เข้าสู่ระบบผ่าน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 2128

………………..

บทที่ 2128 หนึ่งกระบี่สะท้านวิญญาณ

เมื่อเฉินซีเหลือบมอง เปลือกตาของผู้ชายหัวล้านในชุดคลุมสีเขียวก็กระตุกขณะมองผู้คนรอบข้าง ทันใดนั้นเขาก็ทำตัวอาจหาญก่อนจะเอ่ยคำอย่างเคร่งขรึม “มองอะไรกัน? ไสหัวไปได้แล้ว!”

จินอวิ๋นเชิงไม่อาจสะกดโทสะได้ก่อนจะตะโกนออกไป “จัวเชี่ยนปั๋ว เจ้าคนสารเลว เฉินซีอุตส่าห์ช่วยชีวิตเจ้าไว้ในสมรภูมิ แต่กลับเป็นคนอกตัญญูแล้วตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง สมาชิกตระกูลจัวทุกคนหน้าไม่อายเหมือนเจ้าใช่หรือไม่?”

ทันทีที่สิ้นคำ สายตาหลายคู่ก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยราวกับไม่คาดคิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้น

ผู้ชายหัวล้านในชุดคลุมสีเขียวนามว่าจัวเชี่ยนปั๋วพลันซีดเผือดก่อนจะตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “จินอวิ๋นเซิง ข้าไม่ได้ขอให้เขาช่วยชีวิตเสียหน่อย อีกอย่าง คนผู้นี้คือผู้ช่วงชิง! คือคนนอกรีต! เขาเป็นสิ่งต้องห้ามต่อเต๋าสวรรค์ แต่เจ้า จินอวิ๋นเซิง กลับไปเกาะติดกับคนนอกรีตพรรค์นี้ มันไม่ต่างจากการทรยศ เป็นอาชญากรรมที่สมควรถูกลงโทษ!”

เสียงของเขาดังก้องจนสั่นสะท้านไปทั่วหล้า แม้กระทั่งผู้เยี่ยมยุทธ์บางส่วนที่อยู่ไกลออกไปยังตื่นตัวจนส่งเจตจำนงมาตรวจสอบ

ผู้เยี่ยมยุทธ์บางส่วนที่ทราบข่าวก็เดินทางมาถึงก่อนจะยืนรักษาระยะห่างเพื่อรับชมด้วยสายตาเย็นชา

ตอนนี้ทั่วค่ายทราบว่าเฉินซีมาถึงและยึดครองตำหนักไปหนึ่งหลังแล้ว นี่ทำให้ผู้คนทั้งหลายตระหนักได้ว่าการโจมตีถึงตายที่มีต่อเฉินซีอาจเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าการสังหารหมู่จะเกิดขึ้นไวขนาดนี้

ใบหน้าของจินอวิ๋นเซิงมืดมน “มีผู้คนมากมายในโลกใบนี้ที่ถูกเต๋าสวรรค์มองว่าเป็นคนนอกรีต ในอดีต ตอนปรมาจารย์แห่งเขาเทพพยากรณ์ยังอยู่ ข้าไม่เคยเห็นพวกเจ้าต่อสู้กับเขาตัวต่อตัวเลยสักครั้ง หรือว่าพวกเจ้าแค่อยากกลั่นแกล้งเฉินซีกันแน่?”

ใบหน้าของผู้คนทั้งหลายหมองหม่นด้วยโทสะเล็กน้อย

จินอวิ๋นเซิงยิ้มหยันแล้วเอ่ยต่อ “ยิ่งกว่านั้น เฉินซีช่วยชีวิตข้าเอาไว้ มันจึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะช่วยเขาตอบ เจ้าที่เป็นคนเนรคุณมีสิทธิ์มาพูดเรื่องทรยศได้อย่างไร?”

