เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2007

บทที่ 2007 สั่งสอน!

………………..

บทที่ 2007 สั่งสอน!

การที่เฉินจืออวี้ออกมาท้าทายเฉินซีทำให้ผู้คนมากมายในโถงประหลาดใจในทันที บรรยากาศพลันเปลี่ยนผันพิกลเล็กน้อย

เหล่าสมาชิกตระกูลเฉินปรายตามองเฉินซีด้วยหัวใจเย้ยหยัน เหมือนสุขใจยามเฉินซีตกทุกข์ รอชมเรื่องสนุก

หลังผงะไปเล็กน้อย รอยยิ้มบางก็ยกขึ้นที่มุมปากเฉินหลิงคงอย่างช่วยไม่ได้

เท่าที่เขารู้ หากเฉินจืออวี้เอาชนะ ขยี้วิญญาณของเฉินซีได้ยามนี้ มันก็เท่ากับประกาศว่าเฉินซีสิ้นคุณสมบัติเข้าร่วมพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ

เฉินหลิงคงย่อมยินดีที่เป็นเช่นนั้น

มีเพียงถังเสียนและอู๋เซวี่ยฉานที่เหลือบมองกันแล้วขมวดคิ้ว เพราะพวกเขาไม่อยากให้เฉินซีเผยฤทธาในเวลานี้

แต่พวกเขาก็ช่วยเฉินซีมามากพอแล้ว เฉินซีจึงควรจัดการเรื่องที่เหลือเอง

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าคิดเช่นไร?” อู๋เซวี่ยฉานถาม

“ข้ารู้สึกว่า ในเมื่อผู้อาวุโสเฉินตกลงให้ข้าเข้าร่วมการประชันนั้น แล้วศึกอันไม่จำเป็นนี้จะมีประโยชน์อะไร?” เฉินซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงขมวดคิ้วเปิดปาก “อีกอย่าง เอาชนะเขายามนี้หามีประโยชน์ใดต่อข้าไม่ แล้วจะสู้กับเขาไปเพื่อการใด”

ใช่แล้ว เฉินซีไม่คิดสนใจเฉินจืออวี้ นี่ไม่ใช่ศึกชิงตำแหน่งทายาทอย่างแท้จริง แล้วเหตุใดจึงต้องต่อสู้อย่างเกินจำเป็น? เขารู้สึกว่ามันเสียเวลาเปล่า

อู๋เซวี่ยฉานได้ยินแล้วก็อดยิ้มและพยักหน้ามิได้

แต่เมื่อวาทะนี้กระทบโสตเฉินจืออวี้ เขาก็รู้สึกว่าเฉินซีขลาดเขลาไม่กล้าสู้ตน จึงกล่าวขึ้นอย่างเหยียดหยาม “อะไรนี่? เป็นถึงศิษย์เขาเทพพยากรณ์ แต่กล้าเพียงอวดอำนาจแล้วซ่อนหลังผู้อาวุโส ไม่กล้าออกมาสู้เอง? น่าผิดหวังนัก”

วาทะนั้นเชือดเฉือนสุดขั้ว สื่อนัยชัดเจนว่าล้อเลียนเฉินซีเป็นผู้อาศัยบารมีผู้อื่นกำแหงรังแกผู้น้อย แต่กลัวผู้แข็งแกร่ง

สมาชิกตระกูลเฉินคนอื่น ๆ ก็หัวเราะตามกัน

“สหายเต๋าเฉินซี เจ้ากล้าหรือไม่?”

“หากมิกล้าก็รีบยอมรับเสียว่าเจ้าด้อยกว่า แล้วไปเสียแต่โดยดี ตระกูลเฉินของเราไม่ใช่ที่ที่ผู้ใดก็มาทำตัวกร่างกำแหงได้!”

“เฮ้อ น่าผิดหวังเสียจริง ข้าคิดว่ามีเพียงเขาเทพพยากรณ์และกองกำลังใหญ่อีกไม่กี่แห่งในโลกหล้าที่เทียบชั้นตระกูลผู้พิทักษ์เต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างเราได้ ใครเล่าจะคาดคิดว่าพวกเขาหาคู่ควรชื่อเสียงนั่นไม่?”

คนมากมายกระทั่งเริ่มล้อเลียนเหยียดหยามเฉินซี

เฉินหลิงคงเมินเฉยเรื่องทั้งหมดนี้ ดูไร้เจตนาหยุดเรื่องนี้แม้แต่น้อย

ขณะเดียวกัน เฉินจืออวี้และคณะดูจะแน่ใจนักว่าอู๋เซวี่ยฉานและถังเสียนจะไม่เอาเรื่องพวกเขา จึงยิ่งกำแหงเล่นงานเฉินซีกันยกใหญ่

“เฉินซี เราไม่ได้บังคับเจ้าสู้นะ เจ้าไม่กล้าก็ไม่เป็นไร แม้ข้าเฉินจืออวี้จะเป็นทายาทตระกูลเฉิน ข้าจะไม่ใช้อำนาจตระกูลข้ารังแกเจ้าแน่นอน!” เฉินจืออวี้เอามือไพล่หลัง มองเฉินซีอย่างเหยียดหยามด้วยท่าทีสุดหยิ่งผยอง นอกจากนั้น เขากระทั่งเน้นคำยามพูดว่า ‘ใช้อำนาจตระกูลเขารังแกเฉินซี’!

