เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1972

บทที่ 1972 ฆ่า!

………………..

บทที่ 1972 ฆ่า!

เฉินซีไม่แปลกใจกับความเปลี่ยนแปลงของยุทธ์ เพียงแต่ประหลาดใจกับกลิ่นอายดุดันที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาในตอนนี้มากกว่า!

กลิ่นอายดุดันเช่นนี้เหนือชั้นเหนือใคร เต็มไปด้วยความองอาจ เหมือนเป็นกลิ่นอายของราชันผู้ครองเหนือแดนมาหลายชั่วอายุคน

ทันใดนั้น เฉินซีก็สามารถประเมินกำลังของยุทธ์ได้ว่าไม่ต่างจากมหาเทพเต๋าแห่งแดนเทพโบราณเลย!

หรือก็คือ ยุทธ์นั้นเป็นยอดฝีมือเทียบชั้นได้กับมหาเทพเต๋าทีเดียว!

“ข้าสังหารจ้าววิญญาณเอง” แม้ว่าในใจจะตกใจ แต่สีหน้าเฉินซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “ส่วนเหตุผล เจ้าคิดว่าข้าจะยอมบอกเจ้าหรือ?”

ยุทธ์ส่งสายตามองเฉินซี จากนั้นกล่าวว่า “ข้าถึงยังไม่ลงมือกับเจ้าไง”

ใช่แล้ว เขาพอรู้ว่าพลังของเฉินซีนั้นไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเฉินซีสังหารจ้าววิญญาณได้อย่างไร จึงต้องอดทนอดกลั้นมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่ลงมืออะไรกับอีกฝ่าย

เฉินซีเอ่ยเสียงเรียบ “รอแค่เวลาเท่านั้น การที่เจ้าลังเลเมื่อครู่ไม่นับว่าเป็นเรื่องดีเลย”

ยุทธ์ยกยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าคิดอยากได้ผนึกยุทธ์ของข้าสินะ”

เฉินซีพยักหน้าไม่คิดปิดบัง

“เป็นคนสิ้นสติอีกคนซึ่งไม่สนเป็นตายเพื่อมหาวิถีสินะ” ยุทธ์ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจยามได้ยินเฉินซี

“เปล่าหรอก ข้าแค่อยากออกไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น” เฉินซีเอ่ยเสียงสุขุม

“ออกไปหรือ? ออกไปแล้วจะไปไหน? ในเมื่อจังหวะที่เจ้าก้าวผ่านประตูแห่งวันโลกาวินาศมา ความวิบัติแห่งวันโลกาวินาศก็เริ่มเข้าโจมตียุคที่เจ้าอยู่แล้ว ถึงเจ้าจะกลับไปได้สำเร็จ แต่สุดท้ายก็ไม่หลงเหลืออะไรอยู่อีก ทั้งสหายเจ้า ทั้งศัตรู ทุกอย่างจะถูกทำลายสิ้น” ยุทธ์จ้องเฉินซีแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เช่นนี้ยิ่งทำให้เจ็บปวดกว่าเก่า อยู่ที่นี่จะไม่ดีกว่าหรือ?”

“อยู่ที่นี่แล้วเอาชีวิตรอดต่อไปหรือ? ถ้าข้าต้องใช้ชีวิตเช่นเจ้าตอนนี้ ให้ข้าตายเสียยังดีกว่า” เฉินซีตอกกลับ เพราะเขารู้ดีว่าถึงบอกอีกฝ่ายว่าความวิบัติแห่งวันโลกาวินาศจะไม่มาถึงแดนเทพโบราณ แต่ยุทธ์ก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี

ยุทธ์ไม่ได้เถียงอะไรกลับ เพียงแต่จ้องเฉินซีเงียบเชียบ เงียบคำไปนาน “บอกตามตรงว่าไม่ใช่แค่เจ้า แต่ผู้ช่วงชิงคนอื่น ๆ รวมถึงตัวข้าก็อยากได้ตราประทับยุคสมัยของคนอื่นเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จเลย”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?” ยุทธ์พูดต่อ “ไม่ยากเลย เป็นเพราะพลังภายในตราประทับยุคสมัยมันเหนือกว่าจะจินตนาการได้ มันเป็นตัวแทนอารยธรรมแห่งยุค เป็นมรดกตกทอดแห่งยุค จึงไม่มีใครสามารถขัดเกลา ดูดซับ หรือผสานมันเข้าด้วยกันได้เลย!”

