บทที่ 270 ภัยร้ายที่ประชิดเข้ามา
บทที่ 270 ภัยร้ายที่ประชิดเข้ามา
เพียงแค่สามกระบวนท่า หลินชิวหลิงที่มีระดับการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่เบญจธาตุก็เสียชีวิตในทันที แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ หลังจากที่นางได้เห็นการต่อสู้ระหว่างเฉินซีกับเว่ยเยว่จื่อ นางก็สูญเสียความตั้งใจที่จะต่อสู้และคิดที่จะหลบหนีมาตั้งนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม เฉินซีตั้งใจจะฆ่านางเพื่อไม่ให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเล็ดลอดออกไป ดังนั้นหลินชิวหลิงจะมีโอกาสรอดภายใต้ความห่างชั้นของฝีมือเช่นนี้ได้อย่างไร?
ไม่ใช่แค่หลินชิวหลิงที่ถูกสังหาร เมิ่งชื่อซิงที่ยังไม่ได้สติ รวมทั้งข้ารับใช้นับสิบคนที่มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำ ก็ถูกเฉินซีสังหารโดยปราศจากความเมตตาแม้แต่น้อย
ในขณะนี้ กลุ่มคนที่นิกายกระบี่เบญจธาตุส่งมาเพื่อช่วยเหลือ ล้วนถูกสังหารจนหมดสิ้น และนี่คือผลลัพธ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน
กลิ่นเลือดที่คาวคลุ้งไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทำให้ผู้คนรู้สึกแสบตาและหายใจลำบาก
ทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ต่างมีความรู้สึกหลากหลายอยู่ในใจ เมื่อพวกเขามองไปที่แอ่งเลือดและซากศพบนพื้น พวกเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเฉินซีแต่เพียงผู้เดียว
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นหญิงงามหลินชิวหลิงถูกเฉินซีสังหารโดยไม่กะพริบตา พวกเขาทั้งหมดต่างก็รู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ
ในสายตาของพวกเขา เฉินซีเป็นดั่งเพชฌฆาตที่เลือดเย็นและไร้อารมณ์ เป็นคนที่สามารถสังหารคนอื่นได้โดยไม่กะพริบตา เมื่อใดที่เขาคิดจะฆ่าคนเพื่อปิดปาก เขาจะลงมือโดยปราศจากความละอาย อีกทั้งยังโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี
นอกจากนี้ เฉินซีก็ไม่ใช่คนที่เลือกปฏิบัติระหว่างชายหรือหญิง ไม่ว่าคนผู้นั้นจะแก่เฒ่าหรือเป็นคนหนุ่มสาว ทั้งหมดล้วนมีโอกาสถูกเฉินซีสังหารอย่างเลือดเย็นและไร้ความปรานีอย่างเท่าเทียม
และการที่เฉินซีแสดงวิธีการที่เด็ดขาดและเลือดเย็นอย่างเต็มที่ ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในตอนนี้รู้สึกหวาดกลัว และไม่กล้าแพร่งพร่ายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกไปเพราะพวกเขาไม่ต้องการล่วงเกินเทพแห่งความตายผู้นี้และนำภัยพิบัติมาสู่ตัวเอง
“สหายเต๋า คนเหล่านี้มีจิตใจละโมบโลภมาก และความตายของพวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ ตอนนี้พี่ชายของข้าได้ออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะ ข้าเชื่อว่าทุกท่านได้เห็นความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เมื่อมีเขาอยู่ด้วย ทุกคนก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดจากฝูงสัตว์อสูรที่กำลังคืบคลานเข้ามา แต่เพื่อความปลอดภัย ทุกท่านควรรีบกลับไปที่ตระกูลและสำนักของตนเอง เพื่อนำศิษย์หรือสมาชิกในครอบครัวของพวกท่านมายังจวนตระกูลเฉินของข้า ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะปลอดภัยจากภยันตราย ทุกท่านคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง” สายตาของเฉินฮ่าวกวาดผ่านทุกคนในขณะที่เขากล่าวอย่างกะทันหัน
“ตกลง”
“ในเมื่อผู้นำตระกูลเฉินกำลังคิดเพื่อประโยชน์ของพวกเรา แล้วเราจะปฏิเสธท่านได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว เราจะกลับไปรวบรวมคนในตระกูลของเราและรีบย้ายพวกเขามาที่ตระกูลเฉิน หลังจากนั้น พวกเราจะฝ่าฟันช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน”
ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหมอกสนต่างเห็นพ้องต้องกัน หลังจากที่พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของเฉินซีแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าควรต้องกระทำสิ่งใด
“เจ้าต้องการให้สมาชิกที่อยู่เบื้องหลังคนเหล่านี้เข้าร่วมกับตระกูลของเรา แล้วท่านพี่ของเจ้าจะเห็นดีด้วยหรือ?” ที่ลานด้านหลังของจวนตระกูลเฉิน เฟยเหลิ่งชุ่ยขมวดคิ้วขณะที่เอ่ยถาม
เฉินฮ่าวถอนหายใจด้วยความโล่งอกและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ย่อมไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ จึงไม่ต้องกล่าวถึงการรับผู้มีฝีมือจากกลุ่มต่าง ๆ เข้าสู่ตระกูลเฉินของเรา ทุกสิ่งที่ได้กระทำลงไปนั้น ก็เพื่อผลประโยชน์ของตระกูลเฉิน”
แม้ว่าเฟยเหลิ่งชุ่ยจะกลายเป็นแม่คนในตอนนี้ แต่เมื่อหลายปีก่อน นางก็เป็นผู้นำศิษย์รุ่นใหม่ของนิกายกระบี่เมฆาพเนจร ยิ่งไปกว่านั้น นางมีสติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลม ดังนั้นนางจึงเข้าใจแผนการที่แฝงอยู่ในทันที จากนั้นนางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นเช่นนี้เอง เมื่อพี่ใหญ่ลงมือสังหารศิษย์ของนิกายกระบี่เบญจธาตุภายใต้สายตาของทุกคน จะยิ่งทำให้ผู้มีอำนาจเหล่านั้นต้องการที่จะเข้าร่วมกับตระกูลเฉิน นอกจากนี้ มันยังสามารถใช้เป็นคำเตือนได้อีกเช่นกัน หากมีผู้ใดคิดจะแพร่งพรายข่าวนี้ออกไป พวกเขาจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคนในตระกูลเสียก่อน ใช่หรือไม่?”
