บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 247

บทที่ 247 เขากลับมาแล้ว

บทที่ 247 เขากลับมาแล้ว

สถานที่แห่งนี้คือเขตสามัญชนของเมืองหมอกสน

ครั้งหนึ่งเคยมีบ้านเก่าแก่และทรุดโทรมจนแทบพังทลายตั้งอยู่ที่นี่ และมันเป็นที่ที่เฉินซี ท่านปู่ของเขาและน้องชายอาศัยอยู่มานานนับสิบปี แต่ตอนนี้บ้านหลังนั้นได้หายไปแล้วและมันถูกแทนที่ด้วยจวนหลังโตที่มีพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งถูกปูด้วยอิฐหินปูนและกระเบื้องสีดำ ทำให้มันดูหรูหราอลังการ

ทว่า เมื่อเฉินซีเห็นอักขระปิดทองสองคำบนแผ่นป้าย เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งปี แต่เขากลับรู้สึกราวกับกาลเวลาได้ผ่านไปนานแสนนาน

‘จวนแห่งนี้จะเป็นที่ที่ตระกูลเฉินของข้าผงาดขึ้นอีกครั้งหรือ?’ เฉินซีกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว และความรู้สึกในใจของเขาก็แน่วแน่มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เขาจะปกป้องตระกูลเฉินด้วยทุกวิถีทางเพื่อให้มันได้เจริญรุ่งเรืองและผงาดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง!

ที่บริเวณทางเข้าสีแดงฉานของจวนหลังนี้ มีข้ารับใช้สองคนในชุดสีฟ้ายืนหลังตรงขนาบอยู่ทั้งสองข้าง พวกเขาดูอ่อนเยาว์และสุภาพ แต่การแสดงออกของพวกเขาก็ไม่ได้ถ่อมตัวหรือหยิ่งยโส เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีร่อนลงมาจากท้องฟ้าอย่างกะทันหัน และก้าวเดินช้า ๆ ไปยืนอยู่ที่ด้านหน้าทางเข้า พวกเขาก็แสดงท่าทางปกป้องด้วยสีหน้าที่อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง แต่มันก็ฉายแววที่เฉียบคมและน่าเกรงขาม ดวงตาของพวกเขาหรี่ลง แต่ก็ไม่ได้เผยให้เห็นถึงความผิดปกติใด ๆ

“มีอะ… อา!” เมื่อข้ารับใช้ในชุดสีฟ้าคนหนึ่งเห็นรูปลักษณ์ของเฉินซีอย่างชัดเจน รูม่านตาของเขาก็ขยายออกทันที และร้องออกมาด้วยความตกใจ “ท่าน… ท่าน… ท่านคือผู้อาวุโสเฉินซีใช่หรือไม่”

เฉินซีตกตะลึง เมื่อเขาตั้งใจมองอย่างถี่ถ้วน เขาก็จดจำได้ว่า ข้ารับใช้ที่สวมชุดสีฟ้าคนนี้แท้จริงแล้วคือเซียวเหน่า และทันใดนั้น ความรู้สึกที่ซับซ้อนและยากจะอธิบายก็เกิดขึ้นภายในใจของเขาอย่างช่วยไม่ได้

เซียวเหน่าเป็นพนักงานในร้านค้าของตระกูลจาง เมื่อครั้งที่เฉินซียุ่งอยู่กับการสร้างแผ่นยันต์อักขระทุกวันในเมืองหมอกสน คนผู้นี้ก็ได้รับคัดเลือกให้ทำงานในร้านโดยจางต้าหยง เนื่องจากเขามีความคิดที่ฉลาดหลักแหลม เขาจึงได้รับการชมเชยจากจางต้าหยงเป็นอย่างมาก และเฉินซีมักไปที่ร้านค้าของตระกูลจางอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงจำเซียวเหน่าได้

แต่สิ่งที่ทำให้เฉินซีมีความรู้สึกที่ซับซ้อนในใจก็คือ ร้านค้าของตระกูลจางได้ถูกตระกูลหลี่ทำลายลงไปแล้ว และชะตากรรมของจางต้าหยงผู้คอยดูแลเขามานานนับหลายปีก็ไม่อาจทราบได้ แต่เมื่อเขาพบว่าเซียวเหน่าได้กลายเป็นข้ารับใช้ของจวนตระกูลเฉินจริง ๆ แล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกซับซ้อนที่เกิดขึ้นอยู่ในหัวใจของเขา และมันเต็มไปด้วยความเสียใจอย่างมาก

“เซียวเหน่า ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการตอนนี้ ไว้วันหลังข้าจะแวะมาคุยกับเจ้า แต่ตอนนี้ช่วยไปแจ้งน้องชายของข้าให้มาพบเป็นการด่วน” เฉินซีตกอยู่ในห้วงอารมณ์อาวรณ์อยู่เพียงครู่เดียวก่อนจะยับยั้งจิตใจของเขาและสั่งออกไปในทันที