หน้าของจัวเชี่ยนปั๋วยิ่งดุร้าย เขากำลังจะเอ่ยคำบางอย่าง แต่ฉางอวิ๋นเหยี่ยคิ้วขมวดก่อนจะเข้ามาห้ามปราม พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดจาเหลวไหลอยู่แล้ว

“เฉินซี ข้าจะให้เวลาเจ้าสามสิบอึดใจ หากไม่ยกตำหนักแห่งนี้ให้ข้า วันนี้เจ้าอาจจะต้องเจอกับปัญหาก็ได้”

ฉางอวิ๋นเหยี่ยมองเฉินซีด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงของเขาไม่มีการปกปิดจิตสังหารแต่อย่างใด

“เหลวไหล! เจ้าพ่ายแพ้ในการต่อสู้แต่ยังวางแผนจะใช้กลโกงเพื่อชิงตำหนักไปอีกหรือ? ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายไปถึงแดนมารดากำเนิดบรรพ์ ตระกูลของเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”

ใบหน้าของจินอวิ๋นเซิงซีดเผือดด้วยโทสะ คนพวกนี้ช่างหน้าไม่อาย แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขาเริ่มเป็นห่วงเฉินซี

ตอนนี้มีผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตจ้าวเอกภพเก้าดารารวมตัวอยู่รอบฉางอวิ๋นเหยี่ยมากกว่าสิบคน ซึ่งสายตาหลายคู่กำลังให้ความสนใจที่นี่อยู่ไกลลิบ ทันทีที่การต่อสู้อุบัติ เฉินซีย่อมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย

จินอวิ๋นเซิงไม่อยากเชื่อว่าคนเหล่านั้นที่ลอบดูที่นี่จะไม่ฉวยโอกาสลงมือ!

หมายความว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ส่วนใหญ่ในค่ายตอนนี้เป็นศัตรูกับเฉินซี หากพวกฉางอวิ๋นเหยี่ยต่อสู้ขึ้นมา ต่อให้เฉินซีจะไม่พ่ายแพ้ในทันที แต่พวกเขาจะต้องดึงดูดให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากลงมือพร้อมกันอย่างแน่นอน

ทำอย่างไรดี?

จินอวิ๋นเซิงอยู่ในสภาพสับสน

“นี่เป็นความคิดของซุ่ยเหรินขวงหลันงั้นหรือ?”

เฉินซีพลันเอ่ยถาม

ฉางอวิ๋นเหยี่ยยิ้มหยัน เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเฉินซีเป็นการเผยจุดอ่อน นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจ

เมื่อคิดถึงฉากอันน่าอับอายที่ถูกเฉินซีเตะออกมา ฉางอวิ๋นเหยี่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีขึ้นมา เขาแสร้งทำเป็นหูหนวกขณะเอ่ยคำอย่างเนิบช้า “ยี่สิบสี่อึดใจ”

เห็นได้ชัดว่าเขาเริ่มนับเวลาเพื่อเป็นการตอบโต้เฉินซีด้วยวิธีการเดียวกับที่โดนก่อนหน้านี้

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินซีก็ยกยิ้มแล้วไม่เอ่ยอะไรอีก

ฉางอวิ๋นเหยี่ยตระหนักดีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับการกระทำของเฉินซี แต่ก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพ่นลมออกจมูกอย่างฮึดฮัดขณะยังคงนับต่อไป “ยี่สิบ!”

