บทที่ 1979 คลี่คลายอย่างไร้สุ้มเสียง
………………..
บทที่ 1979 คลี่คลายอย่างไร้สุ้มเสียง
รถม้าสมบัติสามคันพุ่งทะยานเต็มความเร็ว ทิ้งลำแสงหลากสีเฉิดฉันเป็นทางบนสุญตา
ภายในรถม้าซึ่งนำขบวนหน้าสุด หลีเหวินไท่กล่าวอย่างดูแคลน “คุณหนู เฉินซีผู้นั้นเป็นใครกัน เจ้าเด็กนั่นจะเทียบเขาได้อย่างไร? ผู้คนชื่อแซ่เดียวกันมีมากมายในโลกหล้า เจ้าเด็กนั่นอ่อนแอเพียงนี้ เขาหรือจะเทียบเฉินซีแห่งเขาเทพพยากรณ์ได้?”
พูดจบ หลีเหวินไท่ก็ส่ายหน้า ขำขันแผ่วเบาอย่างอดมิได้
เฉินซี!
นับแต่การถกวิถีเต๋าที่ห้าสุดยอดแห่งเอกภพจักรวรรดิร่วมกันจัดขึ้นจบลง นามนี้ก็เหมือนดาวรุ่งเรืองรอง กลายเป็นอัจฉริยะสูงสุดทั่วทั้งแดนเทพโบราณ
เต๋าแห่งกระบี่ของเขาเลิศล้ำไม่ธรรมดา เต๋าแห่งยันต์อักขระไร้เทียมทาน บดขยี้เหลิ่งซิงหุนแห่งนิกายอำนาจเทวะ ตงหวงอิ่นเซวียนจากสำนักศักดิ์สิทธิ์และยอดฝีมือเหนือชั้นมากมาย เป็นยอดยุทธ์ผู้นำครรลองแห่งยุคสมัย!
แล้วผู้ใดทั่วทั้งแดนเทพโบราณจะไม่รู้จักตัวตนไร้เทียมทาน เก่งกาจยิ่งใหญ่อย่างเฉินซีแห่งเขาเทพพยากรณ์บ้าง?
แม้การถกวิถีเต๋าจะผ่านไปสองสามร้อยปีแล้ว แต่ข่าวลือเกี่ยวกับเฉินซีก็ยังเป็นหัวข้อสนทนาอันพบได้ทั่วไปในแดนเทพโบราณ
แล้วหลีเหวินไท่จะไม่รู้จักตัวตนผู้นั้นเลยหรือ?
มีข่าวลือบางข่าวกล่าวกระทั่งว่า เฉินซีเหยียบย่างเป็นมหาเทพเต๋าแล้ว!
แต่บางข่าวลือก็บอกว่าเฉินซีติดอยู่ในแดนรวนเรลืมเลือนอันลึกลับเกินหยั่งคาด ไม่มีทางกลับมายังแดนเทพโบราณได้
หลีเหวินไท่ไม่รู้ว่าสิ่งใดจริงเท็จ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังรู้สึกว่าเฉินซีผู้นั้นไม่มีทางเป็นตัวตนอันควรค่าให้เคารพนับถือ
ถึงขนาดกระทั่งว่า หลีเหวินไท่ดูเดียดฉันท์ยิ่งยามเสวี่ยอวิ๋นบอกเขาว่า ชายหนุ่มผู้นี้เรียกตนเองว่าเฉินซี
หนึ่งเป็นศิษย์สายตรงอันโดดเด่นของเขาเทพพยากรณ์ ขณะที่อีกหนึ่งเจียนตายจนแค่จะพูดยังทำไม่ได้ แล้วจะเป็นคนคนเดียวกันไปได้อย่างไร?
“อาหลี ข้าไม่ได้บอกว่าเขาคือเฉินซีผู้นั้นสักหน่อย” เสวี่ยอวิ๋นยกยิ้ม นางก็ไม่ได้คิดเช่นกันว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะเป็นเฉินซี คิดเพียงว่าทั้งสองแค่ชื่อเหมือนกัน
“แต่เขาคงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แม้จะสังเกตว่าเราอยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างแย่ เขาก็ดูไม่ได้ขัดข้องหมองใจเลย เขากระทั่งบอกจะช่วยเราด้วยซ้ำ” เสวี่ยอวิ๋นย้อนนึกถึงบทสนทนาระหว่างตนกับเฉินซีตลอดหลายวันมานี้ แล้วรอยยิ้มบางก็ปรากฏที่มุมปากอย่างช่วยไม่ได้ นางสัมผัสได้ว่าเจตนาของเฉินซีที่จะช่วยนางนั้นเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ใจ
“เฮอะ! เขาน่ะหรือ?” หลีเหวินไท่อดยิ้มเย้ยมิได้ เสียงสุดแสนเฉยชา “เท่าที่ข้ารู้ เขาช่วยตัวเองยังมิได้ ยังมาโอ่ว่าจะช่วยเรา คนหนุ่มสมัยนี้ชอบพูดจาอวดดีกันจริง ๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็กล่าวกับเสวี่ยอวิ๋นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณหนู จากนี้ อย่าได้ข้องเกี่ยวกับเจ้าคนดีแต่ปากนั่นมากนักเลย จะได้ไม่ติดนิสัยแย่ ๆ มา ดังคำกล่าวว่า ยิ่งใกล้ยิ่งเผชิญอิทธิพลคน….”
