บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 271

บทที่ 271 มุสิก*[1]เขมือบขุนเขา

บทที่ 271 มุสิก*[1]เขมือบขุนเขา

เฉินซียืนอยู่บนกำแพงเมืองคนเดียวขณะที่มองขึ้นไปยังเทือกเขาที่ไร้ขอบเขต เมื่อคลื่นอันเย็นยะเยือกพัดผ่านมา ทำให้ผมและเสื้อผ้าของเขาปลิวไสวไปตามสายลม

ทันใดนั้น สภาพอากาศที่แจ่มใสก็ค่อย ๆ มืดหม่นลง ขณะที่มวลเมฆสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือส่วนลึกของเทือกเขา ปกคลุมท้องฟ้าและบดบังแสงอาทิตย์ขณะที่มันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปยังเมืองหมอกสน ปราณอสูรอันน่าสะพรึงกลัวได้ถาโถมออกมาจากมวลเมฆอันดำมืด แม้กระทั่งเฉินซีเองก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ในใจ

“พวกท่านจะไม่กลับไปช่วยพวกเขาหรือ?” เฉินซีถอนสายตาออกและมองไปที่ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ กำแพงเมือง หนิงเต้าฟู่จากสำนักหมอกสน เยี่ยชิวจากสำนักพฤกษ์ชาด… ในขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในบริเวณโดยรอบของกำแพงเมือง

“ย่อมมีคนดูแลพวกเขาแล้ว นอกจากนี้ ในฐานะผู้นำ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเราจะต่อสู้กับศัตรูในแนวหน้าอย่างกล้าหาญ เพื่อซื้อเวลาให้แก่พวกเขาในการอพยพ”

“ใช่แล้ว ฝูงสัตว์ร้ายในครั้งนี้แข็งแกร่งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ตามรายงานของหน่วยสอดแนม มีสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางสองตัวที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงสัตว์อสูรเหล่านี้ หากปล่อยให้พวกมันสามารถบุกเข้ามาในเมืองได้สำเร็จ ผลที่ตามมานั้นก็ยากที่จะจินตนาการถึง”

ทุกคนต่างก็กล่าวออกมาด้วยท่าทางที่แน่วแน่ ซึ่งเผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่พร้อมจะแลกทุกอย่าง เนื่องจากพวกเขาต้องการถ่วงเวลาให้แก่คนของพวกเขาที่กำลังอพยพมายังตระกูลเฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่ละทิ้งชีวิต และตั้งใจที่จะเสี่ยงชีวิตของพวกเขา

เฉินซีพยักหน้าและรู้สึกชื่นชมต่อความกล้าหาญอันเด็ดเดี่ยวของคนเหล่านี้อยู่ในใจเป็นอย่างมาก

“ดูนั่นสิ! พวกมันมาแล้ว!” มีคนอุทานด้วยความตกใจ

เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่า บนท้องฟ้าที่ห่างออกไปในส่วนลึกของเทือกเขา ซึ่งถูกปกคลุมด้วยมวลเมฆสีดำสนิทแผ่กระจายออกมาจากปราณอสูรอย่างมืดฟ้ามัวดิน

สัตว์อสูรขั้นต่ำบางตัวเช่น พยัคฆ์เพลิงสีชาด กิ้งก่าเขาม่วง เหยี่ยวสองเศียรเงาโลหิต และเหยี่ยววิญญาณร้าย ต่างก็พุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงด้วยพลังที่น่าเกรงขามซึ่งปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน และเมื่อมองจากระยะไกล มันก็เหมือนกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามา

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ที่เบื้องหลังของฝูงสัตว์อสูรขั้นต่ำเหล่านั้น มีร่างจำนวนมากที่ปลดปล่อยปราณอสูรไปทั่วท้องฟ้าขณะที่พวกมันบินอยู่กลางอากาศ สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนแต่ได้รับการบ่มเพาะจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล และได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว นอกจากนี้ ไม่ว่าพวกมันจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คนแก่หรือเด็ก หรือรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ท่าทางของพวกมันก็เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่อำมหิตและดุร้าย ซึ่งแตกต่างจากผู้บ่มเพาะที่เป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้น ตรงกลางของร่างเหล่านี้ที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า กลับมีผู้บ่มเพาะอสูรที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอีกนับสิบตน และพวกมันทั้งหมดกำลังล้อมรอบร่างที่สูงโปร่งอยู่สองร่าง จนดูเหมือนกับดวงดาวนับไม่ถ้วนที่ล้อมรอบดวงจันทร์ที่สว่างไสวสองดวง ร่างทั้งสองนี้ถูกห่อหุ้มด้วยปราณอสูรสีดำมืด กลิ่นอายที่พวกมันปล่อยออกมานั้นแผ่กระจายไปโดยรอบและพวยพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า ทำให้มวลเมฆปั่นป่วนวุ่นวาย และเป็นภาพที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง

ไม่จำเป็นต้องเดา ร่างสูงโปร่งทั้งสองนี้ย่อมเป็นสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และผู้บ่มเพาะอสูรนับสิบที่อยู่รอบตัวพวกเขานั้น ล้วนอยู่ในขอบเขตเคหาทองคำ

โฮกกกกก! โฮกกกกก! โฮกกกกก!

