บทที่ 2008 คุกเข่าลงเสีย!
………………..
บทที่ 2008 คุกเข่าลงเสีย!
เหมือนบิดาอาชญากรของข้างั้นหรือ?
เลือดอาชญากรชั่วช้าไหลเวียนอยู่ในตัวข้างั้นหรือ?
ทั่วร่างเฉินซีแข็งค้างไปเมื่อได้ยินเสียงคำรามโกรธนั่น สีหน้าเรียบเรื่อยพลันเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น
เปลวเพลิงแห่งความโกรธร้อนฉ่าออกมาจากใจ ทำให้นัยน์ตาดำสนิทดั่งก้นหุบเหวเจือแววจิตสังหารในพลัน
เฉินซีรู้สึกไม่ชอบบิดาตน เฉินหลิงจวิน มาตั้งนานแล้ว ถึงขั้นที่เกลียดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะมาดูถูกด่าทอบิดาต่อหน้าเขาได้!
ยิ่งเป็นในตระกูลเฉินและต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้! กลับกล้ากล่าวร้ายท่านพ่อข้าได้!
เฉินซีหันไปส่งสายตาเรียบเฉยมองเฉินจืออวี้ “คุกเข่าลงแล้วข้าจะยกโทษให้เจ้า”
มันเป็นน้ำเสียงนิ่งสงบไร้อารมณ์ ควบคู่กับสีหน้าเย็นชาของเฉินซีแล้ว ใจทุกคนที่ได้เห็นก็พลันรู้สึกเย็นยะเยือกทันใด
เฉินหลิงคงขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน
ถังเสียนเหมือนยั้งตัวเองไม่อยู่ แต่ก็ถูกอู๋เซวี่ยฉานส่งสายตาปรามไว้ว่าให้ใจเย็นก่อน
เดิมทีเฉินจืออวี้ก็โกรธจัดอยู่ แต่พอเห็นสายตาเฉินซีก็เหมือนเห็นสายตาของพญามัจจุราช ส่งผลให้สั่นสะท้านไปทั่วร่าง เกิดความหวาดหวั่นขึ้นในใจ
แต่เฉินจืออวี้ก็คุมสติไว้ได้เมื่อได้ยินคำเฉินซี เหมือนถูกฟ้าผ่ากลางกระหม่อม รู้สึกอับอายขายหน้ายิ่ง ไฟโกรธแทบทะลวงออกจากอก ใบหน้าขึ้นสี
ไอ้บัดซบนี่นอกจากจะลอบโจมตีข้าแล้ว ยังกล้าสั่งให้ข้า… คุกเข่าอีกหรือ!?
สมควรตาย!
“เจ้า… รนหาที่ตายนัก!” เฉินจืออวี้คำรามลั่น ร่างผุดขึ้นจากพื้น ง้างกรงเล็บขึ้นแล้วก็ปรากฏลูกแสงสีทองพลังดุดันขึ้นที่กลางฝ่ามือ ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นหอกสายฟ้าทองคำ
สายฟ้าลามเลียอยู่ตามตัวหอกนั้น เต็มไปด้วยกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังมีกลิ่นอายดุดันที่แทบทำลายได้ทั้งโลกา
ทันทีที่มันปรากฏตัวขึ้น ห้องโถงก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรุนแรง คล้ายว่าจะถล่มลงมา
เฉินหลิงคงเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบสะบัดแขนเสื้อใช้วิชาขั้นสูงเพื่อคงสมดุลให้พื้นที่บริเวณนี้ทันที
ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่แค่ห้องโถงที่ถูกผลกระทบนี้ พื้นที่ภายนอกโดยรอบก็คงถูกทำลายไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีของเฉินจืออวี้นั้นน่าเกรงขามขนาดไหน เขาใช้วิชาขั้นสูง ใส่อารมณ์โกรธทั้งหลายลงไป หมายบดขยี้เฉินซี
“ตายซะ!” สิ้นเสียงคำรามลั่น เฉินจืออวี้ก็ถือหอกอัสนีทองจ้วงออกไป ปลายหอกคมปลาบ พุ่งเข้ามาเหมือนสายฟ้า เล็งไปยังหน้าผากเฉินซี
ฟ่าว! ฟ่าว!