เห็นได้ชัดว่าเขาดูไม่ชอบใจที่อู๋เซวี่ยฉานและถังเสียน ‘บังคับ’ เฉินหลิงคงให้อนุมัติการเข้าร่วมประชันของเฉินซี จึงฉวยโอกาสนี้ระบายความขุ่นเคือง

มันคือการสบประมาททางอ้อม ดูแคลนเฉินซีว่าอาศัยบารมีผู้อื่นรังแกคน และในเมื่อผู้หนุนหลังเฉินซีย่อมไม่พ้นอู๋เซวี่ยฉานและถังเสียน จึงเหมือนถูกสบประมาททางอ้อมไปด้วย

ทุกผู้ที่นี่ย่อมมิใช่คนโง่ ย่อมทราบความนัยเบื้องหลังวาจาทั้งหลาย ชั่วขณะนั้น คิ้วของอู๋เซวี่ยฉานย่นเข้าหากันเล็กน้อย

“ศิษย์น้องเล็ก ข้าควร….”

เฉินซีแย้มยิ้ม กล่าวขึ้นก่อนอู๋เซวี่ยฉานจะทันพูดจบ “ศิษย์พี่ใหญ่ สิ่งใดเกิดขึ้นจากนี้ ท่านไม่จำเป็นต้องเข้าแทรกแซง ปล่อยให้ข้าจัดการเถิด หาไม่ ข้าคงมีชื่อเสีย ใช้อำนาจผู้สนับสนุนรังแกคนอื่นจริง ๆ ก็ยามนี้”

ว่าแล้ว เฉินซีลุกขึ้น ชำเลืองเฉินจืออวี้ผู้ยืนกร่างกำแหงอย่างเฉยชา “ที่ข้าไม่อยากสู้กับเจ้าเมื่อครู่ก็เพราะไม่อยากทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่เพราะเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ประมาณตน พูดจาไม่ระวังปาก ดูเหมือนข้าจะทำได้เพียงสั่งสอนเจ้าสักหน่อย”

ขณะนี้ เฉินซีตกลงออกศึกจริง ๆ ทิ้งความเงียบสงบเมื่อกาลก่อนไป กลับกัน เพียงวาทะเหล่านี้ก็ทำให้เขาดูแข็งกร้าวตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง

เท่าที่เฉินซีรู้ ในเมื่อเจ้าพวกนี้กล้ากระทำตัวหยิ่งผยอง เขาก็ควรผยองให้ยิ่งกว่านั้น! หาไม่ เจ้าพวกนี้คงคิดไปเป็นแน่ว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ จะรังแกเช่นไรก็ได้

เสียงของเฉินซีกึกก้องทั่วโถง ทำให้สีหน้าของเหล่าสมาชิกตระกูลเฉินบูดบึ้ง เจ้านี่กล้าพูดว่าเฉินจืออวี้ไม่ประมาณตน พูดจาไม่ระวังปาก? กำเริบเกินไปแล้วจริง ๆ!

กระทั่งเฉินหลิงคงยังอดขมวดคิ้วมิได้ สั่งสอน? พูดจาใหญ่โตเสียนี่กระไร! สมาชิกตระกูลเฉินของข้าต้องให้ไอ้หนูสักคนจากเขาเทพพยากรณ์มาสั่งสอนด้วยหรือ?

ขณะนี้กระทั่งเฉินหลิงคงยังมิอาจอดกลั้นโทสะในใจได้เล็กน้อย อยากเห็นเฉินจืออวี้เหยียดหยามเหยียบย่ำเฉินซีเสียเหลือเกิน

“เจ้า… จะสั่งสอนข้า?” เดิมที เฉินจืออวี้ตื่นเต้นเอาการยามได้ยินว่าเฉินซีตกลงสู้กัน แต่สีหน้าของเขาก็บูดบึ้งทันใดเมื่อได้ยินวาทะเฉินซี สายตาของเขาเขม่นเฉินซี คมกริบเช่นมีดดาบ

“ใช่ เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก” สีหน้าของเฉินซีสุขุมสำรวมไม่แตกต่าง

“ฮะ ๆ…. ฮ่า ๆ ๆ ๆ!” เฉินจืออวี้พลันเริ่มหัวเราะด้วยสีหน้ารังเกียจเหยียดหยาม “ดี! แค่เพราะความกล้านี้ของเจ้า ข้าจะแสดงความเมตตา ไม่ให้เจ้าพ่ายน่าเกลียดนัก”

ทว่าเพียงพริบตา ใจกลางวงแสงอันเรืองรองนี้ก็ถูกหนึ่งนิ้วเรียวขาวทะลวงทะลุเป็นรู

หลังจากนั้น วงแสงก็แหลกระเบิดออกเป็นเสี่ยง สาดละอองแสงพร่างพรมทั่วทิศ สาดซัดไปทั่วโถงเช่นวายุโหม

เปรี้ยง!

