เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2125

บทที่ 2125 สะท้านสะเทือน

………………..

บทที่ 2125 สะท้านสะเทือน

ค่ายที่มั่นของตระกูลผู้พิทักษ์เต๋าศักดิ์สิทธิ์กว้างขวางอย่างยิ่ง ดุจเมืองโบราณอันยิ่งใหญ่ ขาดเพียงตั้งกำแพงล้อม

ตำหนักสีดำสนิทสามสิบหกแห่งเต็มไปด้วยบรรยากาศเจนกาลเวลา สูงตระหง่านพันจั้งในค่ายที่มั่น ดุจผู้อาวุโสสามสิบหกท่านผู้มากประสบการณ์คุ้นความตาย

มีผู้เข้าร่วมศึกสองคนยืนหน้าประตูโถง ณ ใจกลางค่ายที่มั่น ทั้งสองล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึมชวนยำเกรง

แต่เห็นได้ชัดว่าขณะนี้พวกเขาทำหน้าที่เพียงเวรยาม!

เมื่อให้ยอดฝีมือระดับจ้าวเอกภพเก้าดาราสองคนจากแดนมารดากำเนิดบรรพ์มาเป็นเวรยาม กระทั่งเผยท่าทีภักดีเต็มใจได้เช่นนี้ ก็เป็นที่ชัดเจนว่าเจ้าของตำหนักนี้ไม่ธรรมดา ตัวตนสูงส่งเพียงไร

ผู้เข้าร่วมศึกหลายคนเดินผ่านตำหนักนั้น แต่ไม่เพียงพวกเขาไร้ท่าทีเย้ยเยาะต่อสหายเต๋าทั้งสองของพวกตนซึ่งพิทักษ์หน้าตำหนัก พวกเขากระทั่งเลี่ยงออกไปห่าง ๆ ราวเขตหวงห้ามที่ไม่กล้าเฉียดกราย

เพราะผู้เข้าร่วมศึกในค่ายที่มั่นต่างทราบว่าเจ้าของตำหนักนั้นคือซุ่ยเหรินขวงหลัน ตัวตนไร้คู่เปรียบจากตระกูลซุ่ยเหรินระดับสูง!

ขณะนี้ ร่างของซุ่ยเหรินขวงหลันจมอยู่ในสระศักดิ์สิทธิ์โกลาหล ณ ส่วนลึกในตำหนัก นอกจากนั้นเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ยังผลาญแผดทั่วกาย ทำให้สีหน้าเย็นชาทะนงตัวของเขาปรากฏให้เห็นเพียงเลือนรางท่ามกลางม่านหมอกทั่วทิศ

มีเพียงดวงตาดุจวังวนเพลิงเฉิดฉัน เผยบรรยากาศหยิ่งผยองผลาญเผาอันดูจะลามเลียทั่วท้องนภา

“เขาไล่พวกเจ้าออกจากตำหนักได้โดยใช้แค่ผลงานชั้นหนึ่งเจ็ดสิบสามหนเนี่ยนะ พวกขยะไม่ได้เรื่อง!” เสียงของซุ่ยเหรินขวงหลันดังขึ้นอย่างดูแคลน เขาไม่เคยปิดบังอารมณ์แม้จะเผชิญผู้อาวุโสในตระกูลตัวเอง ดังนั้นภาพลักษณ์ของเขาจึงหยิ่งผยองไร้สำรวม อหังการไร้เหตุผลเสมอมา

ขณะนี้ ฉางอวิ๋นเหยี่ย สั่วหยิ่งฝู ไท่รุ่ย และเฟยหลิงเสวี่ยยืนห่างออกไปจากเขาหลายจั้ง สีหน้าแต่ละคนหวาดกลัวลึกล้ำ

พวกเขาเล่ารายละเอียดยามเฉินซีชิงตำหนักจากพวกเขาออกมาแล้ว แต่หาคาดคิดไม่ว่าซุ่ยเหรินขวงหลันจะเรียกพวกเขาเป็นขยะ สีหน้าของพวกเขายากมองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“อะไร? ไม่ยอมรับหรือ? ก็ไปฆ่าเด็กนั่นสิ! เหตุใดจึงมาพบข้า? ข้าเรียกพวกเจ้าเป็นขยะก็นับว่าชมแล้วนะ!” ซุ่ยเหรินขวงหลันแค่นเสียงเย็นชา วาทะเลื่อนลั่นดุจอัสนีกึกก้องทั่วทั้งโถง แฝงด้วยอำนาจกดดันสุดขั้ว

ฉางอวิ๋นเหยี่ยและคณะยากหายใจทั่วท้อง ก้มหน้าลงแสดงท่าทีนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม พวกเขาตระหนักถึงนิสัยของซุ่ยเหรินขวงหลันดี ดังนั้นมีหรือพวกเขาจะกล้าเอ่ยวาจาอื่นใด?

ขวับ!