ว่ามันจะทะลวงไปทางใด ก็จะเกิดรอยแยกมิติขึ้นในห้วงอากาศ ทุกสิ่งอย่างมลายหายสิ้น
เห็นได้ชัดว่าทายาทตระกูลผู้พิทักษ์เต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างเฉินจืออวี้ ซึ่งเป็นเทพโดยกำเนิดที่ขอบเขตจ้าวเอกภพห้าดารา ย่อมมีฝีมือพอให้มีนิสัยเย่อหยิ่งได้ พลังต่อสู้ไม่น้อยหน้าใคร ย่อมไม่ใช่ตัวตนที่คนธรรมดาจะมาเทียบเคียงได้
พริบตานั้นเฉินหลิงคงก็ขยับมุมปากขึ้นชื่นชม
ส่วนพวกคนตระกูลเฉินก็ยืนอึ้งไปนานแล้ว บนใบหน้าเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่มิด เฉินซีจะรอดการโจมตีนี้ไปได้หรือไม่?
เฉินซีเห็นการโจมตีเช่นนี้ก็นิ่งเฉย เงาร่างยังยืนหยัดสูงตระหง่านดั่งต้นสนหยั่งรากลึก ทั้งสูงส่ง ดูเย็นชา ทว่าไม่มีใครหาญกล้าขยับเคลื่อนมันได้
ในสายตาคนนอก ดูเหมือนว่าเฉินซีถูกแรงกดดันจากการโจมตีผนึกร่างไว้แล้วจึงยืนอึ้งไปอยู่อย่างนั้น
กระทั่งอู๋เซวี่ยฉานกับถังเสียนที่เดิมทีมีท่าทีสุขุมยังอึ้งไปเล็กน้อย เหมือนแปลกใจกับการตอบสนองของเฉินซี
ตู้ม!
มันเกิดขึ้นภายในพริบตา หอกอัสนีทองแหวกผ่านฟ้า แรงพลังที่พุ่งเข้าหาส่งผลให้ผมสีดำสนิทของเฉินซีพัดปลิวไปด้านหลัง เสื้อผ้าอาภรณ์พลิ้วไสวไปตามแรงโจมตี
แต่ตัวเขายังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน!
หอกอัสนีทองกำลังจะถึงหน้าผากเขาแล้ว ห่างออกไปไม่ถึงฉื่อด้วยซ้ำ
แต่ในจังหวะสำคัญนั่นเอง ก็มีมือหนึ่งปรากฏขึ้น มันคว้าหอกอัสนีทองนั่นไว้จนมันหยุดสนิท!
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
คนที่ยืนชมพากันหวาดกลัว เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ แรงโจมตีนี้ทำลายดาราได้ทั้งดวง ถล่มโลกาได้ทั้งใบ แต่กลับใช้แรงมือหยุดไว้เช่นนี้ก็ได้หรือ?!
เหตุการณ์เช่นนี้ใครจะไปเชื่อกัน?
วิ้ง!
หอกอัสนีทองสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พลังแห่งกฎที่ส่องแสงออกมาเป็นสายฟ้าแผ่ออกมา มันน่ากลัวยิ่ง คล้ายกับอยากดิ้นการจับกุมของเฉินซีให้หลุด
เฉินจืออวี้ทั้งตกตะลึงทั้งโกรธา เบิกตากว้างจนแทบถลน เขาใส่ไปเต็มกำลังแล้วแท้ ๆ
พริบตาเดียวนั้นเอง อู๋เซวี่ยฉานก็ยืนขึ้นแล้วคลี่ยิ้ม เปิดขึ้นเสียงเฉื่อยชา “ผู้ที่ว่าร้ายบิดามารดาผู้อื่นย่อมถูกคนทั้งหลายชังน้ำหน้า ที่ศิษย์น้องเล็กข้าโกรธขนาดนั้นก็สมเหตุสมผลแล้ว ดังนั้นสหายเต๋าคลายความโกรธลงก่อนเถอะ อย่าให้ความสัมพันธ์ของเราต้องมัวหมองเพราะความโกรธเพียงชั่ววูบเลย”
มันเป็นน้ำเสียงอบอุ่น แต่ก็ดุดันไม่ใช่น้อย ส่งผลให้สีหน้าเฉินหลิงคงเปลี่ยนไปไม่หยุด
เฉินซีทำเหมือนไม่ได้ยิน สายตาเย็นชาจ้องลงมองเฉินจืออวี้ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า จากนั้นเอ่ยออกมาทีละคำ “นี่นับเป็นบทเรียน หากปากพล่อยอีกคงไม่ใช่แค่คุกเข่าแน่!”