ทันทีที่เขากล่าวจบ เขาก็เริ่มประเมินโครงสร้างและแผนผังของจวนอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาแม้แต่น้อย

เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นความจริงที่ตอนนี้เขาพยายามจะทิ้งห่างพวกหวงฝู่ฉงหมิงและคนอื่น ๆ ไว้ข้างหลังอย่างเต็มที่ และเขามีเวลาพักหายใจเพียงหนึ่งชั่วยามครึ่งเท่านั้น

ภายในหนึ่งชั่วยามครึ่งนี้ เขาต้องกระทำทุกสิ่งตามความคิดที่เขาคำนวณไว้แล้ว สร้างม่านพลังคุ้มกันที่สามารถต้านทานพวกหวงฝู่ฉงหมิง เพื่อใช้สิ่งนี้ปกป้องเฉินฮ่าวและจวนตระกูลเฉินที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาใหม่

ดังนั้นทุกลมหายใจจึงมีค่าสำหรับเขา เสมือนกับว่าเขากำลังแข่งกับยมทูตอยู่ และไม่อาจปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นอันขาด

“ตกลง!” เซียวเหน่าเข้าใจความร้ายแรงของสิ่งที่เกิดขึ้นจากการแสดงออกของเฉินซี เขาจึงไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย ก่อนจะทะยานเข้าไปในจวนเพื่อแจ้งให้เฉินฮ่าวทราบ

มีเพียงข้ารับใช้ที่สวมชุดสีฟ้าอีกคนเท่านั้นที่ยังคงรั้งอยู่ เขายืนอยู่หน้าทางเข้าสีแดงฉานขณะจ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งที่กำลังสำรวจแผนผังของจวนอย่างว่างเปล่า และความตกใจอย่างไร้ขอบเขตก็พรั่งพรูออกมาจากหัวใจของเขา

‘นี่คือตัวซวยที่ทุกคนต่างก็เยาะเย้ยเมื่อหลายปีก่อนจริง ๆ หรือ?’

เขามีนามว่าตงเจิ้ง และเขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้ารับใช้ของตระกูลเฉินเหมือนกับเซียวเหน่า เขาเกิดและเติบโตในเมืองหมอกสน ดังนั้นเขาจึงรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเฉินซีราวกับเป็นหลังมือของตนเอง และเสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูของเขาราวกับเสียงฟ้าร้อง

ทว่าตอนนี้ตัวเขาไม่กล้าเรียกเฉินซีว่าตัวซวยอีกต่อไป และเขาจะไม่มีวันทำมันอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะกล้าสักแค่ไหนก็ตาม ดังนั้นจะไปนับประสาอะไรกับแค่ตัวเขา เพราะในเมืองหมอกสนนี้ ไม่มีใครกล้าเรียกเฉินซีว่าตัวซวยอีกต่อไป

นั่นก็เพราะผู้บ่มเพาะทั้งหมดภายในเมืองหมอกสนนั้น ต่างก็รู้ว่าเฉินซีไม่ใช่นักสร้างยันต์อักขระฝึกหัดที่ทุกคนจะสามารถข่มเหงและเหยียดหยามได้อีกต่อไป

ไม่เพียงแต่เขาเป็นผู้ชนะที่ได้อันดับสูงสุดในการจัดอันดับมังกรซ่อน แต่ยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับผู้อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายกระบี่เมฆาพเนจรที่มีนามว่าเป่ยเหิง แม้แต่ประมุขนิกายกระบี่เมฆาพเนจร อย่างหลิงคงจื่อเองก็ยังต้องกล่าวกับเขาด้วยความเคารพในฐานะบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่!

ในแง่ของสถานะ ตัวตน และการบ่มเพาะ เขาเหนือล้ำกว่าผู้บ่มเพาะในเมืองหมอกสนทั้งหมด ดังนั้นใครจะกล้าปฏิบัติต่อเขาเหมือนเมื่อก่อนอีก?

ไม่ต้องกล่าวถึง ตระกูลหลี่และตระกูลซูที่ทำให้เฉินซีต้องขุ่นเคือง พวกมันก็ยังถูกกำจัดจนหมดสิ้นไปทีละคน ด้วยคำเตือนต่อพวกเขาเหล่านี้ จึงไม่มีใครในเมืองหมอกสนกล้าดูถูกเฉินซีอีกต่อไป

