บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] นิยาย บท 271

บทที่ 271 มุสิก*[1]เขมือบขุนเขา

บทที่ 271 มุสิก*[1]เขมือบขุนเขา

เฉินซียืนอยู่บนกำแพงเมืองคนเดียวขณะที่มองขึ้นไปยังเทือกเขาที่ไร้ขอบเขต เมื่อคลื่นอันเย็นยะเยือกพัดผ่านมา ทำให้ผมและเสื้อผ้าของเขาปลิวไสวไปตามสายลม

ทันใดนั้น สภาพอากาศที่แจ่มใสก็ค่อย ๆ มืดหม่นลง ขณะที่มวลเมฆสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกรวมตัวกันบนท้องฟ้าเหนือส่วนลึกของเทือกเขา ปกคลุมท้องฟ้าและบดบังแสงอาทิตย์ขณะที่มันเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วไปยังเมืองหมอกสน ปราณอสูรอันน่าสะพรึงกลัวได้ถาโถมออกมาจากมวลเมฆอันดำมืด แม้กระทั่งเฉินซีเองก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ในใจ

“พวกท่านจะไม่กลับไปช่วยพวกเขาหรือ?” เฉินซีถอนสายตาออกและมองไปที่ผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ กำแพงเมือง หนิงเต้าฟู่จากสำนักหมอกสน เยี่ยชิวจากสำนักพฤกษ์ชาด… ในขณะนี้ พวกเขาทั้งหมดรวมตัวกันอยู่ในบริเวณโดยรอบของกำแพงเมือง

“ย่อมมีคนดูแลพวกเขาแล้ว นอกจากนี้ ในฐานะผู้นำ เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเราจะต่อสู้กับศัตรูในแนวหน้าอย่างกล้าหาญ เพื่อซื้อเวลาให้แก่พวกเขาในการอพยพ”

“ใช่แล้ว ฝูงสัตว์ร้ายในครั้งนี้แข็งแกร่งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ตามรายงานของหน่วยสอดแนม มีสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางสองตัวที่ทำหน้าที่ควบคุมฝูงสัตว์อสูรเหล่านี้ หากปล่อยให้พวกมันสามารถบุกเข้ามาในเมืองได้สำเร็จ ผลที่ตามมานั้นก็ยากที่จะจินตนาการถึง”

ทุกคนต่างก็กล่าวออกมาด้วยท่าทางที่แน่วแน่ ซึ่งเผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่พร้อมจะแลกทุกอย่าง เนื่องจากพวกเขาต้องการถ่วงเวลาให้แก่คนของพวกเขาที่กำลังอพยพมายังตระกูลเฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่ละทิ้งชีวิต และตั้งใจที่จะเสี่ยงชีวิตของพวกเขา

เฉินซีพยักหน้าและรู้สึกชื่นชมต่อความกล้าหาญอันเด็ดเดี่ยวของคนเหล่านี้อยู่ในใจเป็นอย่างมาก

“ดูนั่นสิ! พวกมันมาแล้ว!” มีคนอุทานด้วยความตกใจ

เฉินซีเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่า บนท้องฟ้าที่ห่างออกไปในส่วนลึกของเทือกเขา ซึ่งถูกปกคลุมด้วยมวลเมฆสีดำสนิทแผ่กระจายออกมาจากปราณอสูรอย่างมืดฟ้ามัวดิน

สัตว์อสูรขั้นต่ำบางตัวเช่น พยัคฆ์เพลิงสีชาด กิ้งก่าเขาม่วง เหยี่ยวสองเศียรเงาโลหิต และเหยี่ยววิญญาณร้าย ต่างก็พุ่งเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงด้วยพลังที่น่าเกรงขามซึ่งปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน และเมื่อมองจากระยะไกล มันก็เหมือนกับคลื่นยักษ์ที่ถาโถมเข้ามา

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

ที่เบื้องหลังของฝูงสัตว์อสูรขั้นต่ำเหล่านั้น มีร่างจำนวนมากที่ปลดปล่อยปราณอสูรไปทั่วท้องฟ้าขณะที่พวกมันบินอยู่กลางอากาศ สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนแต่ได้รับการบ่มเพาะจนบรรลุขอบเขตตำหนักอินทนิล และได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว นอกจากนี้ ไม่ว่าพวกมันจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คนแก่หรือเด็ก หรือรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ท่าทางของพวกมันก็เผยให้เห็นถึงกลิ่นอายที่อำมหิตและดุร้าย ซึ่งแตกต่างจากผู้บ่มเพาะที่เป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง

ยิ่งไปกว่านั้น ตรงกลางของร่างเหล่านี้ที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า กลับมีผู้บ่มเพาะอสูรที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอีกนับสิบตน และพวกมันทั้งหมดกำลังล้อมรอบร่างที่สูงโปร่งอยู่สองร่าง จนดูเหมือนกับดวงดาวนับไม่ถ้วนที่ล้อมรอบดวงจันทร์ที่สว่างไสวสองดวง ร่างทั้งสองนี้ถูกห่อหุ้มด้วยปราณอสูรสีดำมืด กลิ่นอายที่พวกมันปล่อยออกมานั้นแผ่กระจายไปโดยรอบและพวยพุ่งขึ้นสู่สวรรค์ทั้งเก้า ทำให้มวลเมฆปั่นป่วนวุ่นวาย และเป็นภาพที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง

ไม่จำเป็นต้องเดา ร่างสูงโปร่งทั้งสองนี้ย่อมเป็นสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง และผู้บ่มเพาะอสูรนับสิบที่อยู่รอบตัวพวกเขานั้น ล้วนอยู่ในขอบเขตเคหาทองคำ

โฮกกกกก! โฮกกกกก! โฮกกกกก!

สัตว์ร้ายคำรามเสียงดังก้องจนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ภูเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ขณะที่ต้นไม้และก้อนหินแตกสลายเป็นผุยผง ราวกับวันโลกาวินาศกำลังจะมาถึง

“กระบี่เจิ้นแห่งสายฟ้า!” เมื่อยันต์ศัสตราปรากฏขึ้นในมือของเขา เฉินซีก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อสกัดกั้นบริเวณที่ฝูงสัตว์อสูรหนาแน่นที่สุด และกระบี่ของเขาก็เปล่งประกายแสงออกมา ก่อนที่จะฟันลงไปอย่างดุเดือด

ปัง!

การโจมตีครั้งนี้เป็นดั่งสายฟ้าฟาดลงมาจากสวรรค์ สายฟ้าที่สว่างไสวและพร่างพรายได้มาบรรจบกัน กลายเป็นปราณกระบี่ที่ยาวเกือบร้อยยี่สิบจั้ง และฟันไปยังฝูงสัตว์อสูรทันที

ภายใต้ปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวและดุร้ายเช่นนี้ ไม่ว่าสัตว์อสูรจะวิ่งทะยานอยู่บนพื้นดินหรือโบยบินอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า พวกมันหลายร้อยตัวได้ถูกผ่าร่างออกจากกันและล้มตายในจุดนั้น แม้กระทั่งพื้นดินเองก็ถูกปราณกระบี่ทำลายจนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้นมา

การโจมตีด้วยปราณกระบี่เพียงครั้งเดียวกลับน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้!

ดวงตาของผู้นำกองกำลังต่าง ๆ บนกำแพงเมืองต่างก็เบิกโพลง แม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นความแข็งแกร่งของเฉินซีมาก่อน แต่เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง พวกเขายังต้องตกตะลึงจนจิตใจสั่นไหวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หลังจากนั้น ความรู้สึกตื่นเต้นและความฮึกเหิมก็พลุ่งพล่านอยู่ในใจของพวกเขา “ไม่ว่าฝูงสัตว์อสูรนี้จะน่ากลัวถึงเพียงใด หากเฉินซีอยู่ที่นี่แล้ว ยังจะต้องกลัวสิ่งใดอีก?”

“หึ! เจ้ามนุษย์ เจ้ากำลังรนหาที่ตาย!” เสียงที่แหลมปรี๊ดและแปลกประหลาดดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ในขณะที่ผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตตำหนักอินทนิลได้แปลงร่างเป็นเหยี่ยวโลหิตขนาดมหึมา และพุ่งผ่านฝูงสัตว์อสูร พร้อมกับง้างกรงเล็บสีทองคู่หนึ่งซึ่งมีขนาดเท่าพัด ตะกุยใส่เฉินซีอย่างดุเดือดทันที

“แท้จริงแล้ว มันคือเหยี่ยวโลหิตปีกเหล็ก แม้ว่ามันจะมีการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น แต่ก็มีเศษเสี้ยวของสายเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณอยู่ภายในร่างกายของมัน เมื่อรวมเข้ากับความเร็วที่ไวปานสายฟ้าและความเชี่ยวชาญในเต๋ารู้แจ้งแห่งสายลม แม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน” เยี่ยชิวแห่งสำนักพฤกษ์ชาด กล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

