บทที่ 2186 ความรวดร้าว
………………..
บทที่ 2186 ความรวดร้าว
เสียงนี้ราวกับมังกรที่คำรามอย่างภาคภูมิไปทั่วทั้งจักรวาล กึกก้องดุจระฆังล้างโลก!
แม้แต่เจ้านิกายอำนาจเทวะก็ยังถูกระเบิดจนถอยกลับด้วยเสียงนี้ ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าพลังภายในเสียงนี้น่าสะพรึงเพียงใด
ในทางกลับกัน การได้ยินเสียงนี้ก็เหมือนกับการได้ยินเสียงของธรรมชาติและเสียงสวดพระคัมภีร์ให้ผู้อื่นฟัง ดวงจิตแห่งเต๋าของพวกเขาได้รับการปลอบประโลม ความโศกเศร้าและความหดหู่ที่สะสมอยู่ภายในก็ถูกขจัดออกไป
เสียงนั้น….
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่รู้ตัว
ในเวลาเดียวกัน เจ้านิกายอำนาจเทวะก็มองไปยังทิศทางนั้นเช่นกัน
ร่างสูงปรากฏออกมาจากอากาศ เขาสวมชุดสีเขียว ผมสีดำสนิทหนายาวปลิวไปตามแรงลม ใบหน้าหล่อเหลาปกคลุมไปด้วยการแสดงออกที่เย็นชาและเฉยเมย
โดยเฉพาะดวงตาที่ลึกราวกับหุบเหว พวกมันพวยพุ่งด้วยจิตสังหารอันไร้ขอบเขต และมันน่าตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเป็นเฉินซีที่รีบรุดมาให้ทันเวลา!
ดวงตาของศิษย์ทุกคนจากเขาเทพพยากรณ์ทอประกายวาว ไม่เคยคิดเลยว่าเฉินซี จะสามารถมาถึงได้ทันเวลาจริง ๆ
ถึงขั้นที่สามารถบีบให้เจ้านิกายอำนาจเทวะล่าถอยได้ด้วยเสียงเดียว!
นั่นเป็นเพียงความรู้สึกเหมือนความฝัน
ในทางกลับกัน ดวงตาของเจ้านิกายอำนาจเทวะก็หรี่ลงเล็กน้อย กลิ่นอายเคร่งขรึมขึ้น
ก่อนหน้านี้ เขาได้ยินจากอู๋เซวี่ยฉานว่าเฉินซีได้สังหารสิบสามข้ารับใช้เต๋า และฉีกเทียบอันดับเทวาระหว่างศึกผู้พิทักษ์วิถี ดังนั้นเฉินซีจึงแตกต่างไปจากอดีตอย่างสิ้นเชิง
สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เขาตกใจมากนัก และถึงขนาดที่มันอยู่ในการคาดการณ์ของเขาด้วยซ้ำ
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ การปรากฏตัวของเฉินซีทำให้แผนการของเขาหยุดชะงัก
อู๋เซวี่ยฉานก็ได้ยินเสียงของเฉินซีเช่นกัน แต่ดูเหมือนเขาจะสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดจนไม่สามารถแม้แต่จะหันหน้าไปมองได้
กระนั้นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะยืนยันว่าเฉินซีมาถึงแล้ว
หลังจากนั้น ร่างของเขาที่ยืนตัวตรงประหนึ่งหอกเหล็กกล้า ดูเหมือนจริง ๆ แล้วมันได้สูญเสียแรงพยุง และล้มลงกับพื้นอย่างเงียบ ๆ….
ความเหนื่อยล้าที่สุดจะบรรยายได้แล่นเข้าสู่หัวใจ และมันทะลักขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับกระแสน้ำ
เขาต้องวิ่งวุ่นไปทั่ว และทำงานอย่างหนักเพื่อดูแลเขาเทพพยากรณ์มานานเกินนับปี เป็นภูเขาสูงตระหง่านที่ปกป้องเหล่าศิษย์ทั้งหลาย
เขาไม่เคยได้พักผ่อน และไม่เคยผ่อนคลายขนาดนี้มาก่อน
เขาไม่เคยรู้สึกเหนื่อยล้าหรือรู้สึกไร้กังวลมาเป็นเวลานานแล้ว
ในขณะนี้ เมื่อความเหนื่อยล้านั้นแล่นผ่านร่าง และความกังวลสุดท้ายในใจหายไป อู๋เซวี่ยฉานก็รู้สึกว่าเขาไม่เสียใจที่ต้องตายเช่นนี้
“ศิษย์พี่ใหญ่!” เสียงแผ่วเบาที่แฝงด้วยความโศกเศร้าดังก้องอยู่ในหูของทุกคน และทันใดนั้น อู๋เซวี่ยฉานก็รู้สึกว่าร่างกายถูกโอบกอด
เขารู้ว่านั่นคือศิษย์น้องเล็กของเขา
เขาพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้ง เพื่อดูใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคยตรงหน้า
ทว่าในขณะนี้ ใบหน้านั้นกลับเต็มไปด้วยความกังวล ความโศกเศร้า ความโกรธแค้น และความเกลียดชัง โดยเฉพาะในดวงตาคู่นั้น มีน้ำตาคลอหน่วยเจียนหยดรอมร่อ
ริมฝีปากของอู๋เซวี่ยฉานเผยอเล็กน้อย ขณะที่เขากล่าวด้วยความยากลำบาก “ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าก็วางใจได้แล้ว”
เฉินซีรู้สึกเหมือนมีเหล็กแหลมทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจอย่างรุนแรง เจ็บปวดจนหายใจลำบาก เขามองเพียงปราดเดียว ก็รู้ว่าพลังชีวิตของศิษย์พี่ใหญ่กำลังหายไปอย่างรวดเร็ว และจวนหมดลมหายใจแล้ว
ซึ่งแม้แต่เขาก็จนปัญญากับอาการบาดเจ็บเช่นนี้!