ว่าแล้ว ยุทธ์ก็เหลือบมองเฉินซี “เจ้าคงจะยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ผู้ช่วงชิงคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ และคนที่ห้า ที่ต้องมาถึงแดนวิปโยคถูกผู้ช่วงชิงแรกสังหารไปแล้ว เขาชิงเอาตราประทับยุคสมัยของทุกคนไป น่าเสียดายที่ถึงขั้นนั้นแล้ว ผู้ช่วงชิงแรกก็ยังทำไม่สำเร็จอยู่ดี ทั้งยังเกือบพลาดตายจากการพยายามขัดเกลาและดูดซับตราประทับยุคสมัยด้วย”

เฉินซีใจสะท้าน ความทรงจำของจ้าววิญญาณทำให้เขารู้กำเนิดของเจ็ดผู้ช่วงชิงแห่งแดนวิปโยค

เต๋าเป็นผู้ช่วงชิงแรก ตัวแทนแห่งอารยธรรมแห่งเต๋า ผู้ถือตราประทับแห่งยุคที่หนึ่ง

พุทธเป็นผู้ช่วงชิงคนที่สอง ตัวแทนแห่งอารยธรรมแห่งพุทธ ผู้ถือตราประทับแห่งยุคที่สอง

ผู้ช่วงชิงคนที่สาม คนที่สี่ คนที่ห้า และคนที่หก นั้นมีนามว่าขงจื่อ มาร ภูต และมายา เป็นตัวแทนของแต่อารยธรรม มีผนึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นับรวมยุทธ์ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งยุคที่เจ็ด อารยธรรมแห่งยุทธ์ และจ้าววิญญาณ ตัวแทนแห่งยุคที่แปด อารยธรรมจ้าววิญญาณที่สิ้นไปแล้ว พวกเขาก็คือขุมกำลังที่กระจายตัวอยู่ทั่วแดนวิปโยคนั่นเอง

ตอนนี้พอได้ยินว่าผู้ช่วงชิงคนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ และคนที่ห้า ถูกผู้ช่วงชิงคนแรกสังหารไปแล้วเฉินซีก็ตกใจนัก

“ในเมื่อเต๋าสังหารพวกเขาไปแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถขัดเกลาและดูดซับตราประทับยุคสมัยพวกนั้นได้จนถึงตอนนี้ หาไม่แล้ว จ้าววิญญาณกับข้าก็คงถูกเขาจัดการไปแล้ว….” ยุทธ์มีสีหน้าเรียบเฉย “ทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะเพื่อความลับมหาวิถีแห่งเต๋า หรือเพื่อออกไปจากที่นี่ ทำเช่นนี้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์หรอก”

เฉินซีเงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ย “แต่ข้าก็ยังอยากลองดู”

ยุทธ์ได้ยินแล้วก็เผยสีหน้าดูแคลน “หากข้าคิดไม่ผิด เจ้ายังไม่สามารถขัดเกลาและดูดซับผนึกจ้าววิญญาณที่ได้มาเลยนี่?”

เฉินซีหรี่ตาลง ไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาย่อมไม่บอกยุทธ์ว่าเขาไม่ได้คิดจะขัดเกลาและดูดซับผนึกจ้าววิญญาณอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะทำไม่ได้

ยุทธ์ถอนใจ “จริง ๆ ข้าก็ไม่ต่างจากเจ้า ข้าพยายามขัดเกลาและดูดซับผนึกมายาหลังสังหารมายาได้ น่าเสียดายที่เวลาผ่านไปทั้งยุคก็ทำได้แค่ส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่พัฒนาไปไหนอีก”

มายาคือผู้ช่วงชิงแห่งยุคที่หก ตัวแทนแห่งอารยธรรมแห่งมายา

เฉินซีไม่คิดเลยว่ายุทธ์เองก็จะพยายามทำเช่นนี้มาก่อนแล้ว ถึงขั้นที่สังหารมายาได้เลยด้วย!

จากตรงนี้แล้ว นอกจากเขากับยุทธ์ ก็มีเพียงเต๋าซึ่งเป็นผู้ช่วงชิงแรกที่ยังเหลืออยู่ภายในแดนวิปโยคแห่งนี้!

นับว่าเป็นเรื่องเกินคาดสำหรับเฉินซีมาก เขาไม่คิดเลยว่าสถานการณ์ในนี้จะโหดร้ายกว่าที่เคยจินตนาการไว้

“เป็นเพราะข้ารู้ว่ามันใช้ไม่ได้ ข้าถึงไม่คิดจัดการจ้าววิญญาณอีก ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดหรือว่าเขาจะสามารถรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ด้วยพลังแค่นั้น?” มุมปากยุทธ์ยกยิ้มเย่อหยิ่ง เหลือบมองเฉินซีด้วยสายตาจองหองและมั่นใจในตนเอง “ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้ายังไม่ลงสังหารเจ้าตอนนี้เช่นกัน”

ตอนนี้เฉินซีจึงเริ่มหัวเราะขึ้นมา “เช่นนั้นแล้ว ข้าก็จะสามารถรวบรวมตราประทับยุคสมัยทั้งหมดด้วยการสังหารเจ้ากับเต๋าสินะ?”

ยุทธ์หรี่ตาลง หัวเราะเสียงเยาะเย้ยออกมาด้วยเช่นกัน “เจ้านี่ไม่ยอมแพ้จริง ๆ เลยนะ ถ้ามันง่ายขนาดนั้น พวกเราจะถูกกักขังให้ต้องทนยาวนานมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร? เจ้ารู้หรือไม่ว่ายุคหนึ่งกินเวลาเท่าไหร่? รู้หรือไม่ว่าที่ผ่านมาพวกเราลองมากี่วิธีแล้ว?”