ซุ่ยเหรินขวงหลันในสระศักดิ์สิทธิ์โกลาหลลุกขึ้น ใช้ผ้าขนกระเรียนแดงเพลิงอันก่อจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์คลุมกาย ก่อนจะสาวเท้าเดินออกมา

พริบตานั้น เขาดูราวหนึ่งเทวาปรากฏลักษณ์จากขุมนรกทะเลเพลิง รัศมีศักดิ์สิทธิ์สาดส่อง ขับเน้นให้ดูยิ่งใหญ่อหังการ แรงกดดันจากเขาทำให้สุญตาโหยไห้สะท้านเทิ้ม

“แต่พวกเจ้าก็ใช่ว่าโง่ รู้ว่าตนด้อยกว่าเขา จึงมาหาข้า” ซุ่ยเหรินขวงหลันเอามือไพล่หลัง ก้าวเดินไปมาในโถง ขณะใบหน้าเย็นชาหาแสดงอารมณ์ใดไม่ “ว่ารายละเอียดผลงานศึกเด็กนั่นมาสิ”

ฉางอวิ๋นเหยี่ยรีบรายงาน “เรียนคุณชาย ในหมู่เจ็ดสิบสามผลงานชั้นหนึ่งของเขา สิบเจ็ดมาจากการสั่งสมผลงานชั้นสองและสาม ส่วนห้าสิบหกที่เหลือนั้น สามสิบสองมาจากผู้รุกรานเต๋าระดับต่ำกว่าจ้าวเอกภพเก้าดาราขอรับ”

กล่าวถึงตรงนี้ ซุ่ยเหรินขวงหลันพลันขัดขึ้น “แปลว่าเขาฆ่าจ้าวเอกภพเก้าดาราไปยี่สิบสี่ราย?”

ฉางอวิ๋นเหยี่ยพยักหน้า “ถูกต้อง”

“ในหมู่ตัวตนเหล่านั้นมีผู้รุกรานเต๋าระดับทายาทศักดิ์สิทธิ์สูงสุดบ้างหรือไม่?” ซุ่ยเหรินขวงหลันรุกถาม แววตาเกิดประกายพิกล

“ไม่มีเลย” ฉางอวิ๋นเหยี่ยตอบรัวเร็ว

“ไม่มีหรือ?” ซุ่ยเหรินขวงหลันขมวดคิ้ว เงียบลงครุ่นคิดหนัก

โถงตกอยู่ในความเงียบสงัด ไร้ผู้ใดกล้ารบกวนซุ่ยเหรินขวงหลัน

“ในที่สุดข้าก็สนใจเจ้าเด็กนั่นขึ้นมานิดหน่อยแล้วสิ” ซุ่ยเหรินขวงหลันหัวเราะหึ ก่อนจะรำพึงเบา ๆ “บางทีพวกเจ้าคงไม่เข้าใจหรอก แต่ยากมากนะที่ข้าจะเห็นผู้ใดในโลกาน่าสนใจ”

กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็เหมือนสิ้นสนใจคนทั้งหลาย โบกมือไล่ “ช่างเถอะ พวกเจ้าคงไม่เข้าใจหรอก ไปกันได้แล้ว ถึงเวลา ข้าจะกำจัดเขาเอง”

ฉางอวิ๋นเหยี่ยย่อมไม่เต็มใจจากไปเพียงเท่านี้ รีบร้อนกล่าว “คุณชาย ยามนี้เหมาะสังหารเขาที่สุด เกรงว่าหากช้าไปก้าวหนึ่ง คนอื่นจะชิงตัดหน้าไปก่อนนะ”

“ฮึ! ข้ากระทำการ ต้องให้เจ้ามาช่วยตัดสินใจด้วยหรือ?” ซุ่ยเหรินขวงหลันแค่นเสียงเย็น ฉางอวิ๋นเหยี่ยสะพรึงจนร่างสะท้าน มิกล้าพูดวาจาอื่นใด รีบร้อนจากไปกับกลุ่มตน

ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวออกนอกประตูตำหนัก พวกเขาก็ได้ยินเสียงของซุ่ยเหรินขวงหลันไล่หลังมา “ช่วยข้าจับตามองทีว่าผู้ใดลงมือกับเด็กนั่นคนแรก ข้าต้องการรายละเอียด”

ฉางอวิ๋นเหยี่ยและคณะนิ่งไป ก่อนจะรับคำทันทีแล้วจากไป

ยามร่างของพวกเขาหายลับจากตำหนักสมบูรณ์ ในที่สุดซุ่ยเหรินขวงหลันก็เผยยิ้มเย็น พึมพำออกมา “แม้ข้าซุ่ยเหรินขวงหลันจะกระทำตัวตามใจ ไม่สนเหตุผล ข้าก็ปฏิเสธจะทำตัวเป็นมีดให้ผู้ใดยืม ไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าจะสะกดกลั้นใจกันได้ต่อ….”