หลังจากนั้น เฉินจืออวี้ก็รู้สึกราวถูกสายฟ้าฟาด ความเจ็บแปลบพลันแล่นทั่วกายา ก่อนที่ร่างจะถูกฟาดกระเด็นไปอย่างเกินควบคุม เขาร่วงลงกองกับพื้น ชนโต๊ะเก้าอี้กระจัดกระจาย นอกจากนั้น รอยแยกชวนสะพรึงมากมายยังแตกออกบนพื้น

ขณะเดียวกัน เฉินจืออวี้กระอักเลือด เส้นผมยุ่งเหยิง สภาพสะบักสะบอมอย่างยิ่ง

ทั้งหมดนี้ใช้เวลาบรรยายเนิ่นนาน ทว่าแท้จริงบังเกิดในพริบตา นับแต่ชั่วขณะที่เฉินซีลงมือจู่โจมอย่างดุเดือด วงแสงสีทองระเบิดเป็นเสี่ยง เฉินจืออวี้ถูกผลักกระเด็น…. ทุกสิ่งเกิดขึ้นแทบจะในทันที รวดเร็วเสียจนแทบไม่อาจรับรู้ทันกาล

ถึงขนาดที่สมาชิกตระกูลเฉินบางคนเห็นเพียงบางสิ่งวูบไหวต่อหน้า แล้วเฉินจืออวี้ก็ถูกผลักกระเด็น ไม่มีโอกาสเห็นด้วยซ้ำว่าเฉินซีโจมตีอย่างไร!

ยามหันมองเฉินซีอีกครั้ง เขายืนตระหง่านกับที่ด้วยสีหน้าเฉยชา ราวทุกสิ่งเมื่อครู่นี้หาเกี่ยวกับเขาไม่

พริบตานั้น ทุกคนต่างตกตะลึง

ไร้ผู้ใดคาดคิดว่า ศึกเพิ่งเริ่ม เฉินจืออวี้ก็ยังรับหนึ่งการโจมตีของเฉินซีไม่ไหว!

เพราะถึงอย่างไร แม้เฉินจืออวี้จะไม่ใช่จ้าวเอกภพผู้แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเฉิน เขาก็ยังเป็นตัวตนโดดเด่นแข็งแกร่ง นอกจากนั้น ยังเป็นเทพโดยกำเนิดผู้บรรลุเป็นจ้าวเอกภพห้าดารา ทั้งด้านทรัพยากรและการบ่มเพาะ มิใช่ผู้ที่เฉินซีเทียบด้วยได้

แต่ยามนี้… เขากลับปราชัย! กระทั่งพ่ายในกระบวนท่าเดียว! จะไม่น่าตกใจได้หรือ? มิเหลือเชื่อหรือ?

ในฐานะมหาเทพเต๋า เฉินหลิงคงย่อมประจักษ์สรรพสิ่งชัดเจน แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าเฉินซีผู้เป็นเพียงจ้าวเอกภพสี่ดาราจะมีอำนาจต่อสู้แข็งแกร่งเพียงนี้

ชั่วขณะนั้น กระทั่งเขายังอดตกตะลึงประหลาดใจไม่ได้

“สารเลว! เจ้ากล้าลอบโจมตีกัน!” เฉินจืออวี้ยันตัวจากพื้นขณะตะโกนอย่างเดือดดาล เขาไม่อาจยอมรับเรื่องที่ตนพ่ายในกระบวนท่าเดียวได้ สีหน้าของเขาบูดเบี้ยวด้วยอับอายสุดแสนในใจอย่างช่วยไม่ได้

เขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าเฉินซีแข็งแกร่งเพียงนั้นโดยแท้จริง เขารู้สึกว่าตนเลินเล่อ ทำให้เฉินซีเจ้าคนน่ารังเกียจนี่เล่นงานทีเผลอได้!

ลอบโจมตี? เฉินซีส่ายหน้าอย่างเกินกลั้น เขาไม่คิดสนใจคนผู้นี้ต่อไป หันกายคิดกลับที่นั่ง

ทว่ายามนั้น เฉินจืออวี้พลันตวาดกร้าว “หยุดตรงนั้นเลยไอ้สารเลวน่ารังเกียจ! เจ้านี่เหมือนบิดาชั่วของเจ้าไม่ผิด เลือดสารเลวน่ารังเกียจไหลเวียนในกายเจ้า! กล้าดีเช่นไรจึงหันหลังจากยามศึกยังไม่จบ?”

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]