ทุกคนที่อยู่ใกล้เคียงเผยใบหน้ายิ้มหยันขณะจิตสังหารปรากฏในดวงตา

บรรยากาศที่เดิมหดหู่กลับกลายเป็นความร้อนรนน่าขนลุกราวกับพายุกำลังจะก่อตัว ทำให้ผู้คนแทบจะหายใจไม่ออก

เฉินซียังคงไม่ขยับ

จินอวิ๋นเซิงสัมผัสได้ว่าคล้ายกับมีจิตสังหารซ่อนอยู่ทุกทิศทางขณะพุ่งเป้ามาที่นี่จากระยะไกล

นี่ทำให้ใบหน้าของเขาน่าเกลียดและแข็งทื่อขณะรู้สึกถึงภัยคุกคามร้ายแรงที่คืบคลานเข้ามา

เมื่อเห็นว่าเฉินซียังคงไม่ขยับ ฉางอวิ๋นเหยี่ยก็คิดว่าอีกฝ่ายกำลังร้อนรุ่มอยู่ภายใน เขาจึงอดไม่ได้ที่จะภาคภูมิใจที่ได้ดื่มด่ำกับความรู้สึกเช่นนี้

แต่บนใบหน้าของเขายังเย็นชาและโหดเหี้ยม โดยริมฝีปากอ้าออกเล็กน้อยราวกับอยากนับถอยหลังอีกครั้ง

ในตอนนี้ ฉางอวิ๋นเหยี่ยรับรู้ถึงแสงโลหิตแวววาวตรงหน้า หลังจากนั้น โลกก็กลับตาลปัตรก่อนทัศนวิสัยจะผิดเพี้ยน

เกิดอะไรขึ้น?

ฉางอวิ๋นเหยี่ยสับสนเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ตกตะลึงที่พบว่าร่างกายที่ยืนอยู่ตรงหน้าไร้ศีรษะ!

ศีรษะไปไหน?

ทันใดนั้น ความเจ็บปวดสุดแสนก็พลุ่งพล่านเข้าสู่จิตใจ แม้ในที่สุดจะเข้าใจแต่ก็สายเกินไปแล้ว สายตาของเขามืดมนก่อนจะสูญสิ้นสติไปสิ้น

ผู้คนใกล้เคียงมองไม่เห็นว่าเฉินซีลงมือเช่นกัน พวกเขาเพียงเห็นแสงโลหิตวาบไหวซึ่งหายไปอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ในค่ายตกตะลึงก็คือเฉินซีถึงกับประกาศว่าจะไปหาซุ่ยเหรินขวงหลันในวันพรุ่งนี้ นี่ไม่หมายความว่าการแข่งขันแห่งความเป็นความตายระหว่างเขากับซุ่ยเหรินขวงหลันมีชะตาจะต้องเกิดขึ้นไม่ใช่หรือ?

ซุ่ยเหรินขวงหลันคือตัวตนยิ่งใหญ่แห่งตระกูลซุ่ยเหรินซึ่งเป็นตระกูลระดับสูง เขาซึ่งเป็นที่โปรดปรานของทวยเทพคือผู้ที่มีความหวังก้าวเข้าสู่ขอบเขตมหาเทพเต๋ามากที่สุด!

หากมองดูทั่วค่าย มีผู้เยี่ยมยุทธ์เพียงหยิบมือเดียวที่สามารถเทียบเคียงอีกฝ่ายได้

แต่ตอนนี้ แม้ซุ่ยเหรินขวงหลันจะไม่สร้างปัญหาให้เฉินซี แต่เฉินซีกลับเป็นฝ่ายไปหาเอง แบบนี้จะไม่ให้คนอื่นตกตะลึงได้อย่างไร?

เพียงหนึ่งถ้วยชา ทั่วทั้งค่ายก็ตกอยู่ในความโกลาหล เมื่อทราบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าตำหนักของเฉินซี รวมถึงทราบว่าเฉินซีประกาศจะไปหาซุ่ยเหรินขวงหลัน ทั่วทั้งพื้นที่ก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนจนกลายเป็นระลอกคลื่นจำนวนมาก

“เจ้าพวกโง่! ข้าบอกแล้วไงว่าอย่าไปยั่วโมโหเฉินซีตอนนี้ แต่พวกเจ้าก็ยังพยายามเอาจำนวนคนเข้าข่มอีก เหอะเหอะ ช่างน่าขันสิ้นดี พวกเจ้าคิดว่าจะสามารถบดขยี้อีกฝ่ายซึ่งหน้าได้ด้วยเช่นนี้หรือ?”

