เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2124

บทที่ 2124 ขับออก

………………..

บทที่ 2124 ขับออก

ข้อเสนอของไท่รุ่ยง่ายมาก ใช้ผลงานศึกประชันตัดสินเจ้าของตำหนัก

ทว่าเขาเล่นแง่แฝงกล

เพราะสั่วหยิ่งฝู เฟยหลิงเสวี่ย และฉางอวิ๋นเหยี่ยตระหนักดีว่าระหว่างศึกเผชิญผู้รุกรานเต๋า พวกเขาร่วมมือสังหารศัตรูมาเกินนับ รวมกระทั่งจ้าวเอกภพเก้าดารามากมายจากฝั่งผู้รุกรานเต๋า!

ดังนั้นแม้การใช้ผลงานศึกมาประชันเฉินซีในสถานการณ์เช่นนี้จะเสื่อมเสียอยู่พอตัว แต่ก็เป็นวิธีอันชาญฉลาดที่สุดในการเผชิญสถานการณ์ของพวกฉางอวิ๋นเหยี่ยอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้นในใจพวกเขาจึงเย้ยเยาะเหยียดหยันในใจไม่รู้จบเมื่อได้ยินเฉินซีตกลงประชัน

ฉางอวิ๋นเหยี่ยเล่นกับป้ายคำสั่งในมือที่เฉินซีโยนมาพลางกล่าวอย่างไม่เป็นมิตร “อย่าห่วงเลย ตัวตนอย่างเราย่อมไม่ทำเรื่องน่าอายอย่างผิดวาจาอยู่แล้ว ข้าห่วงเจ้านั่นแหละว่าจะกลับคำพูดหรือไม่?”

เฉินซีกล่าวเรียบ ๆ “หากข้าจะผิดวาจาจริง ๆ ข้าก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเห็นด้วยกับเงื่อนไขเช่นนี้ เจ้าไม่คิดเช่นกันหรือ?”

ฉางอวิ๋นเหยี่ยชะงัก หุบปากไปทันที

จริงด้วย หากเฉินซีตั้งใจใช้กำลังบีบให้พวกเขาสละตำหนัก เรื่องนี้ก็หาจำเป็นไม่เลย วาจาเหล่านี้จึงทำให้เขา ฉางอวิ๋นเหยี่ย ดูเบาปัญญาไปเสียแทน

แน่นอน เขาไม่ยอมรับหรอก

ฉางอวิ๋นเหยี่ยสูดหายใจลึก ๆ มองเฉินซีอย่างสงสาร ก่อนจะเลิกลังเล เบนสายตามามองป้ายคำสั่งของเฉินซี

ยอดฝีมือผู้เข้าร่วมศึกผู้พิทักษ์วิถีทุกคนมีป้ายคำสั่งเช่นนี้ และนอกจากพิกัดค่ายกลเคลื่อนย้ายออกจากแหล่งกำเนิดแห่งบาปเต๋า พวกมันก็มีส่วนบันทึกผลงานศึก

ศัตรูทุกตัวตนที่พวกเขาสังหารไปจะถูกบันทึกในป้ายคำสั่ง แบ่งคร่าว ๆ ได้เป็นผลงานชั้นหนึ่ง สอง และสามตามความแข็งแกร่งของศัตรูที่ฆ่าไป

ผลงานชั้นสามหมายถึงผู้รุกรานเต๋าในขอบเขตบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล ชั้นสองคือจักรพรรดิ และชั้นหนึ่งคือจ้าวเอกภพ

ผลงานศึกสามระดับนี้แทนด้วยสีเขียว แดง และทองบนป้ายคำสั่งตามลำดับ

นอกจากนั้น จุดประกายแสงอันสื่อถึงระดับผลงานศึกยังแตกต่างแบ่งระดับย่อยไปตามความเข้มของสี ยิ่งเข้มยิ่งหมายถึงการบ่มเพาะในขอบเขตฝึกฝนของศัตรูนั้น ๆ แข็งแกร่ง ยิ่งอ่อนก็ยิ่งอ่อนแอ

ฉางอวิ๋นเหยี่ยย่อมตระหนักเรื่องนั้น เขากระทั่งรู้ว่าผลงานศึกชั้นสามพันหนเท่ากับผลงานศึกชั้นสองหนึ่งหน ผลงานศึกชั้นสองร้อยหนเทียบได้กับผลงานศึกชั้นหนึ่งหนึ่งหน

ขอข้าดูหน่อยว่าเจ้านี่สั่งสมผลงานศึกไปกี่มากน้อย… หือ? นี่มัน? ในใจเขาคิดเร็วจี๋ขณะสายตาทอดมองลงที่ป้ายคำสั่งอันบันทึกผลงานศึกของเฉินซี ไม่ทันเห็นตัวเลขถนัดตาด้วยซ้ำ แสงทองเรืองรองก็แยงย้อนบดบังทัศนวิสัย

เขาประหนึ่งเห็นมวลดาราเรืองทองจรัสฟ้า โดดเด่นสะดุดตาเหนือใด

ตุ้บ!