พูดจบ เฉินซีก็หันหลังเดินกลับที่นั่งตน
อั่ก!
จังหวะนั้นเฉินจืออวี้โกรธจนถึงขีดสุด โกรธจนกระอักเลือดคำใหญ่ออกมา ก่อนร่างจะล้มลงกับพื้นแล้วหมดสติไป
พวกคนตระกูลเฉินร้องเสียงหลง พุ่งเข้ามาช่วยเฉินจืออวี้ ทั้งยังตวัดสายตาเกลียดชังไปทางเฉินซี มันเจือไปด้วยความหวาดกลัวที่ไม่อาจลบเลือน
เฉินซียังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขาไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรก็ได้เพราะมีอู๋เซวี่ยฉานกับถังเสียนอยู่
คิดพึ่งคนอื่นรังแกพวกเขางั้นหรือ?
น่าขันสิ้นดี! หากนี่ไม่ใช่ถิ่นตระกูลเฉิน มีหรือเฉินจืออวี้จะกล้าโอหังเช่นนี้ได้? หาไม่แล้วเฉินจืออวี้ก็คงตายไปนานแล้ว! มีหรือเฉินซีจะไว้ชีวิตอีกฝ่ายได้?
…
หลังจากเกิดเรื่องขึ้น บรรยากาศภายในห้องโถงก็หนักหน่วง สุดท้ายเฉินหลิงคงก็ต้องยับยั้งความโกรธในอกไว้ แล้วส่งคนในตระกูลพาอู๋เซวี่ยฉาน ถังเสียน และเฉินซีให้ไปพักในเรือนพักแขก
“บัดซบ! บัดซบนัก!” ทันทีที่พวกเฉินซีไปแล้ว เฉินหลิงคงก็ยั้งความโกรธในใจไว้ไม่ไหว ตบโต๊ะตรงหน้าจนแยกออกเป็นสองส่วนด้วยความโกรธเกรี้ยวทันที
คนตระกูลเฉินยังคงนิ่งเงียบเหมือนจักจั่นยามเหมันต์ พวกเขาเองก็ทั้งโกรธทั้งเศร้าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พลันรู้สึกอับอายไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน
“ผู้อาวุโส เราจะปล่อยให้เจ้าพวกนั้นมันกล้าทำโอหังต่อหรือ?” คนในตระกูลคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“นั่นสิ! พวกศิษย์เขาเทพพยากรณ์นั่นมันเย่อหยิ่งเกินไปแล้ว ไม่ไว้หน้าตระกูลเฉินเราเลย ทำกันเกินไปแล้ว!”
คนอื่น ๆ ก็ว่าตามเช่นกัน
เฉินหลิงคงได้ยินดังนี้จึงคลายความโกรธลงบ้าง เขาสูดลมหายใจอยู่หลายครั้ง เงียบอยู่ชั่วอึดใจแล้วก็เอ่ยเสียงทุ้ม “เราอ่อนด้อยกว่าจะไปพูดอะไรได้?”
พวกคนตระกูลเฉินชะงักไป ในใจยิ่งรู้สึกโกรธเกลียดยิ่งกว่าเก่า
“แต่พวกนั้นก็ทำเกินไป เริ่มพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษเมื่อไหร่ข้าย่อมสั่งสอนไอ้บัดซบนั่นแน่!” เฉินหลิงคงคงสีหน้าไร้อารมณ์ไว้ ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นยะเยือกเสียดลึกถึงกระดูก “พวกเจ้าทุกคนไปแจ้งคนในตระกูลที่เข้าร่วมทุกคนเรื่องเจ้าเฉินซีนี่ด้วย เดี๋ยวทุกคนจะรู้เองว่าต้องทำอย่างไร!”
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...