เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2046

บทที่ 2046 เนตรผีเสื้อ

………………..

บทที่ 2046 เนตรผีเสื้อ

เฉินซีนั่งขัดสมาธิบนแท่นสังเวยโบราณ ขณะที่ใช้ค่ายกลจ้าววิญญาณควบคุมให้หม้อเทวะจ้าววิญญาณโผนทะยาน เคลื่อนย้ายมิติสู่ท้องนภาไร้ขอบเขตอย่างต่อเนื่อง

เขาครุ่นคิดอยู่เสมอว่าจะทำเช่นไร หากมิอาจหนีพ้นสุญญะอันลึกลับเกินล่วงรู้นี้ได้

จะต้องล่องลอยในสุญญะต่อไปหรือ?

หรือจะเลือกวิธีเอาตัวรอดอื่นใด?

เฉินซีหารู้คำตอบไม่ แต่เขาตระหนักดีว่าเขาไม่มีทางยอมติดอยู่ที่นี่ตลอดกาล

หือ? ทันใดนั้น ในใจเขาก็บังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นอย่างอธิบายมิได้ คิ้วเฉียงเฉียบคมเลิกขึ้น กดฝ่ามือบนอากาศอย่างรวดเร็ว และเสียงครืนโครมจากมันก็ทำให้หม้อเทวะจ้าววิญญาณอันเคลื่อนทะยานสุดความเร็วหยุดลง

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หมิงผู้ทำสมาธิจนบัดนี้ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว

“มีบางสิ่งผิดปกติ ดูนั่น” เฉินซีหรี่ตาลงเล็กน้อย สีหน้าปรากฏความเคร่งขรึม ขยับปลายนิ้วเล็กน้อย แล้วหนึ่งม่านแสงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เผยภาพในโลกภายนอกขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ

เมื่อมองจากไกล ๆ มันก็เหมือนดวงเนตรหรี่ราวเบิกขึ้นท่ามกลางสุญญะดำมืด น่าสะพรึงนิ่งนัก

เรื่องประหลาดที่สุดคือสองข้างดวงเนตรหรี่เรียวนั้นมีกลุ่มแสงเจิดจรัสฟุ้งเฟ้อสอดประสานกัน ดุจปีกผีเสื้อโผบินไปมาท่ามกลางท้องนภาอันมืดดำ งดงามเฉิดฉันถึงที่สุด

รอยแยกยาวเรียวดำสนิทและแสงสว่างเฉิดฉันเป็นสองภาพอันแตกต่างกันอย่างยิ่ง แต่กลับประสานสอดเป็นหนึ่งเดียว ดูราวหนึ่งดวงตาอันมีปีกแสงคู่หนึ่งเบิกขึ้นกลางท้องนภามืดมิดอย่างเงียบเชียบ ช่างสุดแสนสะดุดตา น่าตกตะลึงเกินใดเปรียบ

ขณะที่มันดูเหมือนดวงเนตรหรี่เรียว มันก็ดูเหมือนหุบเหวธรรมชาติอันทอดตัวผ่านท้องนภา แม้อยู่แสนไกลก็ยังมองเห็น

แม้มันจะดูเหมือนแสงสว่างอันก่อตัวเป็นปีกผีเสื้อ ทว่ามันกลับเฉิดฉันเกินตะวัน โรจน์รุ่งเหนือเมฆายามอัสดง และงดงามดุจภาพฝัน

สรุปคือ หลังจากเคลื่อนย้ายมิติท่ามกลางความเงียบงันน่าเบื่อหน่ายนี้มาเกินยี่สิบปี จู่ ๆ พวกเขาก็พบเหตุตะลึงหล้าภายในสุญตาอันไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีทางเลยที่จะเลี่ยงความตกตะลึงและรู้สึกผิดปกติพ้น

รอยแยกนั่นคืออะไร?

รอยแยกมิติหรือ?

ปีกแสงคู่นั้นสร้างขึ้นจากพลังอะไร?

