บทที่ 1978 ตระกูลเสวี่ย
………………..
บทที่ 1978 ตระกูลเสวี่ย
เฉินซีพลันสังเกตเห็นว่าชะตากรรมของเขาเหมือนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังจากเข้าประตูแห่งวันโลกาวินาศมา
หลังจากนั้นเขาก็หมดสติไป ทำอะไรไม่ได้อีกหลายครั้ง รับมือเรื่องเกินคาดไม่ได้ก็หลายหน!
ถึงจุดนี้ ถึงจะรู้แล้วว่าสามารถหนีพ้นแดนวิปโยคมาได้แล้ว เฉินซีก็ยังถอนใจเพราะรู้ว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์จวนตัวอีกแล้ว
ไม่เพียงแต่พลังหดหาย แต่กลิ่นอายยังอ่อนแอลงมาก ไม่ต่างจากคนพิการใกล้ตายคนหนึ่ง
หากไม่มีใครช่วยไว้ เฉินซีก็ไม่รู้ว่าหากตอนที่หมดสตินั้นเจอเรื่องอันตรายอะไรเขาจะรอดหรือไม่
แต่สุดท้ายแล้วเฉินซีก็รู้ดีว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะเขาแข็งแกร่งไม่พอ แต่เป็นเพราะประตูแห่งวันโลกาวินาศมันแกร่งจนไร้เหตุผล ทั้งพลังภายในนั้นยังแกร่งกล้าสามารถมากอีกต่างหาก
จ้าวเอกภพสามดาราอย่างเขาจึงได้แต่ไหลตามแรงพลังไป ไม่อาจต้านทานได้เลย เห็นได้ชัดว่าประตูนั่นน่ากลัวขนาดไหน
เฉินซีสงสัยว่าหากมหาเทพเต๋าเข้าไปในนั้น ยังไม่รู้จะเอาตัวรอดได้หรือเปล่าเลย
เพราะไม่ว่าจะเป็นจ้าววิญญาณ ยุทธ์ หรือเต๋า ทุกคนก็มีพลังพอ ๆ กับมหาเทพเต๋า หรืออาจจะแกร่งกว่านั้นเลยด้วยซ้ำ!
เช่นนี้แล้ว ที่เฉินซีหนีออกจากแดนวิปโยคมาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
…
เฉินซีหยุดคิดอยู่นาน จากนั้นจึงเริ่มสังเกตร่างกายตนเอง
ด้วยความที่กลิ่นอายตอนนี้อ่อนแอเกินไป ทำให้ฟื้นคืนพลังได้ยากเย็นมาก ไม่สามารถโคจรพลังได้ด้วยซ้ำ
สภาพเช่นนี้ทำให้เฉินซีไม่ต่างจากชายพิการคนหนึ่ง ไม่มีกำลังต่อสู้ใครแม้สักนิด
เคราะห์ดีที่กลิ่นอายอันอ่อนแอนี้กำลังค่อย ๆ ฟื้นฟูทีละนิด หากเขาแข็งแรงขึ้นเมื่อไหร่ก็จะสามารถทำให้พลังในร่างสมดุลขึ้นและสามารถโคจรพลังเพื่อฟื้นฟูร่างกายได้
แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือน
หากเป็นในเวลาปกติ สามเดือนก็คงเหมือนพริบตาเดียวของเฉินซี
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ตอนนี้เขาไม่สามารถสู้ใครได้เลย ดังนั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่รู้ว่าชะตาจะขาดหรือไม่!
ดังนั้นเฉินซีจึงได้แต่หวังว่าระหว่างนี้จะไม่เกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้น….
“เอ๋ ฟื้นแล้วหรือ?” ทันใดนั้นม่านในรถมาก็ถูกยกขึ้น จากนั้นน้ำเสียงไพเราะน่าฟังเจือแววประหลาดใจก็ดังขึ้นมา
เฉินซีเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นใบหน้าน่ารักงดงามปรากฏสู่สายตา
นางคือสตรีหน้าตาน่ามองคนหนึ่ง มีริมฝีปากเรียวสวยสีแดง นัยน์ตาสีดำดั่งหมึก และผิวเนียนกระจ่างดังหยก
นางอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวหยก ผมสลวยสีดำสนิทเกล้าขึ้นเป็นมวยผม ท่าทีเป็นเอกลักษณ์ให้ความรู้สึกสูงส่ง หากแต่ถ่อมตัวและอบอุ่น
คิ้วงามที่เดิมทีขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังเป็นกังวลกับเรื่องบางอย่าง ตอนนี้กลับคลายออกเมื่อเห็นว่าเฉินซีลืมตาขึ้นมาแล้ว มันฉายแววความสุขออกมา
เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนช่วยเฉินซีไว้ในวันนั้น
เฉินซีอยากลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ขยับไม่ได้แม้แต่นิ้ว พอขยับปากก็รู้ว่าตนเองไม่มีแม้แต่แรงจะพูด
ทำให้ได้แต่หัวเราะเสียงขื่นอยู่ในใจ
หญิงสาวเห็นสภาพเฉินซีเช่นนั้นก็ยิ้มหวานแล้วเอ่ยด้วยเสียงอบอุ่น “สหายเต๋าไม่ต้องพูดอะไรหรอก ในเมื่อยังไม่หายดี เจ้าก็ทำสมาธิฟื้นฟูร่างกายไปเถอะ”