สัตว์ร้ายคำรามเสียงดังก้องจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ภูเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ขณะที่ต้นไม้และก้อนหินแตกสลายเป็นผุยผง ราวกับวันโลกาวินาศกำลังจะมาถึง

“กระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้า!” เมื่อยันต์ศัสตราปรากฏขึ้นในมือของเขา เฉินซีก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อสกัดกั้นบริเวณที่ฝูงสัตว์อสูรหนาแน่นที่สุด และกระบี่ของเขาก็เปล่งประกายแสงออกมา ก่อนที่จะฟันลงไปอย่างดุเดือด

ปัง!

การโจมตีครั้งนี้เป็นดั่งสายฟ้าฟาดลงมาจากสวรรค์ สายฟ้าที่สว่างไสวและพร่างพรายได้มาบรรจบกัน กลายเป็นปราณกระบี่ที่ยาวเกือบร้อยยี่สิบจั้ง และฟันไปยังฝูงสัตว์อสูรทันที

ภายใต้ปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวและดุร้ายเช่นนี้ ไม่ว่าสัตว์อสูรจะวิ่งทะยานอยู่บนพื้นดินหรือโบยบินอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า พวกมันหลายร้อยตัวได้ถูกผ่าร่างออกจากกันและล้มตายในจุดนั้น แม้กระทั่งพื้นดินเองก็ถูกปราณกระบี่ทำลายจนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้นมา

การโจมตีด้วยปราณกระบี่เพียงครั้งเดียวกลับน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้!

ดวงตาของผู้นำกองกำลังต่าง ๆ บนกำแพงเมืองต่างก็เบิกโพลง แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นความแข็งแกร่งของเฉินซีมาก่อน แต่เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง พวกเขายังต้องตกตะลึงจนจิตใจสั่นไหวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลังจากนั้น ความรู้สึกตื่นเต้นและความฮึกเหิมก็พลุ่งพล่านอยู่ในใจของพวกเขา “ไม่ว่าฝูงสัตว์อสูรนี้จะน่ากลัวถึงเพียงใด หากเฉินซีอยู่ที่นี่แล้ว ยังจะต้องกลัวสิ่งใดอีก?”

“หึ! เจ้ามนุษย์ เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” เสียงที่แหลมปรี๊ดและแปลกประหลาดดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่ผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตตำหนักอินทนิลได้แปลงร่างเป็นเหยี่ยวโลหิตขนาดมหึมา และพุ่งผ่านฝูงสัตว์อสูร พร้อมกับง้างกรงเล็บสีทองคู่หนึ่งซึ่งมีขนาดเท่าพัด ตะกุยใส่เฉินซีอย่างดุเดือดทันที

“แท้จริงแล้ว มันคือเหยี่ยวโลหิตปีกเหล็ก แม้ว่ามันจะมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น แต่ก็มีเศษเสี้ยวของสายเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ภายในร่างกายของมัน เมื่อรวมเข้ากับความเร็วที่ไวปานสายฟ้าและความเชี่ยวชาญในเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลม แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน” เยี่ยชิวแห่งสำนักพฤกษ์ชาด กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

ในตอนนี้ ฐานการบ่มเพาะของเขายังคงอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่ เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่บินได้เช่นนี้

แต่เฉินซีกลับไม่สนใจขยะเช่นนี้เลย เมื่อเทียบกับราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่เขาเคยพบในส่วนลึกของเทือกเขา เหยี่ยวโลหิตปีกเหล็กตัวนี้ถือได้ว่าอ่อนแอเกินไป

ฟิ้ว! ฟู่!

กระบี่ของเขากวาดออกไปในแนวราบราวกับลมกระโชก เหยี่ยวโลหิตปีกเหล็กนี้มาอย่างรวดเร็วและตายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในขณะที่มันยังไม่ทันได้เข้าใกล้ กลับถูกฟันด้วยกระบี่ของเฉินซีเสียก่อน ทำให้ขนของมันที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด ปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า

เมื่อเยี่ยชิวเห็นฉากนี้ เขาจึงรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างมากอยู่ในใจของเขา เนื่องจากสัตว์อสูรที่บินได้นั้นจัดการได้ยากในสายตาของเขา แต่กลับถูกเฉินซีกำจัดได้อย่างง่ายดาย และมันทำให้เขารู้สึกเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า เฉินซีสามารถฆ่าเว่ยเยว่จื่อซึ่งอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ และเป็นตัวตนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับตัวเขา ความรู้สึกของเขาก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ปกติ

เฉินซีไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ เนื่องจากจิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับฝูงสัตว์อสูร

“ข้าจะไปฆ่าผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งสองตนนั้น ทุกท่านโปรดเฝ้ารักษาที่นี่ด้วย หลังจากที่ข้ากำจัดพวกมันแล้ว การโจมตีของฝูงสัตว์อสูรนี้จะพังทลายลงด้วยตัวมันเอง” ในขณะที่เขากล่าว ร่างของเฉินซีก็สั่นไหว เพียงชั่วพริบตา เขาก็ได้หายไปจากกำแพงเมืองแล้ว

“เขาคิดจะพุ่งเข้าไปเลยหรือ?”

เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ นอกจากพวกเขาจะรู้สึกตกตะลึงแล้ว ในใจของทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิม “ใช่แล้ว แทนที่จะรอให้พวกมันโจมตีเข้ามา เหตุใดเราถึงไม่เป็นฝ่ายโจมตีมันเสียก่อน”

“มาป้องกันกำแพงเมืองอย่างสุดความสามารถเถอะ เราต้องไม่ปล่อยให้เฉินซีผิดหวังอย่างแน่นอน!”

“หากเราไม่เข่นฆ่าศัตรูอย่างกล้าหาญในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ แล้วเราจะต้องรอไปถึงเมื่อไรอีก?”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]