เหตุผิดปกติเช่นนี้ทำให้หัวใจของฉางอวิ๋นเหยี่ยเต้นกระตุกเฉียบพลัน ตามด้วยสังหรณ์ร้าย ทำให้สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจังสุดขีดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

เขามุ่งสายตาไปที่ป้ายคำสั่งอีกครั้ง

ไท่รุ่ย เฟยหลิงเสวี่ย และสั่วหยิ่งฝูยืนอยู่ข้างฉางอวิ๋นเหยี่ย ยังคงยิ้มเย้ยหยันย่ามใจ พวกเขากระทั่งมุ่งสายตาเยาะเย้ยเจือสังเวชมายังเฉินซีบ่อยครั้ง ราวมองขี้แพ้รอรับผลตัดสิน

เฉินซีเฉยชาสุขุม สำรวมรับเหตุการณ์ ทำเพียงมองข้ามไหล่พวกฉางอวิ๋นเหยี่ยไปมองตำหนักเบื้องหลัง

ให้ความรู้สึกราวเขากำลังพินิจสินสงครามที่กำลังจะมาอยู่ในมือ

ไท่รุ่ยและคณะเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกรำคาญใจ เจ้านี่ไม่เปลี่ยนท่าทีจนวินาทีสุดท้ายจริง ๆ! ยโสถึงที่สุด!

ทว่าเพียงครู่ พวกเขาก็สังเกตว่าแม้เวลาหลายสิบอึดใจจะมิได้นาน ยอดฝีมือระดับฉางอวิ๋นเหยี่ยก็ไม่น่าต้องใช้เวลามากขนาดนั้นในการคำนวณผลงานศึกของเฉินซีเลยนี่

มันเกิดอะไรขึ้น?

ไท่รุ่ยและคณะเลิกคิดมองเฉินซีอย่างเย้ยหยันเวทนาอีกต่อไป สายตาของพวกเขาเบนไปหาฉางอวิ๋นเหยี่ย แล้วหัวใจของพวกเขาก็เต้นกระตุก

พวกเขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของฉางอวิ๋นเหยี่ยตึงเครียดดำคล้ำ ม่านตาหดตัวตนเหมือนรูเข็ม สัมผัสได้กระทั่งว่าลมหายใจถี่กระชั้น ทั่วร่างนิ่งเกร็งจนข้อนิ้วมือข้างที่ถือป้ายคำสั่งของเฉินซีขึ้นข้อขาวเล็กน้อย

สิ่งนี้ทำให้หัวใจของพวกไท่รุ่ยเกิดความกังวลราง ๆ รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล

เหล่าผู้ชมซึ่งมองอยู่ไกล ๆ ก็สังเกตพบบรรยากาศพิกลนี้เช่นกัน พวกเขาอดพึมพำในใจมิได้ว่า คงมิใช่กระมัง? หรือผลงานศึกที่พวกเขาทั้งสี่มีรวมกันจะไม่อาจประชันแค่เฉินซีผู้เดียวได้?

หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็พ่ายหมดท่าขายหน้าสิ้นอย่างแท้จริง!

“พี่ฉางอวิ๋น เจ้ามองมันอยู่นานแล้วนะ ผลเป็นเช่นไรบ้าง?” ใครบางคนในหมู่ฝูงชนอดตะโกนถามมิได้

เปลือกตาของพวกไท่รุ่ยคลับคล้ายกระตุกขณะมองไปที่ฉางอวิ๋นเหยี่ย แต่พวกเขาก็สังเกตพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายซีดขาวสมบูรณ์ เจือเค้าเจ็บใจมิอาจยอมรับในสีหน้า