ในตอนนี้ ฐานการบ่มเพาะของเขายังคงอยู่ที่ขอบเขตตำหนักอินทนิลเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าเป็นปัญหาใหญ่ เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่บินได้เช่นนี้

แต่เฉินซีกลับไม่สนใจขยะเช่นนี้เลย เมื่อเทียบกับราชาเหยี่ยวสายฟ้าที่เขาเคยพบในส่วนลึกของเทือกเขา เหยี่ยวโลหิตปีกเหล็กตัวนี้ถือได้ว่าอ่อนแอเกินไป

ฟิ้ว! ฟู่!

กระบี่ของเขากวาดออกไปในแนวราบราวกับลมกระโชก เหยี่ยวโลหิตปีกเหล็กนี้มาอย่างรวดเร็วและตายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ในขณะที่มันยังไม่ทันได้เข้าใกล้ กลับถูกฟันด้วยกระบี่ของเฉินซีเสียก่อน ทำให้ขนของมันที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงสด ปลิวว่อนไปทั่วท้องฟ้า

เมื่อเยี่ยชิวเห็นฉากนี้ เขาจึงรู้สึกถึงความแตกต่างอย่างมากอยู่ในใจของเขา เนื่องจากสัตว์อสูรที่บินได้นั้นจัดการได้ยากในสายตาของเขา แต่กลับถูกเฉินซีกำจัดได้อย่างง่ายดาย และมันทำให้เขารู้สึกเต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า เฉินซีสามารถฆ่าเว่ยเยว่จื่อซึ่งอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสมบูรณ์แบบ และเป็นตัวตนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับตัวเขา ความรู้สึกของเขาก็ค่อย ๆ กลับคืนสู่ปกติ

เฉินซีไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งนี้ เนื่องจากจิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับฝูงสัตว์อสูร

“ข้าจะไปฆ่าผู้บ่มเพาะอสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งสองตนนั้น ทุกท่านโปรดเฝ้ารักษาที่นี่ด้วย หลังจากที่ข้ากำจัดพวกมันแล้ว การโจมตีของฝูงสัตว์อสูรนี้จะพังทลายลงด้วยตัวมันเอง” ในขณะที่เขากล่าว ร่างของเฉินซีก็สั่นไหว เพียงชั่วพริบตา เขาก็ได้หายไปจากกำแพงเมืองแล้ว

“เขาคิดจะพุ่งเข้าไปเลยหรือ?”

เมื่อพวกเขาเห็นฉากนี้ นอกจากพวกเขาจะรู้สึกตกตะลึงแล้ว ในใจของทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิม “ใช่แล้ว แทนที่จะรอให้พวกมันโจมตีเข้ามา เหตุใดเราถึงไม่เป็นฝ่ายโจมตีมันเสียก่อน”

“มาป้องกันกำแพงเมืองอย่างสุดความสามารถเถอะ เราต้องไม่ปล่อยให้เฉินซีผิดหวังอย่างแน่นอน!”

“หากเราไม่เข่นฆ่าศัตรูอย่างกล้าหาญในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ แล้วเราจะต้องรอไปถึงเมื่อไรอีก?”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

เฉินซีไม่รู้เลยสักนิดว่าการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเขาจะกระตุ้นผู้นำของกองกำลังต่าง ๆ ของเมืองหมอกสน จนจิตวิญญาณต่อสู้ของพวกเขาเดือดพล่านและเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ราวกับพวกเขาปรารถนาที่จะกวาดล้างทุกสรรพสิ่งให้กลับคืนสู่ความสงบ

ในขณะนี้ เฉินซีกำลังพุ่งไปทางด้านหลังของฝูงสัตว์อสูร เหล่าสัตว์อสูรที่ขวางทางเขาอยู่ล้วนตายอย่างน่าอนาถ และร่างของเฉินซีก็เปรียบเหมือนกับดอกสว่านที่ทำให้เลือดเนื้อสาดกระจายไปทั่วและเกิดเสียงร้องโหยหวนไปยังทุกที่ที่เขาผ่านไป

ฉึบ!

สัตว์อสูรขอบเขตเคหาทองคำที่ถือค้อนในมือแต่ละข้าง ได้เคลื่อนตัวไปขวางเส้นทางของเฉินซี แต่คอของมันกลับถูกเจาะด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวของชายหนุ่ม ทำให้มันล้มลงและฟุบตัวกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง

โครม!

