เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 1973

บทที่ 1973 อารามเต๋า

………………..

บทที่ 1973 อารามเต๋า

ตู้ม!

ขณะที่การดับสูญแห่งยุทธ์เยือนย่ำ ลานกว้างแห่งนี้ก็พลันพังทลายลง คลื่นกระแทกอันน่าสะพรึงกลัวกระจายออกไปทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่อง

ในท้ายที่สุด พลังทำลายล้างก็กวาดไปทั่วเมืองจักรพรรดิแห่งการต่อสู้ ไม่ว่าจะถนน อาคาร ผู้คน หรือท้องฟ้า… ทุกสรรพสิ่งล้วนถูกกวาดทำลายสิ้น

เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ เมืองทั้งเมืองก็หายไปจากทัศนวิสัย ทั่วทั้งแผ่นดินหลงเหลือเพียงม่านหมอกสีเทา ความเงียบงัน และความรกร้างที่วังเวงจับใจ

ทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นจากพลังและความแข็งแกร่งของยุทธ์ หลังจากที่เขาตาย สิ่งเหล่านี้จึงสลายหายไปตามธรรมชาติ

เฉินซียืนเฝ้ามองทุกสิ่งค่อย ๆ กลืนหายไปอยู่เช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะถอนใจเอื่อย ทั้งที่ชายผู้นั้นมีความน่าเกรงขามที่ไม่ธรรมดา ทว่าเมื่อเข้าสู่แดนวิปโยค เขากลับทำได้แค่ใช้พลังของตนสร้างเมืองขึ้นมาเพื่อปลอบประโลมหัวใจที่มีเพียงความเหงาอ้างว้าง ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก

ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินซีเลื่อนสายตาไปยังสัญลักษณ์ลึกลับที่แตกต่างกันสองอันซึ่งลอยอยู่เบื้องหน้า พวกมันเปล่งรัศมีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกมา

หนึ่งในนั้นคือผนึกยุทธ์ ขณะที่อีกหนึ่งคือผนึกมายา พวกมันเป็นตัวแทนของมรดกทางอารยธรรมของยุคสมัยที่มีเอกลักษณ์ทั้งสอง

เฉินซีอ้าปากเพื่อกลืนพวกมันเข้าไปในร่างกายของตน

โครม!

ทันใดนั้น เหตุการณ์ที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นภายในทะเลแห่งมโนสำนึก กลิ่นอายแห่งยุคทั้งสองที่แตกต่างกันแผ่ซ่านไปทั่วท้องทะเลกว้างใหญ่ สิ่งสืบทอดทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาราวกับกระแสน้ำหลาก

มันเป็นมรดกของอารยธรรมแห่งยุทธ์และอารยธรรมแห่งมายา เป็นระบบบ่มเพาะที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง!

เมื่อประกอบกับมรดกแห่งอารยธรรมจ้าววิญญาณที่เขาได้ครอบครองก่อนหน้านี้ ปัจจุบันเฉินซีมีตราประทับยุคสมัยอยู่ในการครอบครองถึงสามชิ้นด้วยกัน!

หากเขาสามารถขัดเกลาและดูดซับพวกมันได้อย่างเต็มกำลัง มรดกของยุคทั้งสามที่สูญสลายไปตามกาลเวลาก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้งในร่างของเฉินซี!

เมื่อถึงเวลานั้น ความแข็งแกร่งของเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพียงไหนกัน?

นี่มันยากจะคิดฝัน!

พลังเหล่านี้ลึกซึ้งยากหยั่งถึง อย่างยุทธ์และเต๋าเองที่ต่างก็เป็นยอดคนไร้เทียมทาน แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังไม่สามารถขัดเกลาและดูดซับตราประทับยุคสมัยเพื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมันได้อย่างเต็มที่แม้จะพยายามมานับครั้งไม่ถ้วนก็ตาม สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าตราประทับยุคสมัยนั้นทรงพลังมากเพียงใด

ด้วยสภาวะดังกล่าว เฉินซีจึงไม่ได้ขัดเกลาและดูดซับพวกมันในทันที เขาเลือกที่จะวางเฉยกับมันแทน ชายหนุ่มรู้ดี ความพยายามที่ไม่ได้เกิดจากการเตรียมตัวที่ดีนั้นมีแต่จะเสียเวลาเปล่าเท่านั้น

สำหรับเฉินซี เวลามีค่าดั่งทอง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องออกไปจากแดนวิปโยคและกลับไปยังแดนเทพโบราณให้ได้ แน่ล่ะ เขายังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ!