คำถามนี้ทำให้ยอดฝีมือมากมายคิดหนัก

เฉินซีไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อเรื่องทั้งหลายมากนัก เขาทำเพียงชำเลืองคณะของฉางอวิ๋นเหยี่ย ก่อนจะเดินตรงเข้าไปในตำหนัก

จินอวิ๋นเซิงรีบร้อนตามเขาไป

เมื่อร่างของพวกเขาหายลับไปในตำหนัก เสียงสุขุมเฉยชาของเฉินซีก็กึกก้องมาจากในตำหนัก “หากในสามสิบชั่วอึดใจ พวกเจ้ายังไม่ไปไหนกัน ข้าจะถือพวกเจ้าเป็นศัตรู”

นี่เป็นเหมือนคำสั่งไล่พวกเขาไป ประกาศกลาย ๆ ว่าตำหนักนี้เป็นถิ่นของตนแล้ว!

ฉางอวิ๋นเหยี่ยและคณะหน้าบูดบึ้ง รู้สึกขุ่นเคืองเดือดดาลแน่นอก พวกเขาล้วนมาจากตระกูลชั้นกลางในแดนมารดากำเนิดบรรพ์ การได้ครอบครองหนึ่งในสามสิบหกตำหนักนับเป็นเกียรติยศสถานหนึ่ง

แต่ยามนี้ พวกเขาถูกขับออกมา ต้องหนีหางจุกก้นปล่อยเฉินซียึดตำหนัก สำหรับพวกเขาความรู้สึกนี้แย่ยิ่งกว่าตาย

พวกเขาไม่ต้องคิดก็รู้ ว่าอีกไม่นานทุกคนทั่วค่ายที่มั่นจะรู้หมดว่าเฉินซีบังคับชิงตำหนักของพวกเขาไป และพวกเขาจะกลายเป็นตัวตลกในทันที

กระทั่งยามนี้ ฉางอวิ๋นเหยี่ยและคณะก็สัมผัสสายตาพิกลจากทั่วทิศที่มองมายังพวกตนได้ นี่เหมือนเป็นการตบหน้าพวกเขาอย่างไร้สุ้มเสียง แสบร้อนเสียจนอยากแทรกแผ่นดินหนีเหลือเกิน

“เราไปพบคุณชายซุ่ยเหรินขวงหลันกัน!” ฉางอวิ๋นเหยี่ยกัดฟันกล่าวขณะชำเลืองประตูที่ปิดสนิทเบื้องหลังตนอย่างเคืองแค้น ก่อนจะกระฟัดกระเฟียดจากไป

ไท่รุ่ยและคณะตามเขาไปติด ๆ ด้วยสีหน้าหมองดำ

พวกเขาตระหนักดีว่าพวกตนไร้โอกาสชนะหากต้องสู้กับเฉินซี และพ่ายไปแล้วในด้านประชันผลงานศึก ด้วยเหตุนี้ ทางเดียวที่พวกเขาจะล้างแค้นได้ก็คือขอให้ซุ่ยเหรินขวงหลันลงมือกับเฉินซี!

ไม่นานนัก ยอดฝีมือในละแวกก็กระจายตัว ไร้ผู้ใดมาท้าทายเฉินซี

แต่พวกเขาต่างตระหนักดีว่าเหตุการณ์นี้จะอยู่เพียงชั่วคราว เพราะเพิ่งมาถึงค่ายที่มั่น เฉินซีก็กล้ากระทำการกร่างกำแหง มรสุมที่เขาจะได้เผชิญต่อจากนี้ไม่มีทางเรียบง่ายแน่นอน!

เพราะพวกเขาทราบชัดเจนว่าผู้เข้าร่วมศึกจากห้าตระกูลระดับสูงและนิกายอำนาจเทวะหมายหัวกำจัดเฉินซีอยู่ตั้งแต่ก่อนศึกผู้พิทักษ์วิถีเปิดฉากเสียอีก!

วันนี้ บัญชาเต๋าสวรรค์ปรากฏลักษณ์ในรูปแบบม่านสวรรค์ ทำให้ศึกอันยิ่งใหญ่ระหว่างทวยเทพต้องหยุดลงชั่วคราว ผู้เข้าร่วมศึกทั้งหมดต้องกลับสู่ค่ายที่มั่นเพื่อพักผ่อนฟื้นตัว

และวันนี้เองที่ข่าวการมาถึงค่ายที่มั่นของเฉินซีแพร่กระจายเยี่ยงพายุโหมไปทั่วทิศ ก่อให้เกิดเสียงฮือฮามากมาย

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]