอทานหนุ่มผอมแห้งขดตัวอยู่ในมุมมืด ใบหน้าที่สกปรกและอ่อนเยาว์ของขอทานหนุ่มเต็มไปด้วยความเฉยชา

เขาเห็นผู้บ่มเพาะที่ร่ำรวยในรถม้าคันใหม่ ซึ่งส่งเสียงไปตามท้องถนนด้วยจิตวิญญาณอันเปี่ยมล้น สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวัง

เขาเห็นชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ลำพังที่โรงน้ำชา ซึ่งกำลังฟังนักร้องหญิงขับขานเพลงเศร้าโศกที่ไม่รู้จักด้วยเสียงแผ่วเบา

ดูเหมือนว่ายุทธ์จะโดดเดี่ยวกว่าจ้าววิญญาณเสียอีก หลังจากที่ถูกขังอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน

เฉินซียืนอยู่ที่ปลายถนนและมองย้อนกลับไปที่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์แห่งนี้ สีหน้าของเขาก็เฉยเมยมากขึ้น และมันปราศจากอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ

อาคารโบราณหลังหนึ่งตั้งอยู่สุดถนน เถาวัลย์เขียวหนาแน่นกระจายอยู่ทั่วอาคาร ขณะที่บุพผาสีขาวเล็ก ๆ มากมายเรียงรายอยู่ตามเถาวัลย์ พวกมันแกว่งไกวไปมาภายใต้แสงแดด และเผยให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา

เฉินซีจ้องมองไปที่อาคารโบราณแห่งนี้ ป้ายไม้ที่เก่าแก่และทรุดโทรมเล็กน้อยถูกแขวนไว้ที่ประตูอาคาร และมีข้อความว่า ‘โรงฝึกยุทธ์หยาดขจี’

มันเป็นชื่อที่ดูธรรมดามาก และยังน่าขบขันเล็กน้อยด้วยซ้ำ

หยาดขจีเป็นพืชที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง แต่ส่วนใหญ่ใช้เป็นชื่อของสตรี แต่กลับกลายว่ามันถูกตั้งเป็นชื่อของโรงฝึกยุทธ์ ซึ่งดูขัดแย้งกันเล็กน้อย

เฉินซีถึงกับมั่นใจด้วยซ้ำ ว่าแค่ชื่อนี้เพียงอย่างเดียว ก็ทำให้ผู้สัญจรไปมาต้องหัวเราะเยาะ

เพราะมันฟังดูเปราะบาง และไม่อหังการแม้แต่น้อย

นี่จึงเป็นเหตุผลที่คนอื่นต่างหัวเราะเยาะมัน

โรงฝึกยุทธ์ซึ่งเป็นสถานที่ไว้สำหรับถ่ายทอดเต๋า และเป็นสถานที่สำหรับฝึกวิทยายุทธ์ แล้วมันจะใช้ชื่อที่ฟังดูบอบบางเช่นนี้ได้อย่างไร?

ทว่าเฉินซีกลับจ้องป้ายที่ว่าอยู่พักใหญ่ ไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะผลักประตูเข้าไป

“เส้นทางของเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นยาวไกล หากเจ้าต้องการก้าวไปได้กว่านี้ ก็ต้องสร้างรากฐานให้มั่นคง และอย่าตั้งเป้าหมายจนสูงเกินเอื้อม!

“ขั้นที่หนึ่งของเต๋าแห่งการต่อสู้ คือการขัดเกลาผิวหนังให้แข็งเหมือนเหล็ก และขัดเกลากระดูกให้กลายเป็นเหล็กกล้า! เมื่อบรรลุขั้นนี้จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์ของการเป็นผู้ฝึกยุทธ์!

