เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2123

บทที่ 2123 ยึดตำหนัก

………………..

บทที่ 2123 ยึดตำหนัก

บัดซบ! ในที่สุดชายในชุดผ้าแพรก็คืนสติเมื่อร่างของเฉินซีหายไปจากคลองสายตา ใบหน้าของเขาบูดบึ้งสุดขีด

เมื่อครู่ เขารู้สึกเหมือนเหยียบคาธรณีประตูมรณะอย่างแรงกล้ายามเฉินซีมองมา ทำให้เขาเผลอตัวมอบข้อมูลที่เฉินซีต้องการออกไป

และยามนี้เองที่เขาตระหนักว่าตนกระทำการน่าอายเพียงไร! เขากลัวจนเสียขวัญ!

ในที่สุดยามนี้ เขาก็เข้าใจว่าเหตุใดอิงซานคุนจึงกระทำตัวน่าผิดหวังนักเมื่อกาลก่อน คนผู้นั้น… น่ากลัวเกินไปจริง ๆ

“เราจะไปไหนกันหรือ?” ท้ายที่สุด จินอวิ๋นเซิงก็มิอาจยั้งตนถามออกมา

“ไปยึดตำหนัก” เฉินซีตอบโดยไม่เหลียวหลัง

“ยึดตำหนัก?” เปลือกตาของจินอวิ๋นเซิงกระตุก รู้สึกพูดไม่ออก เจ้านี่ไม่สังเกตหรือว่าผู้เข้าร่วมศึกส่วนใหญ่วางตัวเป็นปรปักษ์กับเขา?

ขณะนี้ อีกฝ่ายไม่มาหาเรื่องเขาก่อนก็ควรขอบคุณแล้ว เหตุใดจึงคิดไปยึดตำหนัก?

ไม่กลัวกลายเป็นศัตรูสาธารณะหรือไร?

“อันที่จริง หากไม่บาดเจ็บสาหัสเกินทนไหว จะยึดตำหนักได้หรือไม่ก็หามีความหมาย” จินอวิ๋นเซิงพยายามเรียบเรียงคำพูด แล้วแนะขึ้นเสียงเบา “ข้าคิดว่า เราอยู่ในค่ายที่มั่นก็ปลอดภัยมากแล้ว”

“เจ้าพูดถูก แต่นั่นไม่ได้ช่วยจัดการปัญหาที่อาจเกิดกับข้าได้ ดังนั้นแทนที่จะทำตามที่ว่า ข้ารับมือทุกปัญหาก่อนมานั่งคิดเรื่องความปลอดภัยจะดีกว่า” เฉินซีกล่าวอย่างสุขุม ทว่าถ้อยคำเหล่านั้นเผยอำนาจเกินโต้เถียง

จินอวิ๋นเซิงเผยยิ้มเจื่อน หุบปากไปทันทีขณะพึมพำในใจว่า ตำหนักทั้งสามสิบหกถูกยึดไปหมดแล้ว แต่ละตัวตนที่ยึดตำหนักได้ล้วนเป็นตัวตนสูงสุดในหมู่ค่ายที่มั่น!

หากเขาไปยึดตำหนักยามนี้ ศึกอันดุเดือดก็ต้องปะทุอย่างช่วยไม่ได้

ช่างมันแล้ว!

ในเมื่อเขายืนกรานจะทำ ข้าก็แค่คืนชีวิตนี้ให้เขาหากจำเป็น!

จินอวิ๋นเซิงส่ายหัววืด หยุดคิดเรื่องทั้งหมดนี้ไป

ชั่วกาลจากนั้น เฉินซีหยุดฝีเท้าตรงหน้าประตูตำหนักอันปิดสนิท ตำหนักแห่งนี้สูงราวพันจั้ง เป็นสีดำสนิททั้งหลัง ให้บรรยากาศเก่าแก่

ประตูปิดสนิท แสดงชัดว่าถูกยึดไปแล้ว บรรยากาศรอบข้างก็เงียบสนิท เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือที่ยึดตำหนักนี้ได้ร้ายกาจสุดขั้ว จึงไร้ผู้ใดบุ่มบ่ามมายึดตำหนัก

แต่ยามนี้ เฉินซีมาแล้ว

จินอวิ๋นเซิงตามเขามา ขณะที่บุคคลอีกกลุ่มตามจินอวิ๋นเซิงมาไกล ๆ เหมือนรอชมเรื่องสนุก