เขายังพูดไม่ทันจบ เสวี่ยอวิ๋นก็นวดขมับราวปวดเศียร กล่าวขัดขึ้น “เอาละพอแล้ว! ข้าจะจำคำอาหลีไว้ หลายวันมานี้ ท่านพูดย้ำไม่รู้กี่ครั้งแล้ว”
หลีเหวินไท่ถอนใจ “ข้าเห็นเจ้ามาแต่อ้อนแต่ออก ย่อมกลัวเจ้าออกนอกลู่ทาง หากเป็นผู้อื่น ข้าจะไม่คิดสนใจเตือนเช่นนี้เลย”
เสวี่ยอวิ๋นคลี่ยิ้ม “อาหลี ข้ารู้ว่าท่านเอ็นดูข้าที่สุด”
หลีเหวินไท่หัวเราะลั่น ลูบหัวนางอย่างอ่อนโยน “การเดินทางของเราราบรื่นจนบัดนี้ ซ้ำยังโชคดีได้หญ้ามังสามังกรหยกมาต้นหนึ่งจากบึงสยบมาร หากไร้สิ่งใดเกินคาดฝัน เราก็จะสามารถกลับไปรักษาบาดแผลบิดาเจ้าได้ทันท่วงที”
เสวี่ยอวิ๋นพยักหน้า คู่เนตรกระจ่างของนางมองไปสู่ท้องนภาพร่างพราวแสนไกล สีหน้าหนักอึ้งเล็กน้อย
นางพึมพำ “หลีเหวินไท่ หากหนนี้เรากลับตระกูลไม่ทันกาล บิดาข้า…”
หลีเหวินไท่ขมวดคิ้ว ขึ้นเสียงกล่าวกลบ “อย่าพูดเหลวไหล!”
นางเม้มปากยกยิ้ม ทว่าสีหน้ายังคงเศร้าหมองอย่างไม่อาจลบเลือน ท้ายที่สุด นางก็สูดหายใจลึก ๆ กล่าวขึ้นว่า “อาหลี บิดาข้าบอกไว้ ว่าหากเขาไม่อาจทนไหว ข้าก็ไม่ควรเหยียบเท้าเข้าตระกูลอีก หนีไปได้ไกลเพียงไรก็ยิ่งดี มัน… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลีเหวินไท่ขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเก่า แต่สุดท้ายก็ไร้วาจา
“อาหลี ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับตระกูลกงเหย่ถูกหรือไม่? ข้าได้ยินว่าพวกเขาต้องการสมบัติสูงสุดของเราตระกูลเสวี่ย ปราณวิญญาณหิมะเจ็ดอัศจรรย์….” เสวี่ยอวิ๋นโพล่งขึ้น แต่ก็ถูกหลีเหวินไท่ขัดก่อนทันพูดจบ
ขณะนี้ สีหน้าของหลีเหวินไท่ดูเคร่งขรึมเย็นชากว่ายามใด ดวงตาเรืองประกายคมปลาบจ้องมองเสวี่ยอวิ๋น พลางเอ่ย “เจ้าหนู เรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า! อย่าได้พูดอีกแม้เพียงคำ!”
ร่างของเสวี่ยอวิ๋นสะท้านราวหลีเหวินไท่ทำให้นางตกใจ ครู่ต่อมาก็พยักหน้าตอบรับ “ข้า… เข้าใจแล้ว”
เสียงของนางแผ่วเบา หนักอึ้งเล็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลีเหวินไท่ก็รู้สึกถึงความเจ็บแปลบไหลผ่านกายอย่างบอกไม่ถูก เขากอดนางไว้อย่างทะนุถนอม กล่าวขึ้นเบา ๆ “คุณหนูอย่าห่วงเลย ผู้ใดคิดทำร้ายเจ้า ต้องข้ามศพข้าไปก่อน!”
เสวี่ยอวิ๋นพยักหน้า เอนตัวซบอ้อมอกของเขาพลางถอนหายใจโล่งอก ทว่าความหดหู่กังวลในใจนางก็ใช่จะเลือนหายไปโดยง่าย
กลับกัน ปฏิกิริยารุนแรงของหลีเหวินไท่ยิ่งทำให้นางเคลือบแคลงและกังวลถึงทุกสิ่งอย่าง….