“งามนัก แต่ก็อันตรายยิ่งเช่นกัน ข้ารู้สึกว่าหากเราเข้าใกล้เนตรผีเสื้อนั่น เราจะเผชิญผลเกินคาดฝันแน่นอน” เฉินซีกล่าวอย่างจริงจัง ยิ่งเขามองมัน หัวใจยิ่งเต้นตุ้มต่อม ดุจรอยแยกแคบยาวนี้บรรจุจิตสังหาร พร้อมกลืนพวกเขาเข้าไปทันทีที่ประชิดใกล้

“เนตรผีเสื้อ? ชื่อนี้ไม่เลวเลย” หมิงว่า

เฉินซีนิ่งไป ก่อนจะไหวไหล่ “เรื่องเหล่านั้นหาสำคัญไม่ สิ่งสำคัญคือเราต้องไปให้พ้นจากที่นี่ หมายความว่าเราต้องเปลี่ยนทิศทาง”

หมิงเงียบไปครู่สั้น ๆ จึงกล่าวว่า “เราเปลี่ยนทิศทางมาร้อยสามสิบเจ็ดหนแล้ว ทุกครั้งล้วนล้มเหลว ลองเชิงกันต่อไปเช่นนี้ก็ไร้ประโยชน์แท้”

“แล้วเจ้าคิดทำเช่นไร?” เฉินซีขมวดคิ้ว

“เหตุใดเราไม่ลองเสี่ยงเข้าไปในรอยแยกในเนตรผีเสื้อนั่นเล่า? บางทีเราอาจพบสถานการณ์เกินคาดฝัน เปลี่ยนสถานการณ์ของเราไปก็ได้” หมิงกล่าวอย่างเคร่งขรึม ดูไม่เหมือนล้อเล่นแม้แต่น้อย

“บุกเข้าไป?” เฉินซีกลับรู้สึกเหมือนตนหูฝาดเสียแทน กล่าวขึ้นเสียงเบา “อันตรายมากนะ แม้จะอยู่ตรงนี้ ข้ายังรู้สึกหวาดหวั่นในใจ หากเข้าใกล้ก็ชัดเจนว่าอันตรายเพียงไร”

“เราจะไม่ลองดูหรือ?” หมิงหันไปมองเฉินซี “นี่เป็นโอกาสหายากนะ หากทำสำเร็จ บางทีเจ้าอาจกลับแดนเทพโบราณได้เลยก็ได้ หรือเจ้าตั้งใจจะติดอยู่ที่นี่ตราบกาล?”

เฉินซีลังเล คิดหนักในทันใด

“ข้า….” เนิ่นนานจากนั้น เฉินซีก็ถอนหายใจ เหมือนตัดสินใจได้แล้ว

เปรี้ยง!

ทว่าเขายังไม่ทันพูด เขาก็สัมผัสได้ว่าเหมือนหม้อเทวะจ้าววิญญาณถูกอัสนีกระแทกสะท้าน ส่งเสียงโอดครวญเสียดโสต

แรงกระแทกอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ทั้งเฉินซีและหมิงร่างสะท้านอย่างไม่ตั้งตัว แก่นโลหิตปั่นป่วน ร่วงกระแทกลงสู่พื้น

เรื่องทั้งหมดนี้กะทันหันเกินไป และยังน่าสะพรึงกลัวเสียจนทำให้สีหน้าของเฉินซีกับหมิงแปรเปลี่ยน ร้องออกมาว่า “ไอ้เฒ่าซูถัวนั่น!”

จริงเช่นนั้น หนึ่งเสียงเย็นเยียบเฒ่าชราดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน “ทิวทัศน์ที่นี่ไม่เลว เหมาะสมแก่การฆ่า!”

เปรี้ยง!

เสียงของเขาไม่ทันสิ้น หม้อเทวะจ้าววิญญาณก็สั่นสะท้านรุนแรงอีกครั้ง ดูเจียนระเบิดเป็นเสี่ยงเต็มที เฉินซีและหมิงรู้สึกราวโลกหล้าหมุนคว้างรอบพวกตน อึดอัดเสียจนเจียนกระอักเลือด

เห็นได้ชัดว่า หลังจากไล่ล่าพวกเขามาเกินสามสิบปี ซูถัวก็สิ้นอดทน ตั้งใจกำจัดเฉินซีและหมิงในยามนี้!