วาทะเหล่านี้ฟังดูชวนคิดอยู่ไม่น้อย

ซุ่ยเหรินขวงหลันมิได้บอกพวกฉางอวิ๋นเหยี่ยว่าแท้จริง เขาก็ให้ความสนใจทุกการเคลื่อนไหวของเฉินซีนับแต่เข้าค่ายที่มั่นมาแล้ว

ณ ตำหนักอีกแห่ง

ชื่อฉู่เกอนั่งขัดสมาธิบนพื้นพลางตั้งอกตั้งใจเช็ดหอกเพลิงโลหิตย้อมนภาอย่างนุ่มนวล สีหน้าของเขาสงบนิ่งเฉยชา

“ข้ารับปากเขาว่าจะให้โอกาสสู้กันอย่างยุติธรรม แต่ยามนี้… หายุติธรรมไม่” เนิ่นนานจากนั้น สายตาของชื่อฉู่เกอก็ละจากหอกเพลิงโลหิตย้อมนภา เงยหน้าขึ้นกล่าวกับชายชุดเทาซึ่งยืนก้มหน้าอยู่ห่าง ๆ “ไม่ช้าก็เร็ว ข้าก็จะฆ่าเด็กนั่น สิ่งที่ข้าอยากรู้จริง ๆ ในยามนี้คือเยียนซวีจะมาถึงที่ราบสูงสังหารยามใด?”

เยียนซวี!

“ไสหัวไป!”

“แม่นางเสี่ยวเสี่ยว นี่คือคำสั่งจากผู้นำตระกูลถังของพวกเจ้านะ ข้าแค่มาเตือนเท่านั้นว่าเจ้าเฉินซีนั่นปรากฏตัวแล้ว….”

“ไสหัวไป!”

“แม่นางเสี่ยวเสี่ยว หรือท่านตั้งใจจะฝ่าฝืนจำนงตระกูลถัง?”

“ข้าบอกให้ไสหัวไป!”

หนึ่งเสียงเพราะพริ้งกระจ่างใสอันเปี่ยมโทสะสุดขีดสนั่นก้องจากตำหนัก ณ จุดในสุดของค่ายที่มั่น แล้วหนึ่งบุคคลก็ถูกฟาดกระเด็นออกจากตำหนัก กระแทกลงกระอักเลือดทะลักไหลที่พื้น

หัวใจของยอดฝีมือมากมายในละแวกอดกระตุกยามเห็นเช่นนี้มิได้ ก่อนจะถอยกรูดไปห่าง ๆ จากตำหนักนี้

ถังเสี่ยวเสี่ยวใช้หัตถ์ขาวเท้าคาง นั่งที่ขอบสระศักดิ์สิทธิ์โกลาหล คิ้วสีดำดุจหมึกย้อมอันเรียวสวยขมวดปม ขณะที่ใบหน้าอ่อนเยาว์ กระจ่างขาว จิ้มลิ้มบริสุทธิ์เต็มไปด้วยความหนักใจ

ครู่ต่อมา นางก็ขยี้ศีรษะตัวเองพลางถอนใจ “เฮ้อ เฉินซีมีคนเดียวมิใช่หรือ? น่าหงุดหงิดเสียจริง! แค่ฆ่าศัตรูให้สาใจข้ายังทำไม่ได้! รู้แบบนี้ ข้าไม่เข้าร่วมศึกผู้พิทักษ์วิถีงี่เง่านี่หรอก”

เซี่ยรั่วเยวียนลืมตาขึ้นในสระศักดิ์สิทธิ์โกลาหล พริบตานั้น จิตสังหารไร้สิ้นสุดอันเข้มข้นเช่นโลหิตก็ปกคลุมไปทุกซอกมุม

ราวตำหนักแปรสภาพไปเป็นพื้นที่อันเต็มไปด้วยภูเขาซากศพทะเลโลหิต

เสียงทุ้มต่ำอันเปี่ยมจิตสังหารของเซี่ยรั่วเยวียนกังวานไปทั่วทิศ “ยังไม่พอ เขาจะควรค่าให้ข้าลงมือด้วยก็ต่อเมื่อมีผลงานศึกจากการฆ่าทายาทศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสักคนเท่านั้น”

ไกลออกไป สตรีผู้หนึ่งเหมือนมีอะไรจะพูด แต่สายตาเย็นเยียบกระหายเลือดของเซี่ยรั่วเยวียนก็กวาดมองมา “หากยังไม่อยากตาย ไปเสียเดี๋ยวนี้”

ร่างของสตรีผู้นั้นชะงักเกร็ง ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ รีบหันกายจากไปทันที

วันนี้ คลื่นมรสุมสะท้านสะเทือนเกินคาดเดาแผ่พล่านทั่วค่ายที่มั่น แค่เพราะการมาถึงของเฉินซีลำพัง

ยามค่ำวันเดียวกัน หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีมาถึงตำหนักอันอยู่ห่างไกลที่สุดในค่าย และเพียงครู่เดียว ยอดฝีมือผู้หนึ่งในตำหนักนั้นก็ถูก ‘เชิญออก’

และตำหนักนั้นก็ย่อมกลายเป็นถิ่นของชายหญิงคู่นั้น

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]