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเสียงเบา “พูดมาขนาดนี้แล้ว ข้าก็ไม่อยากให้คนที่ยังคุยด้วยได้ต้องตายตกไป หากเป็นเช่นนั้นข้าคงเหงาน่าดู….”

ตู้ม!

กฎแห่งเต๋าต่อสู้สีทองระเบิดออกมาอย่างน่ากลัว กระจายตัวล้อมรอบกายเฉินซีไว้ตลอดบนล่าง

ยุทธ์เห็นดังนั้นจึงผ่อนสีหน้าลง พึมพำออกมาว่า “เจ้าสามารถสังหารจ้าววิญญาณได้ด้วยฝีมือเท่านี้น่ะหรือ? แบบนี้ไม่รู้ว่าจ้าววิญญาณยอมตายเองหรือเปล่า….”

“ก็ยอมนั่นล่ะ แต่เขาก็ระวังกว่าเจ้า” ทันใดนั้น น้ำเสียงเรียบเรื่อยก็ดังออกมาจากกฎแห่งเต๋าต่อสู้สีทองซึ่งส่งเสียงฉ่าดั่งศิลาหลอม

ตู้ม!

ยุทธ์ยังไม่ทันตอบสนอง กระแสพลังลึกลับก็ปรากฏแล้วแทรกแซงเข้าลึกถึงภายในร่าง เขาไม่อาจต้านทานมันได้เลย

ทันใดนั้น ยุทธ์ก็เปลี่ยนสีหน้าในพลัน แต่ก็ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจ กลับเอื้อมแขนมาคล้ายคิดโจมตีเฉินซีแทน

เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายคงคิดว่าหากสังหารเฉินซีได้ก็คงรอด

“สายไปแล้ว!” เฉินซีเดินออกมาจากกฎแห่งเต๋าต่อสู้สีทองอร่าม ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง กระแสพลังลึกลับก็กำจายออกมาแล้วขวางแขนยุทธ์ค้างไว้

ทันใดนั้น ยุทธ์ก็สั่นไปทั้งร่าง เหมือนกำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เป็นภาพที่เหมือนกับจ้าววิญญาณเผชิญเมื่อวันนั้น

ที่แตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเฉินซีไม่ได้สติตอนที่จ้าววิญญาณกำลังเผชิญสิ่งที่ยุทธ์กำลังเผชิญ แต่ในคราวนี้ เฉินซีไม่เพียงมีสติเต็มร้อย แต่ยังกำลังควบคุมพลังนี้อยู่อีกต่างหาก!

“เวรเอ๊ย! ที่มันพลังอะไรกัน? ไม่นะ! ไม่!!!” ยุทธ์เผยใบหน้าบิดเบี้ยวร้องโหยหวนสะท้านฟ้า เป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว กลิ่นอายดุดันคล้ายกับลูกหนังถูกเจาะรู ค่อย ๆ ลดความน่าเกรงขามลงอย่างรวดเร็ว

“หรือว่าสังสารวัฏจะไม่เคยมีอยู่ในยุคแห่งยุทธ์ของเจ้าหรือ?” เฉินซียืนอยู่ไกล ๆ มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา

“สังสารวัฏ? นี่นะหรือสังสารวัฏ? เป็นไปไม่ได้! ถึงจะเป็นสังสารวัฏจริง แต่มันไม่มีทางยอมให้เจ้าครอบครองอำนาจน่าเกรงขามเช่นนี้ได้แน่!” ยุทธ์พลันเปลี่ยนสีหน้า กระแสความหวาดกลัวเผยขึ้นมาให้เห็นชัด เหมือนกับกำลังพบเจอเรื่องหน้าผวาที่สุดก็มิปาน

“แล้วถ้ามีแผนภาพวารีหลากด้วยเล่า?” เฉินซีเอ่ยเสียงเรียบ แต่เป็นดั่งเสียงฟ้าผ่าสำหรับยุทธ์ ทำใจเขาสะท้านจนแทบหมดสติ

“เป็นไปได้ยังไงกัน? แผนภาพวารีหลากผ่านประตูแห่งวันโลกาวินาศมาได้อย่างไรกัน!? เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้แน่!!” ยุทธ์เสียสติไปแล้ว ใบหน้าเขาบิดเบี้ยวผิดรูป ตกอยู่ในความกลัวไร้ห้วงไปแล้ว

เสียงตะโกนลั่นยังไม่ทันจบ ร่างเขาก็ร่วงกระแทกพื้น หนังปริออก อวัยวะภายในกลายเป็นผุยผง เลือดสลายหายกลายเป็นหมอก….

พริบตานั้น ตัวตนน่าสะพรึงกลัวที่ฝีมือไม่ด้อยกว่ามหาเทพเต๋าก็ต้องสิ้นชีวาอยู่ต่อหน้าเฉินซี!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]