กระนั้น เฉินซีไม่ได้ออกไปจากที่นี่ในทันที

เขาทรุดนั่งขัดสมาธิบนพื้นก่อนจะดำดิ่งลงในฌาน

ในที่สุดเฉินซีก็สามารถยืนยันบางสิ่งได้เมื่อสังหารยุทธ์ เขาแน่ใจแล้วว่าพลังสังสารวัฏและชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากที่ตนครอบครองนั้นเพียงพอสำหรับจัดการผู้ช่วงชิงคนอื่น ๆ ภายในดินแดนซึ่งปราศจากเต๋าแห่งสวรรค์ ปราศจากกฎและความเป็นระเบียบใด ๆ แห่งนี้

การสยบจำนนนี้ไม่ได้เกี่ยวโยงกับการบ่มเพาะของเขานัก หากเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้พลังสยบพลัง

จากการคาดการณ์ของเฉินซี ผู้ช่วงชิงทั้งแปดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้รู้แจ้งแผนภาพวารีหลากในช่วงสมัยกาลของตน! กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นสัมพันธ์กับแผนภาพวารีหลาก และเมื่อพวกเขาเข้าไปในประตูแห่งวันโลกาวินาศ พวกก็เขาสูญเสียแผนภาพวารีหลากไป

ในทางกลับกัน เฉินซีนั้นแตกต่างออกไป เขาเป็นผู้ช่วงชิงเพียงคนเดียวที่สามารถนำแผนภาพวารีหลากเข้าสู่แดนวิปโยคได้!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีผู้ซึ่งครอบครองชิ้นส่วนแผนภาพวารีหลากก็เป็นเหมือนกับจักรพรรดิที่ถือครองผนึกจักรวรรดิในกำมือ มีพลังที่สยบทุกสรรพสิ่งไว้ใต้ฝ่ามือ!

กระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงไม่เพียงพอที่จะฆ่าพวกเขา อย่างไรเสียการสยบก็เป็นเพียงแต่การสยบเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสังหารพวกเขาขณะที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตมหาราชเทวาสามดาราได้

ด้วยเหตุนี้ พลังสังสารวัฏจึงมีบทบาทสำคัญ

เพราะมันเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อผู้ช่วงชิงทุกคน!

ในอดีต เฉินซีไม่แน่ใจเรื่องนี้เท่าไรนัก ทว่าหลังจากที่เขาสังหารยุทธ์ไปแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าแม้พลังสังสารวัฏจะไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาได้เปรียบเมื่อต่อสู้กับผู้เยี่ยมยุทธ์คนอื่น ๆ แต่มันก็เปี่ยมไปด้วยพลังทำลายล้างอย่างมหาศาลเมื่อนำมาใช้กับผู้ช่วงชิง

พูดง่าย ๆ ก็คือสังสารวัฏสามารถสยบและกำจัดผู้ช่วงชิงได้!

เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? แม้แต่เฉินซีก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

และแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่การได้รู้ว่าพลังสังสารวัฏสามารถรับมือกับผู้ช่วงชิงได้ก็เพียงพอแล้ว

คิด ๆ ไปแล้ว ตัวของเฉินซีเองก็เป็นผู้ช่วงชิงเช่นเดียวกัน แต่เขากลับสามารถครอบครองแผนภาพวารีหลากและสังสารวัฏไว้ได้ นี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติไม่น้อย

หืม? ทันใดนั้น เฉินซีคล้ายนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ เขาพลิกฝ่ามือของตนก่อนที่ระเบียนแดนมรณะซึ่งเต็มไปด้วยภาพมายาอันไร้ตัวตนจะปรากฏขึ้น

“น่าสนใจ ที่แท้เขาก็มีแผนภาพวารีหลากและสังสารวัฏ สหายผู้ช่วงชิงคนใหม่นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ” ณ อารามเต๋าโบราณซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยม่านหมอกสีเทาห่างไกล บัดนี้ปรากฏร่างหนึ่งกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ด้านหน้า

เขามีรูปโฉมงดงาม รูปร่างที่แข็งแกร่งสวมทับชุดนักพรตตัวโคร่ง รัศมีลึกซึ้งและยากหยั่งถึงเกินพรรณนา

โดยเฉพาะดวงตา มันลึกดำราวหุบเหว คล้ายกับว่าจะสามารถสอดส่องทุกความผันแปรที่เกิดขึ้นในโลกจากมองเพียงแวบผ่าน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทกันสักเพียงไหน สถานะของเต๋าในใจของผู้ช่วงชิงคนอื่น ๆ ก็ยังคงไม่ถูกสั่นคลอน เขาเป็นเหมือนเทพพยากรณ์ที่ได้รับความเคารพอย่างมากจากผู้ช่วงชิงทุกคน

ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไป ความเบื่อหน่ายก็เริ่มก่อตัว และในที่สุด พวกเขาก็เริ่มรู้สึกเหงาและไร้ซึ่งความสุข

หลังจากนั้นเนิ่นนาน เต๋าก็เริ่มเสนอแนวคิดที่น่าตกใจขึ้นในวันหนึ่ง เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเราจะค้นพบความลับที่แท้จริงของมหาวิถีแห่งเต๋าโดยการขัดเกลาและดูดซับตราประทับยุคสมัยของคนอื่น ๆ? และหากทำแบบนั้น พวกเราจะสามารถออกไปจากแดนวิปโยคได้หรือไม่?

ผู้ช่วงชิงคนอื่น ๆ ตกตะลึงเมื่อได้ฟังดังนั้น ความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่สติจะกลับคืนมา รอยร้าวก็ปรากฏขึ้นในมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของพวกเขาไปเสียแล้ว ความสงสัย หวาดระแวง และแผนการร้ายก่อขึ้นในใจจนยากจะกู่กลับ…

ในท้ายที่สุด พวกเขาก็แบ่งแยกดินแดน และยุติการติดต่อจากกันไปโดยสิ้นเชิง

หากนี่คือจุดสิ้นสุด พวกเขาก็คงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ก็ทำให้ยุทธ์รู้สึกราวกับว่าตนได้ตกลงไปในหลุมน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยความเหน็บหนาวอันน่าหวาดผวา

เพื่อที่จะค้นหาความลับที่แท้จริงของมหาวิถีแห่งเต๋า หรือบางทีอาจเป็นเพียงความต้องการที่จะหนีออกไปจากแดนวิปโยค เต๋าได้เริ่มแผนการที่เหี้ยมโหดและนองเลือดขึ้นมา

ทั้งขงจื่อ พุทธ มาร และภูตถูกปลิดชีพด้วยน้ำมือของเต๋า ตราประทับยุคสมัยของพวกเขาถูกแย่งชิงไป!

ทั้งหมดนี้ทำให้ยุทธ์หวาดหวั่นว่าอีกไม่นานตนก็คงจะตายด้วยน้ำมือของเต๋าอีกคน โชคดีที่อีกฝ่ายวางมืออย่างกะทันหัน!

ไม่ใช่ว่าเต๋ามีเมตตาหรือลังเลแต่อย่างใด หากเป็นเพราะเขาประสบปัญหาใหญ่ในการขัดเกลาและดูดซับตราประทับยุคสมัยที่แย่งชิงมา

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมยุทธ์ขึงรอดพ้นจากเคราะห์สาหัสมาได้!

เมื่อเฉินซีได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมด เขาก็สัมผัสได้ว่ายุทธ์นั้นยังคงเต็มไปด้วยความเคารพและความกลัวที่มีต่อเต๋า มันเหมือนกับเหยื่อตัวจ้อยที่ยืนชะงักเบื้องหน้าพญาเหยี่ยวด้วยไม่อาจหลีกหนี

ทั้งหมดนี้ทำให้เฉินซีเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าเต๋านั้นน่ากลัวเพียงใด

เต๋าสามารถฆ่าผู้ช่วงชิงคนอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย และสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตที่เทียบเคียงได้กับมหาเทพเต๋าอย่างยุทธ์หวาดกลัวถึงเพียงนี้! แน่นอนว่าเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

หากเป็นไปได้ เฉินซีก็ไม่อยากเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่น

ปัจจุบัน มีเพียงเขาและเต๋าเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในแดนวิปโยค การต่อสู้ระหว่างพวกเขาคงจะปะทุขึ้นไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นการเลือกที่จะถอนตัวกลางคันจึงไม่ใช่วิธีที่ชาญฉลาดเลยแม้แต่น้อย

อีกอย่าง เฉินซีค่อนข้างแน่ใจว่าเต๋าอาจจะรับรู้การมาถึงของเขานานแล้ว…

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เฉินซีไม่อาจลังเลได้อีกต่อไป เพราะยิ่งเขาล่าช้ามากเท่าไรก็ยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น!

[1] เก้าวนเวียนเคียงคืนกลับ มาจากสำนวน 九九归一 แปลประมาณว่าสิ่งที่เปลี่ยนผันไปมาสุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]