เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2009

บทที่ 2009 เยี่ยมเยือน

………………..

บทที่ 2009 เยี่ยมเยือน

ที่พำนักซึ่งตระกูลเฉินจัดไว้ให้แก่พวกเขานั้นรายล้อมไปด้วยภูเขางามและธารน้ำใส มันมีพลังศักดิ์สิทธิ์กระจายอยู่ในทุกหนแห่ง เรียกได้ว่าเป็นที่พักที่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง

ในยามนี้ พวกเขาทั้งสามกำลังนั่งอยู่บนผืนหญ้าสีเขียวหยกข้างลำธารอย่างสบายอารมณ์

“ศิษย์น้องเล็ก เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าถึงไม่ฆ่าเขาอย่างนั้นหรือ?” อู๋เซวี่ยฉานถามด้วยรอยยิ้ม

เฉินซีชะงักไปครู่หนึ่ง “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อรับพ่อแม่ข้ากลับไปเท่านั้น หากจำเป็นข้าก็ต้องอดทนอดกลั้นเสียบ้าง”

ถังเสียนพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “จะฆ่าไม่ฆ่าก็ไม่มีผลอันใดต่อเป้าหมายหรอก เฉินซีก็เพียงไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่มให้พวกเราเท่านั้น”

คำพูดของเขาสะท้อนความรู้สึกของเฉินซีได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ

อู๋เซวี่ยฉานกล่าวขึ้น “เอาละ ช่างเรื่องนั้นไปดีกว่า ก่อนหน้านี้เราเคยรวมหัวกันกดดันเฉินหลิงคงให้ยอมมาแล้ว หากพิจารณาร่วมกับความแข็งแกร่งของศิษย์น้องเล็กในตอนนี้ ข้าคิดว่าพวกเขาไม่มีทางยอมอีกอย่างแน่นอน”

ถังเสียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ข้าไม่กังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่น สิ่งเดียวที่ข้ากังวลก็คือหากศิษย์น้องเล็กเผชิญกับความพ่ายแพ้ในระหว่างการแข่งขัน นั่นก็คงยากที่จะรับมือ”

อู๋เซวี่ยฉานพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้ว อย่างไรเสียตระกูลเฉินเป็นหนึ่งในตระกูลผู้พิทักษ์เต๋าศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามียอดฝีมือมากมายอยู่ในตระกูล และแน่นอนว่าคงต้องมีคนฝีมือระดับจ้าวเอกภพด้วย ซึ่งก็เชื่อได้เลยว่าจ้าวเอกภพในโลกภายนอกไม่มีทางจะเทียบได้กับพวกเขาเป็นแน่”

อู๋เซวี่ยฉานหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “ศิษย์น้องเล็กเป็นเพียงจ้าวเอกภพสี่ดาราเท่านั้น หากเขาโชคร้ายได้พบกับจ้าวเอกภพเจ็ดดารา แปดดารา หรือแม้แต่เก้าดาราละก็ มันก็ค่อนข้างยากที่จะรับมือ”

ทุกคนในตระกูลเฉินที่สามารถเข้าร่วมคัดเลือกผู้นำตระกูลคนต่อไปจะต้องมีการระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตจ้าวเอกภพอย่างแน่นอน

ในเอกภพจักรวรรดินั้น แม้เป็นเพียงจ้าวเอกภพก็นับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ครองอำนาจเหนือสิ่งใด

อย่างไรก็ตาม ตระกูลเฉินนั้นเป็นหนึ่งในตระกูลผู้พิทักษ์เต๋าศักดิ์สิทธิ์ เกณฑ์ขั้นต่ำในการเข้าคัดเลือกเป็นผู้สืบทอดของตระกูลจะต้องเป็นจ้าวเอกภพเท่านั้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันครั้งนี้รุนแรงและยิ่งใหญ่เพียงใด

เฉินซีเข้าร่วมการแข่งขันในขณะที่เขายังอยู่ในขอบเขตจ้าวเอกภพสี่ดารา หากพิจารณาในแง่ของการบ่มเพาะ ก็ถือว่าเขาอยู่แค่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ หากเขาต้องเผชิญกับจ้าวเอกภพเจ็ดดารา แปดดารา หรือก้าวดารา มันก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

กระนั้น นี่เป็นเพียงความกังวลเท่านั้น หาใช่ความสิ้นหวังที่ชวนให้หันหลังยอมแพ้

อู๋เซวี่ยฉานและถังเสียนตระหนักอย่างชัดเจน แม้ว่าขอบเขตการบ่มเพาะของศิษย์น้องเล็กจะไม่ดีเท่าที่ควร แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่มีนั้นเรียกว่าท้าทายสวรรค์ เป็นสิ่งที่ไม่อาจชี้วัดกะเกณฑ์ได้เลย

เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่อย่าได้กังวลไป เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะทำให้ดีที่สุด!”

