บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 23

บทที่ 23 หอวิจิตร
บทที่ 23 หอวิจิตร

เฉินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย เมื่อเห็นเค้าความสับสนก่อตัวบนใบหน้าของเมิ่งคงและหลัวชง ‘การฝึกฝนด้วยวิธีจินตภาพมันทำไมหรือ?’ เฉินซีครุ่นคิดในใจ

“ท่านพี่ ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์เมิ่งคงกล่าวว่าวิธีการฝึกฝนแบบจินตภาพนั้นหายากมาก ซึ่งที่เมืองหมอกสนนี้มีผู้ครอบครองเคล็ดวิชาประเภทนี้เท่าที่นับได้มีไม่เกินสามคน”

“เหตุผลที่เคล็ดวิชาจินตภาพนี้ล้ำค่ามาก เป็นเพราะมันไม่อาจถ่ายทอดออกมาเป็นแผ่นหยก งานเขียนหรือภาพประกอบได้ ในทางกลับกัน มีเพียงการถ่ายทอดจากเจ้าของเดิมผ่านทักษะลับประเภทหนึ่ง และจะมีผู้สืบทอดได้เพียงผู้เดียว มิอาจถ่ายทอดอย่างแพร่หลายได้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมันถึงหายากนัก”

เฉินฮ่าวสังเกตได้ถึงความสับสนที่ก่อตัวขึ้นภายในตัวเฉินซี จึงกระซิบผ่านหูและอธิบายว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าเคยได้ยินมาว่านิกายโบราณเหล่านั้นได้ซ่อนทรัพยากรไว้ใช้ยามฉุกเฉินมากมาย อีกทั้งยังมีสมบัติลับแห่งจินตภาพที่ใช้ในการมองเห็นแตกต่างกัน ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลที่น่าทึ่งผ่านความรู้ของพวกเขา พวกเราสามารถเข้าใจวิธีการมองเห็นภาพผ่านสมบัติลับแห่งจินตภาพเหล่านั้นได้ เช่นเดียวกับจารึกศิลากระบี่ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจรก็นับเป็นสมบัติลับแห่งจินตภาพอันลึกลับเช่นเดียวกัน”

เฉินซีก็เข้าใจในทันที เขานึกถึงรูปปั้นเทพเจ้าฝูซีที่อยู่ภายในทะเลแห่งจิตสำนึกของตนเอง และก็รู้สึกลึก ๆ ว่าตัวตนของมันกลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งนัก

“ข้าจะเรียนรู้ทักษะจินตภาพโดยเร็วที่สุด แต่ถ้าหากข้ายังไม่อาจเข้าใจความลี้ลับของโครงสร้างอักขระยันต์เหล่านี้ได้ในเวลานั้น ข้าจะกลับมาพบท่านอีกครั้ง” ฉินหงเหมี่ยนประสานมือเล็ก ๆ ของนางเป็นการขอบคุณ ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายแห่งความมุ่งมั่น ก่อนจะโบกมือให้เฉินซีและหันหลังเดินจากไป

“เมิ่งคงคราวนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่ครั้งหน้าข้าจะสู้กับเจ้าอย่างแน่นอน!” หลัวชงหาได้สนใจที่จะซักถามเฉินซีเกี่ยวกับทักษะจินตภาพ ยามเมื่อเขาเห็นฉินหงเหมี่ยนจากไป เขาก็จ้องมองไปยังเมิ่งคอย่างดุร้าย ก่อนที่จะจากไปอย่างไม่เต็มใจ

“ในที่สุดไอ้เจ้าคนเสียสติก็จากไปเสียที” เมิ่งคงแย้มยิ้มเมื่อเห็นคนทั้งสองจากไป จากนั้นเขาก็หันไปมองเฉินซีด้วยสายตาพิลึกชอบกล “นับว่าไม่น่าแปลกใจหากเจ้าจะมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มันเป็นเพราะเจ้าได้บ่มเพาะทักษะจินตภาพนี่เอง”

“อาจจะ” เฉินซีตอบอย่างลวก ๆ และไม่เต็มใจที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้อีก

“ทักษะจินตภาพนับเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง มันทั้งหายากและล้ำค่า อย่ากล่าวถึงเรื่องนี้กับผู้ใดอีกในภายภาคหน้า มิฉะนั้นชีวิตของเจ้าอาจประสบกับภยันตราย”

เมิ่งคงแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “แต่อย่าได้กังวลไป แม้ว่าหลัวชงจะแลดูคล้ายคนเสียสติ แต่เขาจะไม่เปิดเผยความลับของเจ้าออกไปอย่างแน่นอน”

เฉินซีพยักหน้ารับ แต่เขาแอบคิดในใจว่า ‘หาได้มีความลับใดในโลก แต่เอาเป็นว่าข้าจะไม่กล่าวเรื่องนี้กับผู้อื่นในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ข้าเกือบที่จะปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความโชคร้ายให้ตัวเองในครั้งนี้เสียแล้ว…’

วันรุ่งขึ้น เมิ่งคงพาเฉินฮ่าวเดินไปตามเส้นทางสู่เมืองทะเลสาบมังกร

เฉินซีรู้สึกเศร้าเล็กน้อยกับการจากไปของน้องชาย และยิ่งเมื่อรู้ว่าไป๋หว่านฉิงก็จะพาซีซีจากไปพร้อมกับเมิ่งคงเช่นกัน อารมณ์ของเขาก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น

