เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2006

บทที่ 2006 ข้อพิพาทอันเปราะบาง

………………..

บทที่ 2006 ข้อพิพาทอันเปราะบาง

ทายาทของเฉินหลิงจวินเหรอ?

บรรยากาศในห้องโถงกลายเป็นความเงียบงันทันที เหล่าลูกหลานของตระกูลเฉินล้วนตาเบิกโพลง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินอย่างยิ่ง

นอกจากกลุ่มสามคนของเฉินซีแล้ว มีเพียงคนเดียวที่ยังคงรักษาความสงบไว้ได้ นั่นคือเฉินหลิงคง ทว่าคิ้วกลับยิ่งขมวดแน่นเมื่อถังเสียนเปิดเผยตัวตนของเฉินซี เขาไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยังควบคุมตัวเองได้

เมื่อมาถึงจุดนี้ ถังเสียนก็หยุดกล่าวและไม่ได้อธิบายใด ๆ ราวกับมั่นใจว่าเฉินหลิงคงจะไม่กล้าปฏิเสธ

หลังจากนั้นไม่นาน อู๋เซวี่ยฉานก็เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ “สหายเต๋า เจ้าคิดอย่างไรกับข้อเสนอของศิษย์น้องถังเสียนของข้าหรือ?”

“ไม่! แม้ว่าเขาจะเป็นทายาทของเฉินหลิงจวิน แต่เขาก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดของตระกูล!” ก่อนที่เฉินหลิงคงจะได้กล่าว ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาเมื่อครู่นี้ก็ไม่อาจระงับตัวเองได้อีก และยืนขึ้นพร้อมกับกล่าวอย่างขุ่นเคือง

คนผู้นี้มีนามว่า เฉินจืออวี้ เขาเป็นบุคคลที่ค่อนข้างน่าเกรงขามในตระกูลเฉิน และเป็นจ้าวเอกภพห้าดาราด้วย

การดำรงอยู่เช่นเขาถือได้ว่าเป็นบุคคลระดับกลางในตระกูลเฉินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากพรสวรรค์ตามธรรมชาติที่เขามี ฐานะที่แท้จริงย่อมมีอิทธิพลมากกว่าบุคคลระดับสูงบางคนเสียอีก

“พี่จืออวี้พูดถูกแล้ว บุตรชายของนักโทษผู้นั้นจะมีคุณสมบัติอะไรในการเข้าร่วมการแข่งขัน?”

“ข้าจำได้ว่าเฉินหลิงจวินได้กลับชาติมาเกิดเมื่อนานมาแล้ว ดังนั้นทายาทของเขาคนนี้จึงได้มาหลังจากที่เขากลับชาติมาเกิด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สายเลือดของตระกูลเฉินของเราจะไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา แต่คนผู้นี้กลับอยากได้ตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเฉิน? มันช่างไร้สาระเสียจริง!”

“เราไม่ยอมรับเรื่องนี้!”

“ให้เขาเข้าร่วมเหรอ? นั่นเป็นการดูถูกพวกเราที่เป็นตระกูลผู้พิทักษ์เต๋าศักดิ์สิทธิ์!”

เมื่อพวกเขาเห็นเฉินจืออวี้กล่าวด้วยความโกรธ คนอื่น ๆ ของตระกูลเฉินก็ไม่อาจนิ่งเฉย

แม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าประณามอู๋เซวี่ยฉานและถังเสียนตรง ๆ เป้าหมายจึงพุ่งไปที่เฉินซี คำพูดเต็มไปด้วยการปฏิเสธและดูถูก

เฉินซีเฝ้าดูทั้งหมดนี้ และอดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ พวกที่เรียกตัวเองว่าเป็นเทพโดยกำเนิด คิดว่าข้าอยากได้ตำแหน่งผู้สืบทอดจริง ๆเหรอ?

เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในห้องโถงเริ่มยุ่งเหยิง อู๋เซวี่ยฉานและถังเสียนขมวดคิ้วทันที จากนั้นทั้งสองก็จ้องมองที่เฉินหลิงคง

ด้วยตัวตนของพวกเขา พวกเขาขี้คร้านเกินจะเสวนากับลูกหลานของตระกูลเฉินที่กำลังโวยวาย

ทว่าเฉินหลิงคงไม่กล้าที่จะนิ่งเงียบภายใต้การจ้องมองของอู๋เซวี่ยฉานและถังเสียน ใบหน้าของเขามืดลงทันที แล้วจึงตวาดเสียงดัง “พวกเจ้าหุบปากซะ! คนอื่นจะคิดอย่างไรกับพวกเจ้าที่โวยวายต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติเช่นนี้”

ทันใดนั้น เฉินจืออวี้และคนอื่น ๆ ก็ปิดปากและนั่งลงทันที อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงมีสีหน้าไม่พอใจ และสายตาที่จ้องมองไปยังเฉินซีก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

มันเหมือนกับว่าจู่ ๆ คนนอกก็พุ่งเข้ามาในอาณาเขตของตน และประกาศว่าจะมายึดอำนาจ มันทำให้พวกเขาถูกผูกมัดด้วยความเกลียดชังร่วมกัน และพยายามต่อต้านคนนอกนี้

เฉินซีเพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านั้นโดยตรง เขาขี้คร้านเกินจะถือสา ถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยเหลือบิดามารดา เขาคงไม่ก้าวมาที่นี่ด้วยซ้ำ

“เฮ้อ สหายเต๋า จริง ๆ แล้ว เขาเป็นบุตรชายของพี่ชายข้า เฉินหลิงจวิน หลังจากเขากลับชาติมาเกิด ดังนั้นเฉินซีจึงไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ทางสายเลือดกับตระกูลเฉิน ข้าเกรงว่าตระกูลของข้าจะไม่เห็นด้วย” เฉินหลิงคงถอนหายใจ

อู๋เซวี่ยฉานยิ้ม “ข้าเข้าใจ อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปตามสิ่งที่สหายเต๋าเพิ่งกล่าว เฉินหลิงจวินก็ไม่ใช่เฉินหลิงจวินจากตระกูลเฉิน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดท่านจึงถือเขาเป็นนักโทษ และจำคุกโดยไม่มีเหตุผล”

วาจาเหล่านี้พุ่งเป้าตรงประเด็น และนั่นคือสิ่งที่เฉินซีต้องการรู้มากที่สุด เนื่องจากไม่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แล้วบิดามารดาของเขาจะถูกจำคุกด้วยเหตุผลอะไร?

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเฉินหลิงคงจะเดาได้ว่าอู๋เซวี่ยฉานจะกล่าวเช่นนี้ เขาเผยสีหน้าทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย และถอนหายใจ “นายใหญ่ นั่นมันไม่เหมือนกัน พี่ชายของข้าฟื้นความทรงจำจากชาติก่อนแล้ว ซึ่งนั่นหมายความว่าเขามีความรู้เกี่ยวกับมรดกและความลับทั้งหมดของตระกูลเฉิน ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำเช่นนั้น”

คำตอบดังกล่าวไม่สามารถทำให้เฉินซีพึงพอใจได้ อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นอู๋เซวี่ยฉานก็ลุกขึ้น ก่อนที่เฉินซีจะทันได้กล่าว

อู๋เซวี่ยฉานมีสีหน้าเย็นชาและไม่แยแส “ถ้ามันเป็นไปตามข้อเท็จจริงเหล่านี้ เฉินหลิงจวินก็เป็นบิดาของศิษย์น้องเล็กของข้า แต่ตระกูลเฉินของเจ้าคุมขังเขาไว้เพราะกรรมจากอดีต เจ้าว่ามันไม่เกินไปหน่อยหรือ!?”

วาจาเหล่านี้ทำให้สีหน้าของเฉินหลิงคงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

จู่ ๆ บรรยากาศในห้องโถงก็ตึงเครียด เนื่องจากท่าทีของอู๋เซวี่ยฉานเปลี่ยนไป และเต็มไปด้วยกลิ่นอายของการเผชิญหน้า

ในขณะนี้ ถังเสียนก็ยืนขึ้นเช่นกัน สีหน้าเย็นชาแต่เดิมถูกปกคลุมด้วยความเฉยเมย เขากล่าวอย่างเย็นชา “สหายเต๋า เจ้าคงสังเกตเห็นว่าเราไม่ได้มาที่นี่ในครั้งนี้เพื่อยึดตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลเฉิน ตราบใดที่เจ้าตกลงที่จะมอบเฉินหลิงจวินและภรรยาของเขาให้เรา เราก็จะรู้สึกขอบคุณเจ้าอย่างยิ่ง มิฉะนั้นจะไม่ใช่แค่เขาเทพพยากรณ์เท่านั้นที่ไม่ยอมให้เกิดสิ่งนี้ ข้าเชื่อว่าแม้แต่ตระกูลถังของข้าก็เหมือนกัน!”