ณ โลกภูมิเก้าวิญญาณซึ่งเป็นที่ตั้งของตระกูลเฉิน ทันทีที่ข่าวชัยชนะของเฉินซีต่อเฉินจืออวี้กระจายออกไป มันก็ดึงดูดความสนใจของคนทั้งตระกูลอย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงเท่านั้น การที่เฉินหลิงคงพยายามเติมเชื้อไฟลงในกองเพลิงก็ทำให้ตัวตนของเฉินซีและเหตุผลที่เขามาที่นี่กลายเป็นที่เลื่องลือในหมู่พวกเขา คลื่นลูกใหญ่พลันซัดสาดไปทั่วตระกูลเฉิน

“ทายาทของไอ้สารเลวเฉินหลิงจวินนั่นน่ะหรือ? กล้าเข้าร่วมการแข่งขันเช่นนี้ช่างอวดดียิ่งนัก! รนหาที่ตายเสียแล้ว!”

“ก็แค่ไอ้สารเลวที่ไม่ใช่เทพโดยกำเนิดด้วยซ้ำ ไม่มีอะไรน่าพูดถึงเลยสักนิด”

“ถึงอย่างนั้นก็ประมาทไม่ได้ อย่างไรเขาก็เอาชนะจืออวี้ได้จริง ๆ ความแข็งแกร่งของเขาเราจะประเมินต่ำเกินไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะบางทีเขาอาจจะเตรียมตัวมานานมากแล้ว”

“เตรียมตัวมาอย่างนั้นหรือ? เหอะ! ก็เพียงจ้าวเอกภพสี่ดาราเท่านั้น! อย่าลืมสิว่าทั้งเฉินเต้าหยวน เฉินเซียวอวิ๋น และเฉินชิวสุ่ยนั้นเก่งกาจแค่ไหน พวกเขาสามารถบดขยี้เฉินซีได้อย่างแน่นอน!”

“รอดูต่อไปเถิด เจ้าคนหน้าไม่อายนั่นจะต้องได้รับผลกรรมจากความกระสันอยากจะได้ตำแหน่งผู้สืบทอดอย่างแน่นอน! พวกเราจะได้เห็นกันในวันที่พิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษเริ่มขึ้น!”

การถกเถียงอันเผ็ดร้อนเกิดขึ้นในหมู่คนตระกูลเฉินรุ่นเยาว์เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่บรรดาผู้อาวุโสล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับเหตุผลในการมาที่นี่ของเฉินซีมากกว่า!

“ที่แท้เขาก็ได้รับการสนับสนุนจากเขาเทพพยากรณ์และตระกูลถัง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงกล้าทำตัวจองหองและใช้โอกาสนี้ช่วยเหลือไอ้สารเลวเฉินหลิงจวินกับฮูหยินของมัน ใจกล้าบ้าบิ่นเสียจริง”

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราไม่มีทางปล่อยให้พวกมันสมหวังอย่างแน่นอน!”

“ใช่แล้ว คนชั่วเฉินหลิงจวินจะต้องอยู่ที่นี่ มันเป็นทางเดียวที่จะรักษาเกียรติและความปลอดภัยของตระกูลเอาไว้ได้! ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยเขาไปไม่ได้เด็ดขาด!”