ชายหนุ่มร่างผอมตะลึง ดวงตาที่สดใสแต่เดิมเปลี่ยนเป็นเฉยเมย จากนั้นความเหงาก็ปรากฏบนใบหน้าที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยว

ผ่านไปพักใหญ่ เขาก็ถอนหายใจ “มันไม่ใช่แค่น่าหัวเราะเท่านั้น แต่ยังไร้เดียงสาอีกด้วย”

เขาหยุดครู่หนึ่ง แล้วเริ่มหัวเราะ “อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เสียใจเลย หากย้อนเวลากลับไปได้ ข้าก็คงจะถามคำถามนี้ และทำตามที่ข้าทำ”

คำพูดของเขาแฝงด้วยน้ำเสียงแห่งความทรงจำอันลึกซึ้ง เขาดูไม่เหมือนชายหนุ่มเลย เพราะน้ำเสียงของเขาชัดเจนว่าเป็นชายชราที่เคยประสบกับความผันผวนของชีวิต และมองเห็นสัจธรรมของโลก

เฉินซีพยักหน้า คล้ายเข้าใจจริง ๆ “อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่สามารถกลับไปได้อีก”

ชายหนุ่มถอนหายใจ “ใช่แล้ว ข้ากลับไปไม่ได้แล้ว….”

เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

สายตาจดจ่อไปที่เถาวัลย์ของดอกหยาดขจีบนผนังของโรงฝึกยุทธ์ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมสถานที่แห่งนี้จึงถูกเรียกว่าโรงฝึกยุทธ์หยาดขจี”

ก่อนที่เฉินซีจะได้ตอบ เด็กหนุ่มร่างผอมก็ชิงตอบคำถามตัวเองแทน “เพราะว่าบุตรสาวคนโปรดของท่านอาจารย์ข้า ได้รับการตั้งชื่อตามนั้น นางเป็นหญิงสาวที่ใจดีและขี้อาย นางไม่ได้งดงาม แต่ข้ากลับรู้สึกต่ำต้อยเมื่ออยู่ต่อหน้านาง…”

“แม้หลังจากที่ข้าเอาชนะศัตรูทั้งหมด และกลายเป็นจ้าวผู้ครองโลก ข้าก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจเมื่อนึกถึงดวงตาที่บริสุทธิ์ของนาง ซึ่งไม่ว่าข้าจะทุ่มเทเพียงใดหรือได้รับความรุ่งโรจน์มากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่ข้าจะคู่ควรกับนางอยู่ดี”

เสียงของเขาดูสิ้นหวัง คล้ายกำลังพึมพำ ยิ่งกว่านั้นมันยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอย่างสุดจะพรรณนา

“เกิดอะไรขึ้นกับนางหรือ?” เฉินซีถาม

“นางตายไปแล้ว” คำตอบของเขาสงบยิ่ง

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากกล่าวถึงเรื่องนี้อีก “ขอบคุณ มันนานมากแล้วที่ข้าไม่ได้คุยกับใครเลย มันรู้สึกดีมาก”

เฉินซีกล่าว “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย”

ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังยืดตรง

ทันใดนั้น กลิ่นอายของเขาก็เปลี่ยนไปทันที สายตาเยียบเย็นดุจสายฟ้าฟาด ร่างกายเปล่งกลิ่นอายอันสง่างามและน่าพรั่นพรึงอย่างยิ่ง ประหนึ่งกลายเป็นจ้าวผู้ครองโลก และครอบครองแรงกดดันอันสูงสุด!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายหนุ่มร่างผอมคือ ‘ยุทธ์’ ผู้ช่วงชิงที่เปิดประตูแห่งวันโลกาวินาศในยุคที่เจ็ด!

“เอาละ เราควรมาจัดการเรื่องของเราได้แล้ว ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคือผู้ช่วงชิงคนที่เก้า ในเมื่อเจ้าสามารถมาที่นี่ได้ ก็เป็นที่แน่ชัดว่าเจ้าได้ฆ่าจ้าววิญญาณและแย่งชิงผนึกจ้าววิญญาณมาแล้ว ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าเจ้าสามารถทำสิ่งนั้นได้สำเร็จได้อย่างไร ด้วยความสามารถที่เจ้ามีในตอนนี้?”

สายตาของยุทธ์เหมือนกับสายฟ้าฟาด ท่าทางเย็นชาและไม่แยแส ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากท่าทางที่ดูโศกเศร้าและอ่อนไหวเมื่อครู่นี้

มันทำให้สงสัยนักว่า หากเฉินซีตอบไม่ทันเวลา เขาก็คงฆ่าเฉินซีโดยไม่ลังเลทันที!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]