ซุ่ยเหรินขวงหลันผู้อยู่ในตำหนักมีสีหน้าหยิ่งทะนงและเหยียดหยัน น้ำเสียงของเขาสั่นสะท้านประหนึ่งฟ้าผ่า

พวกสั่วหยิ่งฝูยังคงเงียบขณะใบหน้าซีดเผือด

หากทราบว่าเฉินซีน่าสะพรึงเพียงนี้ พวกเขาจะกล้าเสี่ยงได้อย่างไร? แต่ตอนนี้มันสายเกินกว่าจะพูดอะไรแล้ว

“แต่คนผู้นี้ถึงกับอาจหาญมาท้าทายข้า ช่างคาดไม่ถึงเหลือเกิน”

เปลวเพลิงในดวงตาของซุ่ยเหรินขวงหลันร้อนแรงขณะทั่วร่างปลดปล่อยกลิ่นอายป่าเถื่อนทรงอำนาจออกมาประหนึ่งจักรพรรดิในเปลวเพลิง

“เหอะเหอะ แบบนั้นก็ดี ข้าวางแผนจะให้คนพวกนั้นจัดการเจ้าอยู่แล้ว แต่ในเมื่อเจ้าขานชื่อข้าขนาดนี้ แล้วข้าจะไม่ตอบตกลงได้อย่างไร?”

ซุ่ยเหรินขวงหลันเงยหน้าขณะพึมพำ แล้วภาพหนึ่งก็ปรากฏในใจ ภาพดังกล่าวถึงกับเผยให้เห็นเฉินซีกำลังเผชิญหน้ากับพวกฉางอวิ๋นเหยี่ยอยู่หน้าตำหนัก โดยมือขวาของเฉินซีไม่ได้ขยับ มีเพียงปลายนิ้วเท่านั้นที่ขยับเล็กน้อย

จากนั้น แสงกระบี่โลหิตก็ปรากฏก่อนศีรษะของฉางอวิ๋นเหยี่ยจะถูกสะบั้น!

เมื่อซุ่ยเหรินขวงหลันกำลังจะตรวจสอบกลิ่นอายของแสงกระบี่โลหิตอย่างละเอียด ภาพในใจก็ปั่นป่วนจนไม่อาจจดจำได้อีก

นี่ทำให้ซุ่ยเหรินขวงหลันหรี่ตาก่อนจะตกอยู่ในห้วงความคิด

พวกสั่วหยิ่งฝูหวาดกลัวที่จะแสดงโทสะออกมาด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนซุ่ยเหรินขวงหลัน

ผ่านไปพักใหญ่ ซุ่ยเหรินขวงหลันก็ลืมตาขึ้น แล้วเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ร้อนแรงที่อยู่ในดวงตาก็เดือดพล่านถึงขีดสุดจนคล้ายกับสามารถแผดเผาท้องนภาได้

แต่ไม่ช้า ปรากฏการณ์แปลกประหลาดทั้งหมดนี้ก็หายไป แล้วสายตาคลุ้มคลั่งของซุ่ยเหรินขวงหลันก็สงบเสงี่ยมที่หาได้ยากดังเดิม

เขาหันศีรษะมาเหลือบมองพวกสั่วหยิ่งฝูแล้วเอ่ยคำอย่างเกียจคร้าน “อยากท้าทายข้าหรือ? เหอะเหอะ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อนหรอก ไปบอกเฉินซีว่าข้าจะให้สู้กับทายาทศักดิ์สิทธิ์สูงสุดผานทงในวันมะรืน หากเขาอยากสู้ก็จงรอให้ม่านสวรรค์เคลื่อนลงมาอีกครั้ง เมื่อนั้นข้าจะจัดเวลาและสถานที่ให้!”

………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]