เฉินฮ่าวหัวเราะเสียงดังในขณะที่เขาพยักหน้า “ถูกต้อง”
“ท่านพ่อ ท่านหัวเราะอะไรหรือ? รีบไปกับฝึกกระบี่อวี่เอ๋อร์เถอะ เมื่อข้าโตขึ้น ข้าต้องการที่จะคว้าอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมังกรซ่อนเช่นเดียวกับท่านลุง” เฉินอวี่น้อยถือกระบี่ไม้ด้ามเล็ก ๆ ขณะที่เขาวิ่งเข้าไปในบ้าน
…
เฉินซีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องของเขา
การต่อสู้ในวันนี้ ทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของตัวเองมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะปีกนภาดารกะและยันต์ศัสตรา พวกมันทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก
สิ่งหนึ่งเด่นในด้านความเร็ว
ส่วนอีกสิ่ง สามารถส่งเสริมและสอดคล้องกับเคล็ดวิชาการต่อสู้ที่เขาใช้
เมื่อเขาใช้ทั้งสองสิ่งนี้ร่วมกัน ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่า นอกจากนี้ จากการคาดเดาของเฉินซี แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง เช่น หวงฝู่ฉงหมิง หลิวเฟิ่งฉือ หม่านหง หลินโม่เซวียน เซียวหลิงเอ๋อร์ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้สำหรับเขาอีกต่อไป แต่เมื่อเทียบกับชิงซิ่วอี้ เขายังด้อยกว่าเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด…
อันที่จริง ไม่ใช่ว่าเฉินซีไม่มีความมั่นใจ แต่ด้วยความก้าวหน้าของการบ่มเพาะของเขา มันทำให้เขาสามารถรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของชิงซิ่วอี้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็สามารถต่อกรกับฟ่านอวิ๋นหลานซึ่งอยู่ในขอบเขตจุติได้อย่างเท่าเทียม แม้ว่าการบ่มเพาะของนางจะอยู่ที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของนางได้เหนือกว่าขอบเขตแกนทองคำหยินหยางและไม่อาจประเมินได้ด้วยสามัญสำนึกทั่วไป
‘บางทีข้าอาจต่อกรกับชิงซิ่วอี้ได้ หลังจากที่ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้ว… ไม่สิ ผู้หญิงคนนี้เป็นเซียนสวรรค์ที่กลับชาติมาเกิด และนางก็มีความก้าวหน้าเช่นเดียวกับข้า เกรงว่าการไล่ตามนางคงจะไม่ง่ายนัก…’ เฉินซีคิดซ้ำไปซ้ำมาแต่ก็ไม่อาจหาข้อสรุปได้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะและมุ่งความสนใจไปที่ตัวเองแทน
‘ปีกนภาดารกะเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ และมันจะทำให้ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ ทราบว่าข้าฝึกฝนการแปรสภาพร่างกาย ดังนั้นข้าไม่ควรใช้มันในการต่อสู้อีก แต่โชคดีที่ปีกนภาดารกะมีเคล็ดวิชาในการปกปิดกลิ่นอายของมัน ดังนั้นข้าจึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้’ ในความคิดของเฉินซี การบ่มเพาะทักษะแปรสภาพร่างกายจึงอาจถือเป็นไพ่ตายของเขาได้ และยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไร โอกาสในการเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขาก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]
ทำไมตอนที่ 1631-1637 อ่านไม่ได้ครับ...
อยากซื้อหนังสือเรื่องนี้จบรึยังมีขายรึยัง ราคาเท่าไหร่...
กำลังสนุกเลยจ้า1407...
1...
รออ่าน1296...
รออ่าน1184จ้า...
ตอนที่1111รออ่านยุ...
ตอน1109รออ่านยุ...
กำลังมันเลยครับ...
กำลังมันเลยครับ...