สัตว์อสูรขอบเขตเคหาทองคำอีกตัวที่กลายร่างเป็นตะขาบเพลิงขนาดมหึมาได้ลอบโจมตีเฉินซีจากเงามืด แต่ดูเหมือนเฉินซีจะสังเกตเห็นมันมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงฟาดฝ่ามือสวนออกไป ทำให้ร่างกายที่แข็งแกร่งและยาวกว่ายี่สิบจั้งของมันกลายเป็นผุยผงในทันที

ทุกที่ที่เขาทะยานผ่านไป ไม่มีสัตว์อสูรตนใดที่สามารถต้านทานการลงมือของเขาเลยสักตัว!

“พวกเจ้าจงถอยกลับมาซะ ปล่อยให้ข้าจัดการผู้บ่มเพาะมนุษย์คนนี้เอง!” เสียงที่ทุ้มลึกราวกับเสียงฟ้าร้องดังก้องออกมา และมันได้สั่นสะเทือนแก้วหูจนแม้แต่จิตวิญญาณก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง

ตู้ม!

พร้อมกับเสียงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ปราณฝ่ามือสีม่วงที่มีขนาดใหญ่กว่าสิบสองจั้งถูกควบแน่นเป็นรูปร่างอยู่กลางอากาศ ก่อนที่จะกระแทกใส่เฉินซีอย่างดุเดือด

ปราณฝ่ามือสีม่วงนี้ถูกขดด้วยปราณอสูรและดูเหมือนเป็นวัตถุที่จับต้องได้ นอกจากนี้ มันยังปล่อยกลิ่นอายที่ดุร้ายออกมาเป็นระลอกคลื่น แม้มันจะยังไม่ได้เข้าใกล้ร่างของเฉินซี แต่พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็สามารถฉีกความว่างเปล่าออกจากกัน และค่อย ๆ บดขยี้ปราณวิญญาณที่อยู่ในบริเวณโดยรอบไปทีละเล็กทีละน้อย

กลิ่นอายนี้ทำให้สัตว์อสูรบางตัวที่อยู่ใกล้เคียงต้องพบกับความโชคร้าย ทำให้พวกมันล้มลงไปกับพื้นด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสและไม่อาจลุกขึ้นได้อีกต่อไป

“เจ้าอสูรตัวนี้ไม่เลวเลย แท้จริงแล้ว การโจมตีด้วยฝ่ามือของมันแฝงไปด้วยเต๋ารู้แจ้งแห่งขุนเขา หากคนธรรมดาทั่วไปเผชิญหน้ากับมัน ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกภูเขามหึมากดทับ และต้องพบกับชะตากรรมของการถูกบดขยี้จนตาย ทว่ามันกลับไร้ประโยชน์สำหรับข้า”

เฉินซีส่ายศีรษะเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือนี้ และร่างกายของเขาก็หยุดอย่างกะทันหัน ก่อนที่ยันต์ศัสตราจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและกระแทกเข้าหามัน การโจมตีครั้งนี้มีกลิ่นอายที่หนักหน่วงและลึกล้ำ ราวกับกลุ่มภูเขาที่รวมตัวกันและเนินเขาจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือท้องฟ้า แต่เนื่องจากพลังของมันหนักหน่วงเกินไป ทำให้อากาศโดยรอบแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ

ปัง!

ปราณฝ่ามือสีม่วงเป็นเหมือนเศษกระดาษเมื่อปราณกระบี่ฟันลงไป จนมันระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและสลายหายไปในอากาศ อย่างไรก็ตาม ปราณกระบี่ของเฉินซีกลับยังไม่ได้สลายไป และมันยังเหมือนกับภูเขาลูกแล้วลูกเล่าที่กวาดผ่านท้องฟ้าขณะที่มันบดขยี้ไปยังร่างที่ห่างออกไป

ร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น คือสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ที่ฟาดปราณฝ่ามือสีม่วงออกมา รูปลักษณ์ของมันเหมือนกับสายฟ้าฟาด ใบหน้าของมันขาวราวหิมะ แต่ริมฝีปากเป็นสีแดงทับทิมสด จึงทำให้ผู้อื่นสัมผัสได้ถึงความอำมหิตและชั่วร้าย