ในทางกลับกัน เมื่อพวกเขาพบว่าเฉินฮ่าวผู้เป็นน้องชายของเฉินซี ได้กลับมาที่เมืองหมอกสน และต้องการสร้างตระกูลเฉินขึ้นมาใหม่ ทั่วทั้งเมืองหมอกสนก็ตกอยู่ในความปั่นป่วน เหล่ากองกำลังต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวางเฉินฮ่าวเท่านั้น แต่พวกเขากลับส่งกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากออกไป เพื่อช่วยสร้างตระกูลเฉินขึ้นมาใหม่ และวัตถุประสงค์ของพวกเขาก็เรียบง่ายมาก เพราะทั้งหมดนี้ก็เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินฮ่าว และสร้างความไว้วางใจที่ดีระหว่างพวกเขา หากพวกเขาสามารถเชื่อมความสัมพันธ์กับนิกายกระบี่เมฆาพเนจรในทางอ้อมได้ ก็ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่านี้แล้ว

เพราะเหตุนี้จวนของตระกูลเฉินซึ่งครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่จึงสามารถสร้างเสร็จภายในระยะเวลาสั้น ๆ และมันก็ถูกสร้างขึ้นอย่างเลิศหรูอลังการ อีกทั้งยังมีการป้องกันที่แข็งแกร่งเสมือนกับเหล็กกล้า

เฉินซีไม่รู้ว่าข้ารับใช้ตัวเล็ก ๆ อย่างตงเจิ้งจะตกอยู่ในความสับสนหลังจากที่เห็นเขา เนื่องจากสมาธิของเขาจดจ่ออยู่ที่จวนทั้งหมด ในขณะที่เขากำลังคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว โดยไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่น้อย

เพราะเขามีเป้าหมายสุดท้ายเพียงอย่างเดียวคือ การใช้กระบี่ระดับปฐพีขั้นสูงหนึ่งหมื่นเล่มและกระบี่ระดับปฐพีระดับสูงสุดทั้งเก้าเล่ม เพื่อสร้างค่ายกลกระบี่มหาปราณและจัดเรียงพวกมันไว้ในบริเวณโดยรอบของจวนตระกูลเฉินทั้งหมด!

ตราบใดที่การสร้างค่ายกลกระบี่เสร็จสมบูรณ์ แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตสถิตกายา ก็จะถูกปราณกระบี่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดบดขยี้ให้ตายในทันทีเมื่อเข้าสู่ค่ายกลกระบี่ ดังนั้นจะนับประสาอะไรกับหวงฝู่ฉงหมิง และคนอื่นๆ

แต่การเตรียมการของค่ายกลกระบี่มหาปราณนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากและซับซ้อนถึงขีดสุด

การที่จะปกคลุมจวนตระกูลเฉินอย่างไร้ที่ติภายใต้การปกป้องของค่ายกลกระบี่นั้นง่ายมาก แต่สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการสร้างค่ายกลกระบี่นี้

ค่ายกลกระบี่นี้จะต้องถูกสร้างขึ้นโดยการผสานค่ายกลกระบี่ขนาดเล็กถึงเจ็ดร้อยยี่สิบค่ายกล ค่ายกลกระบี่ระดับกลางอีกสามร้อยหกสิบค่ายกล และค่ายกลขนาดใหญ่อีกหนึ่งร้อยแปดสิบค่ายกล ยิ่งไปกว่านั้น ค่ายกลขนาดเล็ก ค่ายกลขนาดกลาง และค่ายกลขนาดใหญ่เหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นอิสระจากกัน พวกมันเชื่อมต่อกันทีละชั้นและผสานการทำงานจากระยะไกล ซึ่งด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานาเหล่านี้ ทำให้กระบวนการสร้างค่ายกลนั้นยากเย็นแสนเข็ญเหมือนกับการเอาทรายนับพันนับหมื่นเม็ดมาร้อยเข้ากับเส้นผมให้ต่อกันเป็นเกลียว

นับว่าโชคดีที่เฉินซีได้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในแก่นแท้ของค่ายกลระหว่างที่เขาอยู่ในขุมสมบัติเฉียนหยวน ดังนั้นเขาเพียงต้องประเมินสภาพแวดล้อมและเลือกตำแหน่งของรากฐานของค่ายกลก่อนจึงจะสามารถเริ่มสร้างได้

เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ

สายตาที่ครุ่นคิดในดวงตาของเฉินซีได้หายไปในขณะที่เขาหายใจเข้าลึก ๆ ทว่าความอ่อนล้าระหว่างคิ้วของเขากลับไม่อาจปกปิดได้

หลังจากหนีเอาชีวิตรอดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามวันและร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากฤทธิ์ของโอสถเหลวหยกนภา พละกำลังและพลังใจของเขาก็ใกล้จะเหือดแห้งเสมือนตะเกียงน้ำมันที่ไฟใกล้มอด ในตอนนี้ เขาได้ทุ่มเทสรุปตำแหน่งการกระจายของค่ายกลกระบี่อย่างหนัก จึงทำให้ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ สีหน้าของเขาขาวราวกับขี้ผึ้ง และดูซีดเซียวมาก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]