ปรากฏว่าเฉินซีมิได้ถีบประตูเข้าไปอย่างมาดร้าย มิได้ประกาศสงครามอย่างผ่าเผยยิ่งใหญ่ เขาทำเพียงเดินไปที่ประตูแล้วยื่นมือออกเคาะเฉย ๆ

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงเคาะนั้นไม่ได้ดัง มีจังหวะเฉพาะตัวที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกค่อนข้างสบายใจ

ยอดฝีมือจากไกล ๆ ล้วนสิ้นวจี หากพวกเขาไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบัน คงคิดไปแล้วว่าเฉินซีแค่มาทักทายเจ้าของตำหนัก

“ผู้ใด?” หนี่งเสียงอันไม่เป็นมิตรดังมาจากภายใน

เพียงวาจานั้นลำพังก็ทำให้จินอวิ๋นเซิงทราบตัวตนเจ้าของตำหนักทันที สีหน้าของเขาอดเปลี่ยนไปมิได้ ขณะรีบถ่ายทอดกระแสปราณบอกเฉินซี “สหายเต๋า เจ้าของตำหนักนี้น่าจะเป็นฉางอวิ๋นเหยี่ยจากตระกูลฉางอวิ๋นระดับกลาง! เขาเจ้าแผนการ โหดเหี้ยมอำมหิตนัก แต่ซุ่ยเหรินขวงหลันให้ค่าเขาสูงแท้….”

เฉินซีย่อมทราบดีว่าตำหนักแห่งนี้ยึดครองโดยฉางอวิ๋นเหยี่ย เหตุที่เขาหยุดชายในชุดผ้าแพรไว้ก็เพื่อถามที่อยู่ของฉางอวิ๋นเหยี่ย!

ส่วนเรื่องที่ทำไมเขาจึงมาหาฉางอวิ๋นเหยี่ย มิใช่สั่วหยิ่งฝู ไท่รุ่ย หรือเฟยหลิงเสวี่ยนั่นก็เพราะ…. พวกเขาล้วนอยู่ในตำหนักแห่งเดียวกันหมด!

“ตำหนักนี้เป็นของข้าแล้ว ข้าให้เวลาพวกเจ้าสามสิบอึดใจในการเก็บสัมภาระไปเสียเดี๋ยวนี้” เฉินซีกล่าวเสียงเรียบด้วยเสียงที่มิได้ดัง แต่รับประกันได้ว่าจะกังวานชัดแก่ทุกคู่โสตในตำหนัก

ให้เวลาสามสิบอึดใจในการเก็บสัมภาระ?

อวดดีไม่เบาเลย! ผู้ชมทั้งหลายจากไกล ๆ อดประหลาดใจไม่ได้ พวกเขาตระหนักดีว่าเฉินซีเป็นใคร และทราบว่าคนในค่ายที่มั่นมากมายคิดอยากฆ่าเฉินซีเหลือเกินเพื่อบำเหน็จรางวัลมากมาย

พวกเขาคิดไปว่าเมื่อมาถึงค่ายที่มั่น เฉินซีจะเก็บตัวเงียบและพยายามปกปิดร่องรอยสุดชีวิต มิชักศึกนำหายนะมาสู่ตน

ไร้ผู้ใดคาดคิดว่าคนผู้นี้มิเพียงเดินเข้ามาอย่างผ่าเผย หามีเจตนาปกปิดตัวตนไม่ เขากระทั่งตั้งใจบังคับยึดตำหนักในครอบครองของผู้อื่น!

พวกเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายมิเพียงกร่างกำแหง ยังอยู่ดีไม่ว่าดี รนหาที่ตายด้วย!

“น่าสนใจ! เขายังไม่รู้ตัวหรือว่าตนอยู่ในสถานการณ์เช่นไร?”