เขารู้สึกหมดหนทาง!
เขารู้สึกไร้พลัง!
เขารู้สึกคับข้องใจ!
อารมณ์ทั้งหมดนี้เหมือนกับศิลาหลอมที่ลุกโชนพวยพุ่งในหัวใจ ทำให้เขาแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
หากมีบุคคลหนึ่งนอกเหนือจากบิดามารดาที่เขาเคารพและรู้สึกว่าใกล้ชิดที่สุดในโลกนี้แล้ว นั่นก็คืออู๋เซวี่ยฉานอย่างแน่นอน
อู๋เซวี่ยฉานเป็นเหมือนผู้อาวุโสที่คอยโอบอุ้มปกป้องเขาจากลมฝน วางแผนเส้นทาง และไม่เคยถามอะไรเกี่ยวกับเขา หรือตำหนิเขาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น อู๋เซวี่ยฉานไม่เคยแสดงร่องรอยของความอ่อนแอ ความลังเล หรือความเย็นชาให้เห็นเลย
ในใจของเฉินซี ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาทรงพลังเสมอ! อยู่ยงคงกระพัน! เขาเป็นคนที่เฉินซีรักเคารพและนับถืออย่างสูงเสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น!
บัดนี้….
ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาล้มลง นอกจากเลือดที่ไหลรินอย่างต่อเนื่อง ใบหน้ายังเจือเค้าอ่อนล้าอย่างสุดแสน
เขาจวนหมดลมหายใจแล้ว
เขาไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้า ไม่ได้อ่อนโยนและสงบเช่นกาลก่อน เฉินซีจะไม่ได้ยินอู๋เซวี่ยฉานเรียกเขาว่า ‘ศิษย์น้องเล็ก’ ด้วยเสียงที่อบอุ่นนั้นอีก….
เฉินซีกัดฟันแน่นพลางมองดวงตาของอู๋เซวี่ยฉานที่ค่อย ๆ หรี่ปรือ มันรู้สึกเหมือนคลื่นยักษ์กำลังโหมกระหน่ำในใจของเขา ซึ่งเต็มไปด้วยพายุแห่งความโกรธ ความสิ้นหวัง ความโศกเศร้า และความรวดร้าว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านจะต้องไม่ตายอย่างแน่นอน ข้าเข้าใจสังสารวัฏแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้ที่ทำให้ท่านตายได้! ไม่มี!!” เฉินซีกัดฟันแน่น ในขณะที่ข้อนิ้วของเขาซีดลงจากการกำหมัดแน่นเกินไป
ริมฝีปากของอู๋เซวี่ยฉานเผยอเล็กน้อย ดูเหมือนเขาตั้งใจจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้ นัยน์ตาถูกปกคลุมไปด้วยสีเทาขุ่นมัว และร่างกายเริ่มเย็นเฉียบ….