เสียงของเขาราบเรียบและสงบ แต่เต็มไปด้วยกระแสคุกคาม

เขากล่าวยังไม่ทันจบ ก็ถูกถังเสียนขัดจังหวะ “สหายเต๋า เจ้ากำลังพยายามจะกล่าวอะไรกันแน่?”

น้ำเสียงของเขาเจือกระแสอดกลั้น

เฉินหลิงคงไหนเลยจะเคยถูกขัดจังหวะ? เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเล็กน้อยในใจ แต่ก็ยังหัวเราะอย่างขมขื่น “สหายเต๋า….”

ถังเสียนขัดจังหวะเขาอีกครั้ง “ยิ่งมีข้อแก้ตัว ก็ยิ่งทำให้เจ้าดูไม่จริงใจมากขึ้น สหายเต๋าคงจะไม่คิดปฏิเสธเรากระมัง?”

เฉินหลิงคงรีบโบกมือแล้วกล่าวว่า “ข้าจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร”

ในขณะเดียวกัน อู๋เซวี่ยฉานก็แนะนำ “งั้นเอาอย่างนี้ดีหรือไม่? ถ้าศิษย์น้องเล็กของข้าสามารถยึดตำแหน่งผู้สืบทอดได้จริง ๆ ข้าจะขอให้เขาสละสิทธิ์ แลกกับการปล่อยตัวเฉินหลิงจวินและภรรยาของเขา”

ดวงตาของเฉินหลิงคงหรี่ลงทันที ในที่สุดเขาก็เข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของอู๋เซวี่ยฉานและถังเสียน ทั้งสองยังคงยืนกรานที่จะช่วยเหลือเฉินหลิงจวินและภรรยาของเขา!

ในขณะนี้ เฉินซี และแม้แต่ลูกหลานคนอื่น ๆ ของตระกูลเฉินก็จ้องมองไปที่เฉินหลิงคง

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ในที่สุดเฉินหลิงคงก็ถอนหายใจ “เอาละ ข้าจะเห็นแก่หน้าของสหายเต๋า และยอมรับข้อตกลงนี้!”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอู๋เซวี่ยฉาน ถังเสียน หรือว่าเฉินซี ทั้งสามก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เท่านี้ก็นับว่าภารกิจของพวกเขาประสบความสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวเลย

ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับตระกูลเฉิน ที่มีทรัพยากรและกำลังสำรองที่ไม่ธรรมดา หากพวกเขาบีบตระกูลเฉินจนจนมุมจริง ๆ มันก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้งและการต่อต้านได้

“เช่นนั้น ข้าขอเตือน ถ้าเฉินซีไม่สามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ก็อย่ากล่าวถึงพี่ชายของข้าอีก” เฉินหลิงคงสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม นี่ถือได้ว่าเป็นคำเตือน

อู๋เซวี่ยฉานพยักหน้า “ตกลง”

เมื่อมาถึงจุดนี้ ถือว่าเรื่องนี้ได้รับการยุติในที่สุด

ในขณะนี้ เฉินจืออวี้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป เขายืนขึ้น เหลือบมองเฉินซีด้วยสายตาเย็นชาราวสายฟ้า จากนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงที่ดังและชัดเจน “ความมั่นใจของผู้อาวุโสที่มีต่อสหายเต๋าเฉินซีนั้น ได้กระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ในใจของเราอย่างแท้จริง ไยเราถึงไม่ใช้โอกาสนี้ให้ข้าได้ประลองกับเขาล่ะ? ถ้าเขาไม่สามารถเอาชนะข้าได้ ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องให้เขาเข้าร่วมในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษของเราหรอก!”

เสียงของเขาก้องไปทั่วห้องโถง และเต็มไปด้วยกระแสยั่วยุ

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]