ได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของฉางอวิ๋นเหยี่ยก็กระตุกอย่างช่วยไม่ได้ ขณะกำลังจะอ้าปาก ไท่รุ่ยพลันกล่าวขึ้นก่อน “ในเมื่อเจ้ามายึดที่นี่ ก็ง่ายหน่อย หากผลงานศึกของเจ้าก้าวข้ามเราทั้งสี่ได้ ก็เอาไปเลย”

สิ้นคำ ฉางอวิ๋นเหยี่ยและคนอื่น ๆ ก็ขมวดคิ้ว ดูไม่ชอบใจแต่ก็สงบใจตนอยู่

เสียงเอะอะดังแว่วมา เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้ชมทราบว่าพวกฉางอวิ๋นเหยี่ยไม่เพียงเลี่ยงการใช้กำลังบดขยี้ละเลงเลือดเฉินซีเพื่อรักษาศักดิ์ศรี พวกเขากระทั่งคลับคล้ายเผยจุดอ่อนเสียแทน!

มันเกิดอะไรขึ้น?

หรือพวกเขามิกล้าแตกหักกับเฉินซีแม้จะมีจำนวนมากกว่า?

ยอดฝีมือจากไกล ๆ หารู้ไม่ว่าพวกฉางอวิ๋นเหยี่ยต่างกลัวฝีมือละเลงเลือดของเฉินซีในป่าหมอกจนขึ้นสมองอยู่ก่อนแล้ว

“หมดเวลา” เฉินซีชำเลืองมา ทำให้หัวใจอีกฝ่ายพากันกระตุก ทว่าวาทะต่อมาทำให้พวกเขาถอนหายใจโล่งอก

“แต่หากพวกเจ้าอยากใช้ผลงานศึกมาตัดสินเจ้าของตำหนักนี้ก็ย่อมได้” เฉินซีนำป้ายคำสั่งของตนออกมา

ฉางอวิ๋นเหยี่ยและคณะเห็นเช่นนี้ก็อดยิ้มเย็นมิได้ ช่างอวดดีเสียนี่กระไร! ผลงานศึกเขาคนเดียวจะมาเทียบพวกเราสี่คนได้อย่างไร?

ฉางอวิ๋นเหยี่ยและคณะหาคิดไม่ว่าสิ่งนี้ในสายตาคนนอกดูไร้ยางอายเพียงไร

แต่พวกฉางอวิ๋นเหยี่ยหาคิดสนใจไม่ เพราะหากให้พวกเขาประมือเฉินซี พวกเขาก็ไม่อาจประกันได้เลยว่าจะยึดครองตำหนักนี้ต่อไปได้หรือไม่!

ขณะเดียวกัน หากพวกเขาถูกขับออกไปเพราะพ่ายมือเฉินซี มันจะกลายเป็นเรื่องขายหน้ามหาศาลสำหรับพวกเขายามข่าวแพร่งพราย ผลลัพธ์เช่นนั้นมิใช่สิ่งที่พวกเขารับไหว

ขณะนี้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าเฉินซียินยอมประชันผลงานศึกกับคณะของฉางอวิ๋นเหยี่ย ผู้ชมทั้งหลายจากไกล ๆ ก็อดเคลือบแคลงกันมิได้ ไม่ว่าผลงานของเขาจะยิ่งใหญ่เพียงไร มันเทียบกับจ้าวเอกภพเก้าดาราจากตระกูลระดับกลางสี่คนได้หรือ?

มีเพียงจินอวิ๋นเซิงที่เหมือนเข้าใจบางอย่าง และอดมองเฉินซีด้วยสายตาพิกลมิได้

ขณะเดียวกัน เฉินซีก็โยนป้ายคำสั่งของตนให้ฉางอวิ๋นเหยี่ย พลางกล่าว “ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่กลับคำด้วยเพราะตัวตนและศักดิ์ศรีหรอกกระมัง”

แม้วาทะนี้จะกล่าวอย่างเยือกเย็น แต่กลับแฝงนัยเชิงเตือน

ฉางอวิ๋นเหยี่ยแค่นเสียงเย็น รับป้ายคำสั่งของเฉินซีมาถือ อดเยาะเย้ยอีกฝ่ายในใจมิได้เลยว่า ไอ้โง่นี่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสองสามวันมานี้ เราได้ผลงานมากมายเพียงไร แต่ยังกล้าประชันกับเรา? สมองเขามีปัญหาหรือไม่?

ขณะนี้ กระทั่งสั่วหยิ่งฝูและเฟยหลิงเสวี่ยยังอดแย้มยิ้มบางมิได้ ในที่สุดพวกนางก็เข้าใจเจตนาของไท่รุ่ย และอดรู้สึกชื่นชมเขาสุดใจมิได้

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]