“ศิษย์พี่ใหญ่….” เฉินซีกอดอู๋เซวี่ยฉานไว้แน่น ในขณะที่เขาพึมพำคำว่า ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ ซ้ำ ๆ น้ำตาอุ่นร้อนสองสายไหลรินออกมาจากดวงตา
สองคำนี้ทั้งอหังการ เย็นชา และเอาแต่ใจอย่างยิ่ง
หากคนอื่นพบว่ามีคนกล้าสั่งให้เจ้านิกายอำนาจเทวะคุกเข่า พวกเขาคงจะเสียสติจนเป็นบ้าไปแล้ว
ทว่าตอนนี้ร่างกายของเจ้านิกายอำนาจเทวะกลับตัวแข็งทื่อ เหมือนมีพลังที่ไม่อาจต้านทานได้กดลงบนร่าง เกิดเสียงที่ดังก้องอย่างท่วมท้นทั่วร่างกายของเขา
“เจ้าหนู เจ้าน่าจะรู้ว่านี่เป็นเพียงเจตจำนงของข้า แต่ยังคิดจะทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้อีกหรือ! ไร้เดียงสานัก” เสียงของเขายังคงสงบ แต่พลังจากเมื่อครู่ซึ่งดูเหมือนจะมีอยู่ทุกแห่งหน กลับหาไม่พบเลย
ร่างกายของเขาถูกควบคุม ในขณะที่เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วร่างกาย กระดูกสันหลังถูกกดลง เข่าระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ จนแทบทรุดลงกับพื้น
แต่ถึงกระนั้น เขากลับดูไม่โกรธเคืองเลยหรือรู้สึกอับอายแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขารู้สึกว่าการกระทำของเฉินซีนั้นน่าหัวร่อและไร้เดียงสา
เฉินซียังคงเงียบและไม่แยแสกับเรื่องนั้น
โพละ!
ท้ายที่สุด เจ้านิกายอำนาจเทวะก็คุกเข่าอยู่ตรงนั้น
โครม!
ดูเหมือนเฉินซีจะไม่ขยับเลย แต่ขาของเขาไปอยู่บนศีรษะของเจ้านิกายอำนาจเทวะแล้ว และศีรษะของอีกฝ่ายก็ถูกกระทืบลงกับพื้น
หลังจากนั้น เฉินซีกล่าวว่า “ข้ารู้ดีว่านี่ไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของเจ้า แต่แล้วจะทำไม? ข้าจะมุ่งหน้าไปยังมาตุภูมิหมื่นวิถี เมื่อข้าทำลายเจตจำนงของเจ้า ข้าก็จะกำจัดทุกร่องรอยของเจ้าในโลกนี้! ในเวลานั้น แม้แต่นภาผนึกเทพก็ไม่สามารถช่วยเจ้าได้!”
การคุกเข่าและถูกกระทืบศีรษะลงบนพื้น เป็นเหมือนกับการดูถูกที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง และมันจะเจ็บปวดยิ่งกว่าการฆ่าพวกเขาเสียอีก
ทว่าเจ้านิกายอำนาจเทวะกลับรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด ถึงขั้นคลี่ยิ้มด้วยซ้ำ
“เจ้าหนู การแสดงของเจ้าทำให้ข้าพอใจจริง ๆ ข้าตั้งตารอ เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าจอมคนที่แท้จริงเป็นอย่างไร”
น้ำเสียงของเขาสงบ และยังแฝงความคาดหวังเล็กน้อยอีกด้วย เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าประมุขของนิกายอำนาจเทวะจะสามารถรักษาสภาพจิตใจที่ไร้อารมณ์และไม่แยแสในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร
บางทีเขาอาจจะไม่ใช่แค่ไร้อารมณ์ต่อคู่ต่อสู้ แต่แม้กระทั่งกับตัวเขาเองด้วยซ้ำ
เฉินซีกล่าวอย่างไม่แยแส “จอมคนเหรอ? เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าวางแผนเพื่อควบคุมเต๋าแห่งสวรรค์เลยหรือ? ดูเหมือนว่าเจ้าคิดว่าตัวเองมีอำนาจล้นฟ้าแล้ว?”
เจ้านิกายอำนาจเทวะยิ้มพลางกล่าว “การควบคุมเต๋าแห่งสวรรค์เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เมื่อเจ้ามาถึงมาตุภูมิหมื่นวิถี เจ้าจะเข้าใจว่าความทะเยอทะยานที่ข้าทุ่มเทมาทั้งชีวิตนั้นยังห่างไกลจากสิ่งที่นภาผนึกเทพสามารถเติมเต็มได้”
เฉินซีเงียบไปครู่หนึ่ง “ตราบใดที่ข้าเฉินซียังคงอยู่ในโลกนี้ วันนั้นจะไม่มีวันมาถึง”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็กระทืบเท้าลงไป ร่างของเจ้านิกายอำนาจเทวะระเบิดเป็นชิ้นเสี่ยง และกลายเป็นละอองแสงละล่องหายไปในอากาศ
ในเวลาเดียวกัน เสียงที่คลุมเครือของเจ้านิกายอำนาจเทวะก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน “เจ้าหนู ผลลัพธ์ยังไม่ได้รับการตัดสิน ดังนั้นอย่าด่วนตัดสินใจเร็วเกินไป ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่มาตุภูมิหมื่นวิถี ถ้าเจ้าไม่มา อาจารย์ของเจ้า อาจารย์ลุง และคนที่เจ้ารักในสามภพ จะถูกส่งไปพบกับอู๋เซวี่ยฉาน….”
เสียงของเขาค่อย ๆ หายไป และโลกก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
………………..

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...