“ท่านพี่อย่าได้กังวล ข้าจะตั้งใจฝึกฝน ส่วนท่านก็ดูแลตัวเองให้ดีด้วย ไม่ต้องคอยเป็นกังวลถึงตัวข้าหรอก…”

“เฉินซี ตั้งแต่วันที่ข้าพาเฉินฮ่าวไปพบเมิ่งคง ข้าสัญญาว่าจะออกจากเมืองหมอกสนและกลับไปที่เมืองทะเลสาบมังกรกับเขา เจ้าต้องคอยดูแลตัวเองให้ดี และหากเจ้ามายังเมืองทะเลสาบมังกร เจ้าต้องมาทักทายน้าไป๋คนนี้ด้วยล่ะ”

“พี่เฉินซี ซีซีกำลังจะจากไป นี่คือลูกกวาดที่ซีซีชอบมากที่สุด ข้าจะแบ่งให้ท่านกินครึ่งหนึ่งและหลังจากที่ท่านพี่ทานแล้ว ท่านพี่จะกลายเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า ลาก่อน!”

เสียงของเฉินฮ่าว ท่านน้าไป๋และซีซียังคงดังกังวานติดหู ขณะที่ชายหนุ่มนั่งอยู่ภายในห้องของเขาและเหม่อลอยเป็นเวลาเนิ่นนาน ก่อนที่จะค่อย ๆ เปิดจดหมายที่สวยงามอยู่ภายในมือของเขา

‘ถึงเฉินซี ในโลกแห่งการบ่มเพาะ ความตายนั้นแฝงตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง หากเจ้าต้องการก้าวเดินในเส้นทางนี้ เจ้าจะต้องมีเคล็ดวิชาต่อสู้อันลึกล้ำที่เหมาะสมกับระดับการบ่มเพาะของเจ้า เมื่อคืนนั้นยามที่เราได้เสวนากันโดยละเอียด ข้าสังเกตว่าเจ้าดูเหมือนไม่ได้ฝึกทักษะการต่อสู้มาหลายปีแล้ว การบ่มเพาะของเจ้าในเต๋าแห่งการต่อสู้นั้นแสนธรรมดาทั่วไปเสียเหลือเกินและนี่เป็นข้อห้ามอันร้ายแรงของผู้บ่มเพาะ

เต๋าแห่งการต่อสู้นั้นคือรากฐานของวิชาการต่อสู้ทั้งหลายเช่น วิชากระบี่ วิชาหมัด วิชาดาบ… ไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อสู้แบบใด เจ้าต้องค้นหารูปแบบการต่อสู้ที่เจ้าถนัดด้วยตัวเอง ด้วยวิธีการนี้ เจ้าจะกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริง! เจ้าจงคอยดูแลตัวเองดี ๆ แล้วพบกันใหม่’ — เมิ่งคง’

ฟู่~!

เฉินซีถอนหายใจอย่างเนิ่นนานหลังจากที่เขาอ่านจดหมายฉบับนี้จบ

ตัวเขาได้รับประโยชน์มากมายจากการสนทนาอย่างยาวนานในคืนนั้นกับเมิ่งคง ผู้ฝึกฝนวิถีกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักหมอกสน และก็เข้าใจดีว่าแม้ระดับการบ่มเพาะของตนจะก้าวหน้าไปมาก แต่พลังการต่อสู้ของเขานั้นไม่ได้เลิศล้ำอะไรเลย ซึ่งสาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาคำนึงถึงการสร้างยันต์และศิลปะการทำอาหารเท่านั้น จึงได้ละเลยการฝึกฝนทักษะการต่อสู้ไปเสียเนิ่นนาน

ตอนนี้เมื่อเขาเห็นถ้อยคำที่เมิ่งคงเหลือทิ้งไว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ ความรู้สึกซาบซึ้งจึงบังเกิดและความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นก็ปะทุขึ้นในใจ

ในอดีตเนื่องจากต้องคอยหารายได้เข้าบ้านและช่วยน้องชายหาเงินจ่ายค่าเล่าเรียน เวลาของเขาจึงถูกใช้ไปกับการสร้างยันต์และการเรียนรู้ศิลปะการทำอาหาร จนตัวเองแทบไม่มีเวลาฝึกฝนทักษะการต่อสู้ แต่ตอนนี้หลังจากที่เฉินฮ่าวจากไป เขาเพียงแค่ต้องชำระเงินค่าเล่าเรียนของสำนักหมอกสนให้หมด และจากนั้นเขาจะสามารถใช้เวลาฝึกฝนทักษะการต่อสู้ของตนเองได้อย่างเต็มที่

‘ช่างน่าเสียดายที่ตระกูลเฉินของข้าถูกทำลายล้างและตำราวิชายุทธ์กว่าพันเล่มก็ถูกเผาทำลาย ท่านปู่สามารถรักษาเคล็ดวิชาการบ่มเพาะนภาม่วงไว้ได้เพียงอย่างเดียว ก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บจากศัตรู ถ้าข้าต้องการฝึกฝนทักษะการต่อสู้ เกรงว่าข้าจะต้องเข้าเรียนที่สำนัก’ เฉินซีครุ่นคิดเงียบ ๆ เป็นเวลาเนิ่นนานก่อนที่จะเดินออกจากห้องของเขา

ร้านค้าของตระกูลจาง

เนื่องจากแผ่นยันต์แบบใหม่ถูกขายออกไปจนหมดเกลี้ยง ฉากการแย่งชิงเพื่อซื้อแผ่นยันต์อย่างบ้าคลั่งตลอดหลายวันที่ผ่านมาจึงทยอยสงบลง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]