“หืม? เจ้าสามารถต้านทานการโจมตีของข้าเว่ยหงโดยที่ไม่ตายหรือ? เจ้าเด็กน้อย เจ้าควรจะภาคภูมิใจ…” น้ำเสียงอำมหิตดังขึ้นจากริมฝีปากสีแดงทับทิมของเขา ในขณะที่สัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่เรียกว่าเว่ยหง ได้ยื่นมือออกไปเพื่อฟาดไปยังปราณกระบี่ที่โจมตีเข้ามาที่ใบหน้าของเขา

เฉินซีส่ายศีรษะอีกครั้งเมื่อเห็นฉากนี้ “การโจมตีของข้าครั้งนี้คือ กระบี่คุนแห่งพสุธาที่มีมหาเต๋าแห่งปฐพี และได้รับการส่งเสริมโดยยันต์ศัสตรา ทำให้มันลึกล้ำและหนักหน่วงเหมือนภูเขาขนาดมหึมา ดังนั้นมันจะต้านทานอย่างง่ายดายได้อย่างไร?”

กร๊อบ! กร๊อบ!

“อ๊า! มือของข้า!” ตามที่คาดไว้ เว่ยหงผู้คิดว่าตนเองสูงส่งได้ถูกปราณกระบี่บดขยี้จนกระดูกและเส้นเอ็นในมือขวาแตกหัก หากไม่ใช่เพราะมันตอบสนองได้ทันเวลาละก็ แขนทั้งข้างของมันคงแหลกเป็นผุยผงไปแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนร้องโหยหวนด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มือขวาของมันถูกทำลายอย่างรุนแรงและกระดูกของมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้ไม่สามารถใช้มันได้อีกต่อไป

“ตายซะ!” เฉินซีพุ่งเข้าใส่โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทุกช่วงลมหายใจที่เขาล่าช้า จะทำให้ทุกคนบนกำแพงเมืองต้องตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น ดังนั้นเขาจึงต้องกำจัดสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยางทั้งสอง ซึ่งเป็นภัยคุกคามมากที่สุดอย่างรวดเร็ว

“กระบี่สวินแห่งวายุ!” เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากกันกว่าสิบสองจั้ง เฉินซีก็ใช้ปีกนภาดารกะอย่างเต็มกำลังในขณะที่แทงออกไปด้วยกระบวนท่ากระบี่สวินแห่งวายุที่มีชื่อเสียงในด้านความเร็วสูงสุด เพียงแค่เสี้ยวพริบตา เขาก็ได้มาถึงที่เบื้องหน้าของเว่ยหงแล้ว และความเร็วของเขาก็รวดเร็วมหาศาล จนแทบไม่ต่างอะไรกับการเคลื่อนย้ายมิติ

ในสายตาของเว่ยหง ความเร็วของเฉินซีเหมือนกับการเคลื่อนย้ายมิติในพริบตา โดยเฉพาะกระบี่ในมือของเฉินซี ที่จู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมาจากอากาศบริเวณที่หน้าลำคอของเขา และความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ทำให้ดวงวิญญาณของมันแทบหลุดออกจากร่าง ในขณะที่ร่างของมันทะยานหลบไปด้านข้างโดยสัญชาตญาณ

“เลี่ยจวิน เจ้ายังไม่คิดจะช่วยอีกหรือ จะต้องรอสิ่งใดอีก…” เว่ยหงผู้คิดว่าตนเองรอดพ้นจากหายนะแล้ว กรีดร้องออกมาอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ แต่ในชั่วพริบตาต่อมา เสียงกรีดร้องของเขาก็หยุดลงทันที กระบี่ที่ติดตามมันเหมือนเงานั้น ได้ทะลวงผ่านลำคอ และมันได้เห็นเลือดสีแดงอันสวยงามพุ่งออกไป ซึ่งมันก็เป็นสีแดงทับทิมเหมือนกับริมฝีปากของมัน…

โครม!

เว่ยหงผู้เป็นสัตว์อสูรขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ไม่มีโอกาสที่จะคืนสู่รูปลักษณ์เดิมของมัน และไม่มีเวลาที่จะระเบิดแกนทองคำ ก่อนที่มันจะเสียชีวิตไปพร้อมกับความประหลาดใจและล้มลงกับพื้น

“แท้จริงแล้ว มันคือนกกระเรียนมงกุฎแดง น่าเสียดายที่มันบ่มเพาะเป็นระยะเวลาสั้นเกินไป ทำให้มันอยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นกลางเท่านั้น และความแข็งแกร่งของมันก็ไม่สามารถเทียบกับสัตว์อสูรบางตัวที่มีสายเลือดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์โบราณได้ ดังนั้นมันจะต่อกรกับข้าได้อย่างไร” เฉินซีมองลงไปยังพื้นดินและเห็นศพของเว่ยหงได้เปลี่ยนเป็นนกกระเรียนมงกุฎแดง ทำให้เขาก็เข้าใจถึงตัวตนของเว่ยหงในทันที