ในขณะที่เรื่องเหล่านี้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุด อู๋เซวี่ยฉานและถังเสียนก็ได้ออกจากที่พำนักและไปเยี่ยมเยียนผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงของตระกูลเฉิน

อย่างที่ถังเสียนพูดไว้ก่อนหน้า แม้ว่าเฉินหลิงคงจะเป็นมหาเทพเต๋าและดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสระดับสูงในตระกูลเฉิน แต่การที่เขามีอำนาจมากมายเช่นนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด

นั่นก็เพราะตระกูลเฉินมีผู้อาวุโสจำนวนมากที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิต! พวกเขา… เป็นรากฐานที่แท้จริงของตระกูลเฉิน

สีหน้าของเฉินซีเคร่งขรึมลงทันที เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร อย่างไรเสียเฉินหลิงจวินก็ยังฝ่าด่านเคราะห์ไม่สำเร็จ

ดูเหมือนว่าเฉินหงซิ่วจะรู้ดี เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “อย่างไรก็เถอะ ปู่ของข้าเคยกล่าวไว้ก่อนที่ท่านจะตายว่ามีความลับใหญ่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการจากไปของท่านลุง และมีแนวโน้มอย่างมากว่าเขาจะถูกใส่ร้าย แต่จนถึงตอนนี้ความจริงก็ยังไม่ถูกเปิดเผย”

เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ถึงขนาดที่ท่านลุงเฉินหลิงจวินยังคงถูกตัดสินว่าเป็นคนบาปและถูกจองจำแม้ว่าเขาจะกลับชาติมาเกิดแล้วก็ตาม นี่เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดจริง ๆ”

ดวงตาของเฉินซีหรี่ลง “สหายเต๋ามาที่นี่ก็เพื่อบอกเรื่องนี้แก่ข้าหรือ?”

เฉินหงซิ่วส่ายหน้า “หามิได้ ข้าเพียงได้ยินมาว่าสหายเต๋าเฉินซีมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือท่านลุง มันทำให้ใจของข้าตื่นเต้นและคาดหวัง จึงมาเพื่อพบท่านเท่านั้น”

เฉินซีกำหมัดแน่น “ขอบคุณสำหรับความใจดีของท่าน”

เฉินหงซิ่วถอนหายใจก่อนจะพูดเย้ยหยันตัวเอง “หากข้าเป็นอย่างที่ท่านว่า ข้าคงไม่ทนนิ่งดูดาย เฝ้ามองท่านลุงถูกจองจำโดยไม่อาจช่วยอะไรได้เลยเช่นนี้หรอก”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้น “สหายเต๋า ข้าได้ยินข่าวที่ท่านเอาชนะเฉินจืออวี้แล้ว อย่างไรก็ดี โปรดถนอมตัวด้วย เรื่องนี้ทำให้ชื่อของท่านกลายเป็นที่เลื่องลือในตระกูลเฉินอย่างมาก หลาย ๆ คนกำลังเตรียมการลับ ๆ เพื่อหาวิธีสั่งสอนท่านในพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ พวกเขาตั้งใจจะให้ท่านจากไปด้วยความอับอาย”

เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “สหายเต๋า ขอบคุณสำหรับคำเตือน”

เฉินหงซิ่วอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลเมื่อเห็นว่าเฉินซีดูจะไม่แยแสกับเรื่องทั้งหมดนี้ เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “สหายเต๋า ข้าไม่ได้พูดเกินจริงหรือตั้งใจข่มขู่ท่านแต่อย่างใด ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าได้ยินมาว่ามีจ้าวเอกภพที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลสามคนเห็นท่านเป็นหนามยอกอก พวกเขาตั้งใจที่จะกำจัดท่านและล้างแค้นให้เฉินจืออวี้”

“งั้นหรือ?” คิ้วของเฉินซีเลิกสูง “ดูเหมือนว่าข้าจะสร้างความโกรธให้ขจรขจายไปทั่วเสียแล้ว”

เฉินหงซิ่วพยักหน้า “มิผิด ข้ามาที่นี่ก็เพื่อเตือนสหายเต๋าให้ระมัดระวัง ไม่ว่ายามใดก็จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”

พูดจบ เฉินหงซิ่วก็รีบบอกลาและจากไปราวกับว่าเขามีความกังวลอันหนักอึ้งแฝงอยู่

หลังจากที่เฉินหงซิ่วจากไปแล้ว เฉินซีก็ครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ส่ายหน้าสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เรื่องบางเรื่องคิดมากไปก็ไร้ประโยชน์

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เฉินหลิงคงหยุดอยู่ที่ด้านหน้าห้องโถงเก่าแก่ที่มืดสนิท

ที่แห่งนี้เรียกว่าโถงถามหทัย

ชื่อของมันฟังงดงาม หากแต่เป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับคนตระกูลเฉิน มันเหมือนกับคุกที่เอาไว้กักขังคนของตระกูลเฉินที่กระทำผิดโดยเฉพาะ!

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]