ทันใดนั้น หนึ่งเสียงกู่ร้องแหลมเสียดก็กึกก้องจากท้องนภาพร่างพราวแสนไกล ดุจเสียงโหยไห้ของมวลมาร กวาดสะท้านไปทั่วทิศ
“แย่แล้ว!” ร่างของหลีเหวินไท่ชะงักเกร็ง ดีดตัวลึกเดินออกนอกรถม้าสมบัติไปอย่างรวดเร็ว
“อาหลี ท่านคิดว่าใช่เขาหรือไม่?” เสวี่ยอวิ๋นเหมือนจะนึกถึงบางเรื่องขึ้นมา ดวงตากระจ่างของนางเรืองรอง
“ผู้ใดหรือ?” หลีเหวินไท่หรี่ตา
เสวี่ยอวิ๋นชี้รถม้าคันที่สองซึ่งตามมาไกล ๆ
“เขา? ไม่มีทาง! ไม่มีทางเป็นไปได้!” หนึ่งร่างอ่อนระโหยราวซากศพปรากฏขึ้นในใจหลีเหวินไท่ แล้วเขาก็ส่ายหน้าซ้ำ ๆ อย่างเกินสะกด
“อาหลีรอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปดูเอง” เสวี่ยอวิ๋นไม่ยอมรามือ ร่างของนางวูบไหวไปยังรถม้าคันที่สอง
หลีเหวินไท่เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มเจื่อน พึมพำว่า “ข้ายอมเชื่อว่าพวกเขาฆ่าตัวตาย ดีกว่าเชื่อว่าเป็นฝีมือเขา… หากข้าคิดผิด ข้ายอมโขกหัวขอขมาเขาเลย แต่มันเป็นไปไม่ได้แท้ ๆ!”
…
“เฉินซี!” เสวี่ยอวิ๋นเข้ามาในรถม้าคันที่สองอย่างตื่นเต้น แต่แล้วนางก็ต้องผิดหวังเมื่อเห็นว่าเฉินซียังคงนอนนิ่งเหมือนคนใกล้ตายอยู่ที่เดิม
ขณะนี้ นางอดสงสัยมิได้ว่าตนคิดมากไปเองหรือไม่ เพราะในหมู่ศัตรูมีจักรพรรดิอยู่ด้วย แล้วเฉินซีจะต่อกรกับพวกเขาได้อย่างไร หากมิใช่เขาฟื้นตัวสมบูรณ์แล้ว?
อีกอย่าง เขาในยามนี้อ่อนแออย่างยิ่ง และศัตรูเหล่านั้นก็ถูกกำจัดในช่วงกาลอันแสนสั้น!
“แม่นางเสวี่ยอวิ๋น มีเรื่องใดหรือ?” เฉินซีลืมตาขึ้นมาถามด้วยสีหน้างุนงง
“ไม่มีอะไรหรอก” เสวี่ยอวิ๋นสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวรัวเร็ว “เมื่อครู่เกิดเรื่องเกินคาดบางอย่างขึ้น จัดการเรียบร้อยแล้วล่ะ ข้าแค่มาบอกเจ้าเท่านั้น”
นางจ้องเฉินซีเขม็งขณะพูด เหมือนคิดแสวงหาบางสิ่ง
ทว่าการแสดงออกของเฉินซีทำให้นางผิดหวัง เพราะเฉินซีทำเพียงหรี่ตาลง พูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “เหตุไม่คาดฝัน? เสียงเมื่อครู่หรือ? แม่นางเสวี่ยอวิ๋นไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
ยามนี้ เสวี่ยอวิ๋นทิ้งความคิดที่เฉินซีเป็นคนจัดการศัตรูเหล่านั้นแล้ว นางส่ายหน้าตอบ “ข้าไม่เป็นไร พักผ่อนให้ดีเถิด ข้าจะไปปรึกษาเรื่องอื่นกับอาหลี”
แล้วนางก็ไหวกายออกไปนอกรถม้า
ดูเหมือนจะไม่ใช่เขาจริง ๆ…. นั่นสินะ คนชื่อแซ่เดียวกันในโลกหล้ามีถมไป แล้วเขาจะเป็นเฉินซีผู้นั้นไปได้อย่างไร? เสวี่ยอวิ๋นพึมพำในใจ แม้นางจะคิดเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกหดหู่ผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
ขณะเดียวกัน เฉินซีถอนหายใจโล่งอกอยู่ในรถม้า รอยยิ้มยกขึ้นบาง ๆ ที่มุมปาก และพูดราวกล่าวกับตัวเอง “ถูเมิ่ง ขอบคุณนะ”
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...