“ไปตายซะ!” เสียงตะโกนดังกึกก้องออกมาดั่งระเบิด ทันใดนั้น บนท้องฟ้าเหนือหัวของเฉินซีก็ปรากฏหนูสีฟ้าขนาดมหึมาอย่างฉับพลัน และมันมีขนาดเท่ากับภูเขาลูกเล็ก ๆ แต่เมื่อมันเปิดปากที่เปื้อนไปด้วยเลือด ซึ่งมีฟันแหลมคมราวกับใบมีดที่ดูเหมือนจะสามารถกลืนกินท้องฟ้าและดวงจันทร์ได้ นอกจากนี้มันยังน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่พื้นที่โดยรอบอาจถูกมันกลืนกินเข้าไปได้อย่างง่ายดาย

“มุสิกเขมือบขุนเขา?” เฉินซีดูเหมือนจะคาดหวังฉากนี้มานานแล้ว แต่เมื่อเขาเห็นการปรากฏตัวของหนูสีฟ้าตัวนี้ เขาก็ยังคงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเขาจำต้นกำเนิดของสัตว์อสูรตัวนี้ได้

ว่ากันว่าเมื่อสัตว์อสูรตัวนี้โตเต็มวัย มันจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถกลืนภูเขาที่สูงตระหง่านถึงเก้าพันกว่าจั้งโดยแค่อ้าปาก และด้วยการดูดแบบสบาย ๆ ของมัน ซึ่งอาจทำให้แม่น้ำที่เชี่ยวกรากทั้งสายแห้งเหือดไป

หนูมหึมาสีฟ้าที่อยู่ตรงเบื้องหน้าเขา เป็นมุสิกเขมือบขุนเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้น การบ่มเพาะของมันก็อยู่ในขอบเขตแกนทองคำหยินหยางขั้นสูง ที่มันไม่ได้ปรากฏตัวมาก่อนหน้านี้ เพราะมันกำลังรอช่วงเวลานี้เพื่อโจมตีและกลืนกินเฉินซีด้วยการเขมือบในครั้งเดียว

“ข้ารอเจ้ามานานแล้ว สหายของเจ้าได้ตายแล้ว ดังนั้นเจ้าควรร่วมทางไปกับมัน!” ในทันทีที่มุสิกเขมือบขุนเขาปรากฏตัวขึ้น ยันต์ศัสตราในมือของเฉินซีได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมังกรเพลิง และปราณกระบี่ก็ถาโถมออกมาและพุ่งตรงไปยังสวรรค์ทั้งเก้า กระบี่หลีแห่งอัคคีที่มีมหาเต๋าแห่งอัคคีที่รุนแรงและเกรี้ยวกราดระเบิดออกมาอย่างกะทันหัน ราวกับดวงอาทิตย์ที่พร่างพราวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและห่อหุ้มมุสิกเขมือบขุนเขาไว้ภายในปราณกระบี่ที่เป็นดั่งทะเลเพลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดในทันที

ฟ่อ~ ฟ่อ~

มุสิกเขมือบขุนเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า เฉินซีจะตอบสนองอย่างรวดเร็วและโจมตีอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ ทันใดนั้น ขนสีฟ้าที่ปกคลุมร่างกายของมันก็ถูกเผาไหม้ในทันทีจนผิวหนังและเนื้อของมันปริแตกออก มันก็ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง

“เจ้าเด็กเจ้าเล่ห์! หากท่านอาจารย์ของข้าเคลื่อนไหว เจ้าต้องตายแน่!” ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ร่างของมุสิกเขมือบขุนเขาก็สั่นสะท้านอย่างกะทันหัน จากนั้นมันก็กลายเป็นลำแสงที่พุ่งทะยานไปทางส่วนลึกของเทือกเขา

“มันสามารถหลบหนีจากกระบี่หลีแห่งอัคคีของข้าได้จริงหรือ?” เฉินซีตกตะลึง แต่เขาก็ไม่ได้ไล่ตามมุสิกเขมือบขุนเขาไป เพราะสิ่งที่ควรกระทำในตอนนี้ คือการทำลายล้างฝูงสัตว์อสูรที่อยู่เบื้องหน้าเขา

[1] มุสิก มีความหมายว่า หนู

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]