นางหยุดเล็กน้อยแล้วเอ่ยแนะนำตนเองต่อ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ช่วยเขาให้ฟัง
สรุปแล้วหญิงสาวมีชื่อว่าเสวี่ยอวิ๋น เป็นทายาทตระกูลเสวี่ยแห่งดาราจักรนางแอ่นสงัด
หลายเดือนก่อน ตอนนางกับผู้อาวุโสในตระกูลกำลังเดินทางไปบึงสยบมาร ก็ไปพบกับเฉินซีที่บาดเจ็บหนักและไม่ได้สติเข้า
ด้วยความที่บาดแผลของเฉินซีสาหัสมาก เสวี่ยอวิ๋นกับผู้อาวุโสจึงเห็นพ้องต้องกันว่าสมควรพาเฉินซีกลับมาด้วย
ตอนนี้พวกนางกำลังเดินทางกลับตระกูลเสวี่ย
พอรู้เรื่องราวเช่นนี้แล้ว เฉินซีก็มั่นใจว่าตนเองออกมาจากแดนวิปโยค เคลื่อนมิติมายังบึงสยบมารโดยบังเอิญแล้ว
เขาได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอกพักใหญ่ เขารู้ว่าหากไม่ได้เสวี่ยอวิ๋นช่วยเหลือไว้ ก็คงไม่สามารถเอาชีวิตรอดอยู่ในบึงสยบมารสภาพเช่นนั้นได้ถึงเดือนหนึ่งแน่
“แม่นาง เราต้องคอยระวังคนอื่นด้วย เราไม่รู้พื้นเพเขาเลย ทั้งเขายังดูประหลาดยิ่ง ต่อไปเจ้าก็ต้องระวังให้มากกว่านี้ด้วย”
“อาหลี ข้าเข้าใจแล้ว จะว่าไป เมื่อครู่ท่านมีเรื่องอะไรหรือ?”
“เอ้อใช่ เมื่อครู่ข้าเห็นว่าไอ้พวกเวรนั่นเหมือนจะตามเรามา….”
เฉินซีได้ยินบทสนทนาเสียงเบา ๆ น่าเสียดายที่ทั้งสองคนเดินทางออกไปเรื่อย ๆ ทำให้น้ำเสียงเบาลงจนไม่อาจได้ยินอีก
เฉินซีจึงได้แต่นอนนิ่งเหมือนศพอยู่อย่างนั้น แต่ในใจกำลังคิดอะไรต่อมิอะไรอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขารู้แล้วว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้เป็นไปไม่ผิด พวกเสวี่ยอวิ๋นคงกำลังหนีบางอย่างอยู่ ทั้งยังมีกลุ่มคนติดตามหลังมาอีกต่างหาก
เห็นได้ชัดว่าหลีเหวินไท่ไม่ได้โกหก พวกเขาคงเจอปัญหาบางอย่างเข้าจริง เช่นนั้นแล้วหลีเหวินไท่ไม่อยากช่วยเฉินซีก็ไม่ใช่เรื่องผิดเลย
เพราะแค่นี้ก็รับมือปัญหามากพออยู่แล้ว ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากเอาคนแปลกหน้ามาเป็นปัญหาเพิ่มอีกคนหรอก
แต่เสวี่ยอวิ๋นก็ยังเลือกช่วยเขาแม้ตนเองจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เฉินซียิ่งรู้สึกซาบซึ้งต่อหญิงสาวผู้งดงามมากกว่าเดิม
ข้าหายดีเมื่อไหร่ย่อมต้องตอบแทนบุญคุณแน่…. เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเลิกคิดทุกอย่าง พยายามนำพาเส้นพลังที่อ่อนแอภายในร่างให้ฟื้นกลับคืนแทน
เฉินซีจึงติดตามพวกเสวี่ยอวิ๋นกับหลีเหวินไท่เดินทางไปด้วย แต่ด้วยความที่เขายังร่างกายอ่อนแอ จึงได้แต่นอนอยู่ในรถม้าสมบัติทั้งวัน ได้แต่นอนคิดว่าจะทำอย่างไรให้หายเร็ว ๆ ดี
ระหว่างทางนั้น เสวี่ยอวิ๋นก็จะเข้ามาพูดคุยกับเฉินซีเป็นบางครั้ง
เฉินซีพักอยู่สองสามวันก็สามารถพูดคุยได้แล้ว ทำให้เสวี่ยอวิ๋นรู้สึกยินดีเป็นยิ่งนัก เหมือนกับได้ทำเรื่องพิเศษบางอย่าง
เห็นดังนั้นก็ทำให้เฉินซีถอนใจ เสวี่ยอวิ๋นเป็นแม่นางที่มีจิตใจดีงามคนหนึ่งทีเดียว
เฉินซีสงสัยว่าไอ้พวกบัดซบตัวไหนที่กล้าทำร้ายหญิงสาวจิตใจงดงามเช่นนี้ได้ลง
ศัตรูของนางเป็นใครกันแน่?
น่าเสียดาย เสวี่ยอวิ๋นจะส่ายหน้าแล้วไม่พูดอะไรทุกครั้งที่เขาถามเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากให้เฉินซีต้องเป็นห่วง เพียงแต่บอกเฉินซีว่าให้วางใจฟื้นฟูพลังไปเถอะ
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เฉินซีก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระให้คนอื่น
สุดท้ายแล้ว เฉินซีจึงตัดสินใจว่าจะช่วยนางจัดการกับปัญหาที่ยิ่งรับมือยากขึ้นทุกวันนี้ให้ได้
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...