กระทั่งตัวซูถัวเองยังจำไม่ได้ว่าตนมีโอกาสฆ่าเฉินซีกี่หนตลอดสามสิบปีมานี้ แต่เฉินซีก็มีโชคดีพอหนีรอดได้ทุกครั้ง แล้วมหาเทพเต๋าผู้ยิ่งยงเช่นเขาจะไม่เกิดความขุ่นเคืองได้อย่างไร?

หากข่าวถูกแพร่งพราย เขาก็คงกลายเป็นที่ขบขัน หัวเราะเยาะกันทั่วแดนเทพโบราณแน่แท้

แต่อึดใจต่อมา ซูถัวก็ฟื้นจากโทสะเมื่อเห็นบริเวณห่างออกไปคืนสู่ความสงบ

ท้องนภาพร่างพราวไร้เหตุปั่นป่วนใด ๆ มันสงัดงันไร้สำเนียง ประหนึ่งพายุมิติเมื่อครู่ไม่มีตัวตน

รอยแยกอันดูเหมือนดวงตายังคงทอดยาวอยู่ไกล ๆ แสงสว่างเรืองรองเหมือนปีกผีเสื้อทั้งสองข้างยังคงดูเจิดจรัสเช่นภาพฝัน

แต่เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เปลือกตาของซูถัวกระตุก ขณะนี้ หัวใจอันไม่เกิดความกลัวมาเนิ่นนานกลับเกิดเค้าความหวาดหวั่นซาบซ่านถึงกระดูก

เขาบอกไม่ได้ว่าที่นั่นมีอันตรายเช่นไรอยู่กันแน่ แต่สังหรณ์บอกเขาว่า ต่อให้มหาเทพเต๋าเช่นเขาเข้าใกล้ ก็อาจถูกฉีกกระชากป่นเป็นผงในพริบตา!

นั่นมันอะไรกันแน่? ซูถัวหน้าเครียด ครุ่นคิดราวคนบ้า แต่กระทั่งด้วยประสบการณ์โชกโชนที่สั่งสมมานานปี และปัญญาเลิศล้ำที่มี ก็ยังไม่อาจคาดการณ์ถึงสิ่งใดได้!

เพราะตัวตนล้ำเลิศเช่นเขากลับไม่อาจรับรู้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์แม้สักเสี้ยวจากท้องนภาพร่างพราวนี้ มันผิดปกติอย่างยิ่ง

เขาครุ่นคิดเงียบ ๆ อยู่แสนนาน ก่อนจะสูดหายใจลึก ๆ แล้วพึมพำ “ในเมื่อเตาหลอมแห่งชะตากรรมนั่นถูกกวาดเข้าไป ข้าว่าสารเลวสองคนนั้นคงไร้โอกาสรอด ถึงกาลข้าต้องไปแล้ว….”

กล่าวจบ ใบหน้าเฒ่าชราก็ปรากฏเค้าเด็ดเดี่ยว หันกายจากไป

เขาฝึกฝนมาเกินนับปี ประสบมรสุมอันตรายเกินนับถ้วน จึงตระหนักดีว่ายามใดควรอยู่ ยามใดควรไป

เมื่อเขาเผชิญสิ่งใดเกินรับรู้ ก็ควรสำรวมตนเองไว้เป็นดี ไม่ว่าจะใคร่รู้เพียงไร!

วูบ!

หลังจากร่างของซูถัวจากไป ท้องนภาพร่างพราวอันลึกลับนี้ก็ฟื้นสู่ความเงียบงันอย่างสมบูรณ์

รอยแยกดุจดวงตาและแสงสว่างเรืองโรจน์ดุจปีกผีเสื้อดูจะตราอยู่กับที่ตราบนิรันดร์ ลึกลับเกินหยั่งทราบ

ไร้ผู้ใดทราบว่ามันอยู่ที่นี่มานานเพียงไร หรือมาปรากฏแต่ยามใด เพราะนับแต่บรรพกาลจนบัดนี้ เฉินซี หมิงและซูถัวคือคนกลุ่มแรกที่สังเกตเห็นมัน….

ส่วนผู้บ่มเพาะอื่นใดจะมาถึงที่นี่ในภายหน้า ได้เห็นเหตุอันชวนตะลึงนี้หรือไม่ ผู้ใดก็มิอาจตอบได้

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]